ตอนที่ 135 ดาวดวงนั้นที่สว่างที่สุด
“ความฝันของผมในตอนแรกไม่เคยเปลี่ยน…”
“เพราะว่าผมต้องหาเงินไปช่วยใช้หนี้ที่บ้าน…”
“ผมอยากให้ครอบครัวของตัวเองใช้ชีวิตที่มีความสุข อยากให้แม่ของผมไม่ต้องทำงานเหนื่อยทุกวันอีกต่อไป”
“ดังนั้นผมต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ ครับ!”
เสียงของลู่เฉินมีพลังของความแน่วแน่ ดังผ่านลำโพงทีวีแบบแอลซีดีที่แขวนอยู่บนผนัง ตอนที่เสียงชัดเจนของเขาผ่านเข้ามาในหูของลู่ซี ดวงตาของพี่สาวของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที
จากเมืองปินไห่มาถึงปักกิ่ง เธอเห็นน้องชายขยันทำงานหาเงินด้วยตาตัวเอง จึงรู้ว่าเขาทุ่มเทมากแค่ไหน
เฉินเจี้ยนหาวเคยพูดกับลู่ซีเป็นการส่วนตัวว่า ‘ตอนแรกที่ลู่เฉินมาทำงานในบาร์ของผม เขาขยันทำงานมากๆ เวลาทำงานแทบจะไม่เคยมาสายเลย’
เพื่อให้ได้ทิปเพียงเล็กน้อย ตอนนั้นลู่เฉินที่เป็นหนึ่งในเด็กเสิร์ฟจึงขยันทำงานมากๆ เพราะต้องเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟน้ำชาให้กับลูกค้าทุกวัน ต้องก้มบ่อยๆ จนไม่สามารถยืดตัวตรงได้ แถมต้องรีบไปขึ้นรถไฟใต้ดินเที่ยวสุดท้ายตอนกลางคืนเพื่อกลับห้องเช่า
และเขาก็เช่าอยู่ในห้องใต้ดินราคาถูก มองไม่เห็นแสงอาทิตย์มาโดยตลอด
ต่อมาภายหลังได้ร้องเพลงโชว์ เพื่อชดเชยความบกพร่องของตัวเอง ลู่เฉินจึงขยันฝึกกีตาร์ ขอแค่ปิ๊กกีตาร์ยังใช้ได้ เขาก็จะดีดจนเลือดไหลนิ้วแตก
ตอนนี้เขาสามารถเล่นเพลงบัลลาดได้อย่างสบาย ก็เพราะพื้นฐานที่ฝึกมาจากตอนแรก จนกระทั่งตอนหลังได้พัฒนาเทคนิคไปอย่างก้าวกระโดด
เฉินเจี้ยนหาวยินดีช่วยลู่เฉิน ก็เพราะประทับใจในความขยันและความพยายามของเขา
ในตอนนี้ กำแพงในใจของลู่ซีที่มีต่อลู่เฉินหายไปอย่างเงียบๆ
ลู่เฉินในตอนนี้ไม่ใช่เด็กโตที่ไม่รู้ความในตอนนั้นอีกต่อไป!
เธอยังมีเหตุผลอะไรที่ต้องมีอคติอีก
เขาเป็นน้องชายของเธอนะ
เสียงปรบมือดังขึ้นภายในห้องถ่ายทำรายการ T1
ถึงแม้รายการประกวดในปัจจุบัน จะเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนมาก เหล่าผู้เข้าแข่งขันไม่พยายามสร้างเรื่องน่าเศร้าอีกต่อไป แต่เวลาที่พูดถึงความฝันหรืออุดมการณ์ ทุกคนก็ยังพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือไม่ก็ใช้คำพูดที่ประทับใจและกระตุ้นอารมณ์ เพื่อมุ่งหวังจะได้คะแนนความประทับใจจากผู้ชม
นับตั้งแต่ลู่เฉินเข้าร่วมการแข่งขันประกวดรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ไม่ว่าจะเป็นรอบคัดเลือกหรือว่ารอบแข่งขัน เขาก็ใช้ความสามารถของตัวเอง ใช้ผลงานเพลงต้นฉบับเอาชนะการแข่งขันมาโดยตลอด
ลู่เฉินไม่เคยพูดจาโอ้อวด ไม่เคยเล่าเรื่องราวอะไรทั้งสิ้น กระทั่งพูดว่าความฝันของตัวเองคือการหาเงิน
ตอนนี้ทุกคนเพิ่งรู้ว่าความฝันของเขานั้นมีความจริงใจมากที่สุด!
เสียงปรบมืออย่างอบอุ่นของผู้ชมสามพันคน แสดงออกเพื่อชื่นชมและเป็นกำลังใจให้กับความจริงใจแบบนี้
เฉินเฟยเอ๋อร์ประทับใจ “ฉันหวังว่าความฝันของคุณจะเป็นจริง เชื่อว่าจะต้องเป็นจริงแน่นอนค่ะ!”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณครับ!”
