ตอนที่ 154 อัลบั้มเสร็จแล้ว!
เวลาผ่านไป ค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด ไม่ทันรู้ตัวก็เคลื่อนผ่านไปแล้ว เร็วราวกับม้าวิ่งผ่าน
เผลอแป๊บเดียวอากาศร้อนเดือนสิงหาคมก็ผ่านไป มหานครที่มีประชากรสามสิบล้านคนในกรุงปักกิ่งก็ย่างเข้าสู่เดือนกันยายนที่หอมอบอวลไปด้วยดอกหอมหมื่นลี้ ฤดูร้อนผ่านไปฤดูใบไม้ร่วงเข้ามาเยือน ต้อนรับช่วงเวลาที่ดีที่สุดแห่งปี
สตูดิโอเนี่ยผาน ศูนย์ความคิดสร้างสรรค์หลันเทียน
ภายในห้องอัดเสียง หวังฉางเซิงผู้จัดการสตูดิโอ หวังจิ้งผู้อำนวยการเพลง หวังฮุยผู้บันทึกเสียงและสมาชิกที่เหลืออีกสามคนของสตูดิโอเนี่ยผานต่างมารวมตัวกัน ใช้สายตาที่ตื่นเต้นหรือไม่ก็รอคอยจ้องมองไปที่ลู่เฉิน
หน้าผากของหวังฉางเซิงมีเหงื่อเม็ดละเอียดผุดขึ้นมา สายตานิ่งอึ้งงงงันเล็กน้อย กับมือขวาที่อดสั่นเทิ้มไม่ได้
สายตาของหวังจิ้งยังคงสดใสเหมือนเดิม แต่ท่าทางการใช้ฟันกัดริมฝีปาก เผยให้เห็นถึงอารมณ์ที่อยู่ในใจของเธอ
หวังฮุยยิ่งแย่เข้าไปอีก เขาสั่นไปทั้งตัว และใช้กำปั้นกดทับไปที่ปากของตัวเองสองสามครั้ง ดูเหมือนจะพยายามใช้แรงกัด ไม่อย่างนั้นคงควบคุมตัวเองไม่อยู่และร้องตะโกนออกมา
แต่ลู่เฉินไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ เขากำลังใส่หูฟังมอนิเตอร์ตัวใหญ่ฟังเสียงของตัวเองอยู่
“ทุกครั้งที่ฉันค้นหาความหมายของการมีชีวิตไม่เจอ ทุกครั้งที่ฉันหลงทางอยู่ในความมืดมิด”
“โอ้~ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี โปรดส่องแสงนำทางฉันให้ก้าวเดินไปข้างหน้า”
เสียงเพลงยังคงดังอ้อยอิ่งอยู่ ราวกับลอยวนอยู่รอบหู เหมือนกับเลือดที่แผดเผาอยู่ในหัวใจยังคงร้อนแรงอยู่!
ผ่านไปนานสักพักหนึ่ง ลู่เฉินจึงถอนหายใจยาว ลืมตาขึ้นมา
ภายใต้สายตาเฝ้ารอด้วยความวิตกกังวลของทุกคน เขาถอดหูฟังออก แล้วพยักหน้าพูดว่า “โอเคแล้ว”
“Yes!”
คำง่ายๆ เพียงสามคำ ทำให้เกิดความตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาในสตูดิโอ หวังฮุยตะโกนเสียงดัง จากนั้นสมาชิกอีกสามคนของสตูดิโอเนี่ยผานต่างปรบมือเสียงดัง
หวังฉางเซิงยิ้มอย่างดีใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก แม้แต่หวังจิ้งที่เป็นคนนิ่งๆ ก็ยังยิ้มจนหน้าบาน
พวกเขามีเหตุผลที่จะดีใจ มีเหตุผลที่จะโห่ร้องไชโย และมีเหตุผลที่จะเฉลิมฉลอง!