ถานหงพยักหน้า “อย่างนั้นก็เริ่มการแสดงของคุณกันเถอะ!”
ลู่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับความผันผวนรุนแรงที่อยู่ในใจ ปรับลมหายใจและอารมณ์ให้ดีที่สุด
จากนั้นเขาก็หันข้าง ชูนิ้วโป้งไปที่วงดนตรีของเวที…ให้เริ่มได้แล้ว
เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้นทันที
ลู่เฉินร้องเพลงนี้ให้กับตัวเอง!
เขากอดกีตาร์ไว้ เริ่มดีดไปที่สายของมัน
ตอนนี้ห้องถ่ายทำรายการเงียบลงอย่างรวดเร็ว แสงไฟรอบด้านมืดลงอย่างกะทันหัน ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่บนเพดานรูปโค้งก็เริ่มส่องประกาย ราวกับเป็นท้องฟ้าที่สวยงามที่สุดในค่ำคืนนี้
“ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี
จะได้ยินไหม
คนที่แหงนมองไปบนนั้น
เสียงทอดถอนใจจากความเดียวดายที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี
จำได้หรือไม่
คนที่เคยเดินอยู่เคียงข้างฉัน
แต่ร่างเงานั้นกลับหายไปท่ามกลางสายลม
ฉันภาวนาขอให้มีจิตใจที่ใสกระจ่าง
กับดวงตาที่ร้องไห้เป็น
ให้ฉันมีความกล้าที่จะเชื่อใจเธออีกครั้ง
โอ้ ก้าวข้ามคำลวงไปโอบกอดเธอไว้!
ทุกครั้งที่ฉันค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ไม่เจอ
ทุกครั้งที่ฉันหลงทางอยู่ในความมืดมิด
โอ้~ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี
โปรดนำทางให้ฉันได้เข้าไปใกล้เธอ
…”
ข้างหลังของลู่เฉิน บนหน้าจอขนาดยักษ์เป็นฉากของจักรวาลที่งามสง่าสุกใส
และมีเนื้อเพลงที่ปรากฏขึ้นมาแล้วหายไป
เพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’ คือเพลงต้นฉบับที่ลู่เฉินเตรียมมาใช้ในการแข่งขันรอบนี้
เพลงนี้ร้องขับขานถึงความฝันวัยเยาว์ของลู่เฉิน พกพาความกล้า ความมั่นใจ และพลังที่พลุ่งพล่านของคนหนุ่มสาว แสดงพลังแห่งความรักให้กับคนหนุ่มสาวที่มีหัวใจวัยรุ่นเหมือนอย่างเขา!
เนื้อเพลงบ่งบอกถึงจิตใจของการไขว่คว้า การไขว่คว้าแบบนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เบื้องหน้าก็จะมีดวงดาวสกาวแสงมากที่สุดดวงหนึ่ง คอยนำทางความเชื่อของพวกเราให้เดินไปข้างหน้า และเชื่อมั่นว่าแสงสว่างจะคงอยู่ตลอดไป
เพราะในชีวิตของคนเรามักมีสิ่งที่ควรค่าให้เรานึกถึง ควรค่าที่จะซาบซึ้งอยู่เสมอ!
“…
ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี
จะรู้หรือไม่
ร่างเงาที่เคยเดินทางร่วมกับฉันวันนี้อยู่ที่ไหน
โอ้ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี
จะแคร์บ้างไหม
กำลังรอคอยให้พระอาทิตย์ขึ้น
หรือว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันจะมาก่อน
ฉันยอมเก็บความเจ็บปวดทุกอย่างไว้ในหัวใจ
แต่จะไม่ยอมลืมดวงตาของเธอ
โปรดมอบความกล้าให้ฉันเชื่อใจเธออีกครั้ง
โอ้ก้าวข้ามคำลวงไปโอบกอดเธอไว้!
ทุกครั้งที่ฉันค้นหาความหมายของการมีชีวิตไม่เจอ
ทุกครั้งที่ฉันหลงทางอยู่ในความมืดมิด
โอ้~ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี
โปรดส่องแสงนำทางให้ฉันก้าวเดินไปข้างหน้า~
…”
ภายในห้องถ่ายทำรายการ T1 เกิดความเงียบสงบที่แปลกประหลาดขึ้นมา
ความเงียบแบบนี้ไม่ใช่ความเงียบสงบแบบผิวเผิน แต่เป็นความเงียบที่ไร้เสียง ผู้ชมจำนวนสามพันคนกำลังรับฟังเงียบๆ ฟังเสียงเพลงที่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของลู่เฉิน
สัมผัสได้ถึงความรุนแรงที่ทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้าน!
ลู่เฉินโชว์คุณสมบัติพิเศษของเส้นเสียงออกมาจากเพลงนี้
เสียงสูงของเขาเปลี่ยนเป็นเสียงกลางได้อย่างสบายเป็นธรรมชาติไม่ยากเลยสักนิด โดยเฉพาะตำแหน่งเสียงสูง ไม่แหลมจนแสบแก้วหู แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกขนลุกซู่ รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตแบบนั้น
อีกด้านหนึ่งคือการดีดกีตาร์ของลู่เฉินก็เข้ากับการบรรเลงของวงดนตรีที่เล่นสดๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แสดงท่วงทำนองดนตรีที่โดดเด่นของเพลงนี้ออกมาได้เต็มที่อย่างไม่เสียดายเลยสักนิด!
ทุกคนในงานกับผู้ชมนับสิบล้านตรงหน้าจอโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์นอกห้องถ่ายทำรายการ ต่างก็เพิ่งได้ฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรก และถูกดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก
แต่ละคนมีความเข้าใจเพลงนี้ในมุมมองที่ต่างกัน มันสามารถเป็นตัวแทนของความรัก เป็นตัวแทนของญาติสนิทกระทั่งมิตรภาพ ความใจกว้างและการให้อภัยของมันคือเสน่ห์ที่ล้นหลามที่สุด!
เนื้อเพลงกำลังบอกทุกคนว่า ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากก็ต้องมีความกล้าในการค้นหาความหวัง แม้จะเป็นตอนที่ตกต่ำที่สุดหรือกระทั่งสิ้นหวัง ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าทุกอย่าง
เพราะว่าความเป็นวัยรุ่น พวกเราเคยอวดดีมาก่อน
เพระว่าตอนเป็นวัยรุ่น พวกเราเคยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและศาสนา
แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน พวกเราควรรักษาหัวใจที่บริสุทธิ์เอาไว้
เชื่อมั่นเสียงเรียกร้องที่อยู่ในใจ ค้นหาทิศทางแห่งชีวิต!
เพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’ ลู่เฉินร้องให้ตัวเอง และร้องให้ผู้ฟังทุกคน
“ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี จะได้ยินไหม คนที่แหงนมองไปบนนั้นกับเสียงทอดถอนใจจากความเดียวดายที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ!”
เสียงกีตาร์ลอยดังไปไกล เสียงที่ยังดังอยู่นี้ยังดังอ้อยอิ่งอยู่
ถานหงยืนขึ้นเป็นคนแรก เขาจ้องมองลู่เฉินอย่างใจจดใจจ่อ ตบฝ่ามือของตัวเองอย่างแรง ตบแรงมากๆ!
จากนั้นเป็นเฉินเฟยเอ๋อร์ หลินจื้อเจี๋ย เจินเจิน…
รวมทั้งผู้ชมในงานทั้งสามพันคน
เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน ราวกับซักซ้อมมาก่อนหนึ่งรอบ มีความตื่นเต้นและสะเทือนอารมณ์จากหัวใจของผู้ฟัง!
สำหรับเพลงที่ดีอย่างแท้จริง เกียรติภูมิที่ได้รับคือสิ่งที่สมเหตุสมผลแล้ว!
ลู่เฉินวางกีตาร์ลง เขากัดริมฝีปาก เผยรอยยิ้มแห่งความปีติยินดีออกมาบนใบหน้า จากนั้นก็โน้มตัวเคารพอย่างสุดซึ้ง
ขอบคุณทุกคนที่ฟังเขาร้องเพลงนี้จนจบ
เสียงปรบมือไม่ดังเป็นระเบียบอีกต่อไปแล้ว ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่งราวกับลมพายุโหมกระหน่ำ กระทบไปที่ผนังทั้งสี่ด้านและเพดานโค้งของห้องถ่ายทำรายการ เกิดเป็นเสียงสะท้อนทั่วทั้งตึกหลังนี้!
ด้านหลังเวที ผู้เข้าแข่งขันจำนวนไม่น้อยกับทีมเพื่อนสมาชิกกำลังปรบมือ โห่ร้องแสดงความยินดีกับผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งคนนี้
เพลงของลู่เฉินพิชิตใจผู้ชมที่อยู่ในงาน และยังพิชิตใจของพวกเขาได้ในขณะเดียวกัน
ไม่มีความอิจฉา มีแต่ความเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ!
ลู่ซีมองลู่เฉินที่อยู่ในทีวีอย่างตกตะลึง น้ำตาที่สะสมอยู่ในดวงตาไหลลงบนใบหน้าในที่สุด
เวลานี้ ไม่ว่าลู่เฉินจะเอาชนะความรู้สึกสุดท้ายได้หรือไม่ เธอก็ไม่รู้สึกเสียใจแล้ว!