ลู่เฉินเอาอัลบั้มแรกของตัวเองมาทำที่สตูดิโอเนี่ยผาน ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุดเท่าที่สตูดิโอเคยรับมา ใช้เวลานานถึงสองเดือน จนถึงตอนนี้ก็ถึงเวลาประกาศความเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ถึงแม้จะมีปัญหาของการเรียบเรียงเพลง ดนตรีประกอบ การบันทึกเสียงหรือว่าการตัดต่อเบื้องหลัง ไม่บรรลุผลในระดับที่ดีที่สุด แต่ทุกคนก็ใช้ความสามารถของตัวเองทำอย่างเต็มที่
ทั้งอัลบั้มมีสิบเพลง ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นผลงานดีไร้ที่ติ แต่ก็พูดได้ว่าเป็นผลงานเยี่ยมยอดที่มีความจริงใจมาก
ลู่เฉินพอใจมากแล้ว
เงินหนึ่งแสนหยวนสามารถทำออกมาได้ผลลัพธ์แบบนี้ มันเกินความคาดหมายของเขาแล้ว บางทีการเรียบเรียงเพลงอาจจะอ่อนประสบการณ์ไปบ้าง บางทีดนตรีประกอบอาจจะไม่มีความชำนาญมากพอ แต่สำหรับอัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ นี้มากพอแล้วจริงๆ
ความอ่อนประสบการณ์และไม่ชำนาญนี้ ไม่มีผลกระทบต่อสไตล์พิเศษขององค์ประกอบหลักเลย กระทั่งสามารถแสดงอารมณ์บางอย่างของเพลงบัลลาดพื้นบ้านร่วมสมัยออกมาได้ดีมาก
เขาพูดด้วยความจริงใจ “ขอบคุณครับ!”
ลู่เฉินยื่นมือไปที่หวังฉางเซิงก่อน เพื่ออัลบั้มชุดนี้ ผู้จัดการคนนี้ต้องวิ่งเต้นทั้งในและนอก เพื่อทำให้ทีมงานผู้จัดทำไร้ความกังวล แม้จะไม่มีผลงานแต่ก็ได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง
จากนั้นก็เป็นหวังฮุย
งานของเขาเหนื่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกเสียงหรือตัดต่อล้วนเป็นเขาที่ทำคนเดียว และยังต้องทำงานล่วงเวลาบ่อยๆ
แล้วก็ยังมีหวังจิ้ง
เธอเป็นคนจัดการการเรียบเรียงเพลงทั้งหมด เธอเรียนจบมาจากสถาบันจิงอินจึงจับสไตล์ของอัลบั้มถูกนอกจากนี้ยามที่เจอปัญหา เธอก็จะแก้ไขอย่างไม่เหนื่อยหน่าย ถึงจะล้มสองสามครั้งแต่เธอก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างจริงจัง
สุดท้ายคือสมาชิกของวงอีกสามคน ที่ต้องลำบากมากเหมือนกัน
แม้ว่าพวกเขาจะทำเพื่องานและสตูดิโอของตัวเองเป็นหลัก แต่ลู่เฉินก็ยังคงขอบคุณ
เพราะลู่เฉินได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการทำอัลบั้มของตัวเอง จึงรู้ถึงความขยันและทุ่มเทของทุกคนเป็นอย่างดี!
ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงความขอบคุณต่อทุกคนในสตูดิโอเนี่ยผาน…จับมือเพื่อแสดงความขอบคุณ
เรื่องต่อไปนี้ก็ง่ายขึ้น ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ลู่ซีที่มาพร้อมกับลู่เฉินได้จ่ายเงินค่าทำเพลงงวดที่เหลือให้แก่สตูดิโอเนี่ยผาน ขณะเดียวกันก็เอาแผ่นดิสก์ต้นฉบับของอัลบั้มและไฟล์เสียงที่ไม่มีการสูญเสียคุณภาพเสียงไปด้วย
อัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ มีทั้งหมดสิบเพลง นอกจากเพลงหลัก ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ แล้วก็ยังมีเพลง ‘ธุลีรักในสายลม’ เพลง ‘เพื่อนที่นอนบนเตียงของฉัน’ เพลง ‘ซินเดอเรลล่า’ เพลง ‘วัยเจิดจรัส’ เพลง ‘คนงาม’ เพลง ‘ดอกไม้เหล่านั้น’ เพลง ‘บทเพลงแห่งกาลเวลา’ เพลง ‘หนังกลางแปลง’ รวมแปดเพลง ซึ่งเป็นผลงานเพลงสไตล์บัลลาดพื้นบ้านร่วมสมัย
เพลงสุดท้ายลู่เฉินเดิมทีอยากจะใช้เพลง ‘คุณในอดีต’ เป็นเพลงรั้งท้ายมอบความตื่นเต้น แต่เมื่อพิจารณาถึงอิทธิพลและปัญหาของสไตล์โดยรวมของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ สุดท้ายเขาจึงเลือกเพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’
ส่วนเพลง ‘คุณในอดีต’ และ “วิ่งตามความฝันด้วยใจอันบริสุทธิ์” ก็ปล่อยให้อยู่ในอัลบั้มถัดไป
เมื่อลองคิดดูอย่างละเอียด การจัดเตรียมงานแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นความอลังการหรูหรา ทั้งสิบเพลงนี้เป็นผลงานเพลงยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองหรือว่าเนื้อร้องล้วนจุดประกายมากพอ และยังเป็นแก่นสำคัญของเพลงคลาสสิกอย่างแท้จริง
อัลบั้มแรกในชีวิต ลู่เฉินจะสะเพร่าไม่ได้เด็ดขาด!
ทว่าชื่อของอัลบั้มทำให้เขาลังเลอยู่นาน หากมองจากมุมมองของการโปรโมท เพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’ มีความเหมาะสมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่เข้ากับหัวข้อของเพลงบัลลาดพื้นบ้านร่วมสมัยเอามากๆ
หลังจากผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ลู่เฉินจึงเลือกเพลง ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’
สตูดิโอลู่เฉินได้คุยงานกับเฟยซวิ่นมิวสิคเรียบร้อยแล้ว อัลบั้มแรกของลู่เฉินจะวางจำหน่ายและถูกจำหน่ายเพียงเจ้าเดียวในเฟยซวิ่นมิวสิค ดังนั้นเขาจึงรอแค่ไฟล์เสียงชุดนี้
เฟยซวิ่นมิวสิคเป็นเว็บไซต์เพลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีส่วนแบ่งทางตลาดมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เดิมทีลู่เฉินที่เป็นคนใหม่และศิลปินอิสระแบบนี้ ถ้าอยากจะจำหน่ายอัลบั้มของตัวเองบนเว็บไซต์ของพวกเขาเป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่เนื่องจากผลงานเพลงสองสามเพลงที่ลู่เฉินร้องโชว์ในรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ในเวอร์ชั่นสด ประสบความสำเร็จอย่างมากในเฟยซวิ่นมิวสิค ได้รับการบอกต่อมียอดดาวน์โหลดที่ดีมาก เพราะฉะนั้นทางเว็บไซต์จึงเล็งเห็นความสำคัญกับการร่วมงานกันทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมาก
เฟยซวิ่นมิวสิคแน่นอนว่ามีกฎในที่ลับและที่ในที่แจ้งอยู่แล้ว ชาร์ตหน้าแรกของโฮมเพจมีการปฏิบัติการอย่างลับๆ ทว่าพวกเขาไม่อาจมองข้ามนักร้องนักแต่งเพลงคนใหม่ที่มีศักยภาพทางการตลาดมหาศาลได้ ดังนั้นพวกเขาจึงยอมแลกผลประโยชน์บางส่วน
ตำแหน่งฐานะที่เท่าเทียมกันแบบนี้ได้มายากมาก แน่นอนว่ามาจากความสามารถของลู่เฉินเป็นหลัก
ไม่อย่างนั้นลู่เฉินก็สามารถไปหาคู่แข่งของเฟยซวิ่นมิวสิค เช่น อี้หว่างมิวสิค สถานีวิทยุยอดนิยมอื่นๆ เป็นต้น ด้วยคุณภาพและความนิยมของเขา สามารถทำยอดขายได้ไม่แย่เช่นกัน
เฟยซวิ่นมิวสิคไม่อยากแพ้คู่แข่ง ต่อให้ส่วนแบ่งตลาดของฝ่ายหลังจะสู้ตัวเองไม่ได้ก็ตาม
ตามแผนการของลู่เฉิน หลังจากเฟยซวิ่นมิวสิควางจำหน่ายในตลาดแล้ว ก็คือการขยายสัญญาไปที่เฟยสือเรคคอร์ดในขณะเดียวกัน
เฟยซวิ่นกับเฟยสือ โดยทั่วไปแล้วสามารถเป็นช่องทางการจำหน่ายอัลบั้มที่สมบูรณ์แบบได้ และเรียกอีกอย่างว่า ‘บินคู่ขนาน’
แต่ก็ยังมีปัญหาที่สำคัญมากยังแก้ไขไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกช่องทางของเฟยซวิ่นก่อน
“เสี่ยวเฉิน!”