เสียงปรบมือในห้องถ่ายทำรายการ ดังติดต่อกันเป็นเวลาสองนาทีเต็ม
หลังจากเงียบสงบลงแล้ว ถานหงจึงกล่าวว่า “ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี คือเพลงที่ดีที่สุดที่ผมได้ฟังในคืนนี้เลย”
“ผมไม่อยากประเมินอะไรมาก ให้คุณสิบคะแนน เพราะให้มากที่สุดได้แค่นี้!”
เฉินเฟยเอ๋อร์สิบคะแนน หลินจื้อเจี๋ยสิบคะแนน เจินเจินสิบคะแนน…
ตัวเลขที่สะดุดตาเป็นอย่างมากแวบผ่านบนหน้าจอใหญ่อย่างรวดเร็ว ซ้อนเพิ่มกันเป็นคะแนนที่สูงที่สุดในคืนนี้
สี่สิบคะแนน!
ถึงแม้จะยังไม่ได้ประกาศผลรอบสุดท้าย แต่แชมป์เป็นของใครก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
แม้ว่าการแสดงของผู้แข่งขันคนอื่นอีกเก้าคนจะโดดเด่นมากเช่นกัน แต่พวกเขาก็ร้องเพลงของคนอื่น ด้านการร้องเพลงของลู่เฉินก็ไม่ด้อยไปกว่าคู่แข่งที่เหลือ นอกจากนี้เขายังหยิบเพลงที่แต่งใหม่ออกมาใช้อีกด้วย
แค่เพลงเดียวก็กลายเป็นผลงานเพลงคลาสสิกได้สำเร็จ!
ดวงดาวที่สุกสกาวบนฟากฟ้าราตรี เขาคือดาวดวงนั้นที่สว่างที่สุดในค่ำคืนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ว่าจะอยู่ในหรืออยู่นอกห้องถ่ายทอดรายการ ข้อได้เปรียบของลู่เฉินก็ไม่มีใครเหนือกว่าได้!
ไม่ว่าใครก็ไม่สงสัยในจุดนี้
และเหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นน้อยมากในรายการประกวดก่อนหน้านี้
ครอบครัวที่เมืองปินไห่ ลู่เสวี่ยกอดฟางอวิ๋นกระโดดโลดเต้นและร้องด้วยความดีใจ ปลื้มใจจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ฟางอวิ๋นปล่อยให้เธอโวยวาย ดวงตายังจ้องมองลู่เฉินที่อยู่ในการถ่ายทอดสดตลอดเวลา
นี่คือลูกชายของเธอ!
ที่บาร์เดย์ลิลลี่ เหล่าลูกค้าพากันตบโต๊ะอย่างแรง พวกเขาชูแก้วเหล้าขึ้นมา หัวเราะเสียงดัง
เบียร์ที่อยู่ในแก้วส่ายไปมา ฟองสีขาวจำนวมากลอยขึ้น
ในห้องถ่ายทอดสดลู่เฟย กิจกรรมการเฉลิมฉลองของแฟนคลับนับล้านดำเนินมาถึงจุดสุดยอด ปริมาณการส่งคอมเมนต์สดอยู่ในระดับที่น่ากลัวมาก จนกระทั่งมีผลกระทบต่อเซิร์ฟเวอร์ของ ‘จิงอวี๋ทีวี’ นำความกดดันที่หนักอึ้งมาสู่ฝ่ายหลัง!
“พวกเราคือแชมป์!”
“พวกเราแข็งแกร่งที่สุด!”
“จงเจริญ!”
ไม่รู้ว่ามีสมาชิกลู่เจียจวินจำนวนเท่าไรมอบลูกบอลปลาที่สะสมมาจากการล็อกอินทุกครั้งออกไปกี่ลูกแล้ว มีหลายคนกระทั่งช่วยกันสมทบเงินเพื่อมอบเรือบรรทุกเครื่องบินหนึ่งลำ เฉลิมฉลองแชมป์ของลู่เฉินในรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ซีซั่นที่หนึ่งของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งในนามของทีม
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็โหวตให้ลู่เฉินผ่านอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์บ้าน และข้อความมากมายนับไม่ถ้วน
พวกเขาสามารถพูดได้อย่างภาคภูมิใจว่า แชมป์นี้ได้มาจากการอุทิศตนของพวกเขาทุกคน!
ภายในห้องถ่ายทอดสด สิ้นสุดการรวบรวมคะแนน พิธีกรเริ่มประกาศรายชื่อนับถอยหลังจากหมายเลขสิบ
จนกระทั่งถึงคนสุดท้าย
“ผมขอประกาศว่า ผู้ที่ได้แชมป์รายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ซีซั่นที่หนึ่งคือ…”
“ลู่เฉิน!”
…………………………………………………………………………