เสียงเรียกข้างหูทำให้ลู่เฉินพลันตกใจตื่น
ลู่ซีถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรเหรอ”
เมื่อครู่ลู่เฉินคิดถึงช่องทางการจำหน่ายอัลบั้มจนเหม่อ ตอนนี้ได้สติกลับมาแล้ว และรีบเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร…”
เขาจึงพูดกับหวังฉางเซิงอีกครั้ง “ผู้จัดการหวังครับ ผมจองโต๊ะที่โรงแรมปักกิ่งไว้เรียบร้อยแล้ว เย็นนี้ผมขอเลี้ยงข้าวทุกคน ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว พวกเราไปด้วยกันเถอะครับ!”
ท่าทางการทำงานที่จริงจังของสตูดิโอเนี่ยผานทำให้ลู่เฉินรู้สึกดีมาก แน่นอนว่าต้องได้ร่วมงานกันอีก เพราะฉะนั้นเขาจึงยอมเดินเข้าไปอีกหนึ่งก้าวเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย
ลู่ซีเคยเตือนเขาแล้ว ถ้าหากมีโอกาสที่เหมาะสม ก็ให้รับซื้อสตูดิโอเนี่ยผานมาเพื่อขยายอาณาจักรของตัวเอง
แต่ความคิดของพี่สาว ลู่เฉินยังไม่เห็นด้วยชั่วคราว เพราะเขามองออกว่าหวังฉางเซิงและครอบครัวมีความรู้สึกลึกซึ้งกับสตูดิโอแห่งนี้มาก ทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้าไปในนี้มากเช่นกัน
ดังนั้นเว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเสนอเอง ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ซื้อสตูดิโอเนี่ยผานเด็ดขาด
ถ้าหากสตูดิโอลู่เฉินถึงเวลาที่ต้องขยายจริงๆ เขายินดีที่จะจ้างคนอื่นมาสร้างสตูดิโอใหม่ก็ไม่มีปัญหา
เขาไม่อยากเป็นพ่อค้าหัวหมอ อะไรก็คิดแต่เรื่องผลประโยชน์
“ดีจริงๆ ขอบคุณพี่ลู่เฉินครับ!”
หวังฮุยแสดงตัวด้วยการกอดยกใหญ่ และพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “กินข้าวกล่องทุกวัน จนแทบจะอาเจียนอยู่แล้ว ผมอยากกินมื้อใหญ่ ผมอยากกินเป็ดปักกิ่ง ซี่โครงหมูน้ำแดง ปลาเปรี้ยวหวาน…โอ้ย!”
หวังจิ้งตบศีรษะด้านหลังของเขาทีหนึ่ง ขึงตามองด้วยความโกรธ…นายอย่าทำให้คนขายหน้าได้ไหม
หวังฮุยทำสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
ลู่เฉินยิ้มพราย
หวังฮุยเป็นหนุ่มที่ทำงานด้านสารสนเทศที่อยู่ติดบ้านไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่มีความคิดซับซ้อน หากสนิทกับใครแล้วคิดอะไรก็พูดแบบนั้น
เมื่อเทียบกันแล้ว พี่สาวของเขาหวังจิ้งค่อนข้างให้ความสำคัญกับรายละเอียดพวกนี้
หวังฉางเซิงรีบกล่าวว่า “คุณลู่ ผมขอเลี้ยงข้าวมื้อนี้เองนะครับ”
สตูดิโอเนี่ยผานได้เงินจากลู่เฉิน แถมลู่เฉินยังต้องออกเงินเลี้ยงข้าวอีก แบบนั้นน่าเกรงใจจริงๆ!
ลู่เฉินยิ้มพูดว่า “ผู้จัดการหวังเกรงใจเกินไปแล้วครับ ทุกคนเหนื่อยมากจริงๆ ผมจำเป็นต้องเลี้ยงครับ!”
ภายใต้ความยืนหยัดของลู่เฉิน เขาจึงเป็นคนเลี้ยงอาหารมื้อเย็นนี้
ทุกคนออกจากสตูดิโอเนี่ยผานพร้อมกัน
โรงแรมปักกิ่งอยู่ข้างๆ ศูนย์ความคิดสร้างสรรค์หลันเทียน ใช้เวลาเดินเพียงสิบนาทีเท่านั้น
ลู่เฉินจองห้องวีไอพีในร้านอาหารชั้นสองของโรงแรม
หลังจากนั่งกันแล้ว ลู่เฉินจึงยื่นรายการอาหารให้หวังฮุยแล้วยิ้มพูดว่า “นายสั่งสิ ชอบอะไรก็สั่งเลย ไม่ต้องเกรงใจฉัน อัลบั้มชุดนี้สามารถประสบความสำเร็จได้ ก็เพราะแรงของนายเป็นคนแรก!”
หวังฮุยหัวเราะคิกคักและรับมา จากนั้นก็พูดว่า “พี่ลู่เฉิน ผมเกรงใจคนอื่น แต่ไม่เกรงใจกับพี่นะ ตอนนี้พี่เป็นเศรษฐีแล้ว ไปร่วมรายการประกวดได้เงินหนึ่งล้านกว่า พี่สาวของผมนับถือพี่มากๆ ครับ!”
หวังจิ้งที่อยู่ข้างๆ เขาหน้าแดงก่ำ และพูดดุว่า “นายพูดมั่วอะไร!”
หวังฮุยแลบลิ้น รีบสั่งอาหาร
หลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว กับข้าวและเหล้าก็ถูกยกมาส่ง
ลู่เฉินเทเบียร์ให้ตัวเองเต็มแก้ว ชูแก้วแล้วยิ้มพูดว่า “ผมขอดื่มแก้วนี้ให้ทุกคนครับ ขอบคุณความพยายามของทุกคน ช่วยผมทำอัลบั้มชุดยอดเยี่ยมสำเร็จ ขอบคุณครับ!”
เขาดื่มหมดแก้ว หวังฮุยและคนอื่นๆ รีบปรบมือร้องไชโยทันที
คนที่นั่งอยู่นอกจากหวังฉางเซิงแล้ว คนอื่นล้วนเป็นวัยรุ่นมีอายุไล่เลี่ยกัน ทุกคนชอบดนตรี จึงมีเรื่องมากมายสามารถแชร์กันได้ เพราะฉะนั้นบรรยากาศของการรับประทานอาหารมื้อนี้จึงสนุกสนานและครึกครื้นมาก
ดื่มไปได้ครึ่งทาง โทรศัพท์ของลู่เฉินก็ดังขึ้นมา
ลู่เฉินหยิบออกมาดู ชื่อคนที่โทรมาปรากฏขึ้นบนหน้าจอทำให้เขาตาสว่างทันที!
…………………………………………………………………………
ไอคอนเหรียญทอง