ตอนที่ 184 ไม่ยอมรับ
ตอนที่หลินจื้อเจี๋ยรับโทรศัพท์จากเฉินเฟยเอ๋อร์ ลู่เฉินขับรถเอสยูวียี่ห้อจงหวารุ่นX7 เข้ามาในเขตอุทยานศิลปะ
เฉินเฟยเอ๋อร์นั่งอยู่ตรงตำแหน่งข้างคนขับ
เธอไม่ได้นั่งรถเบนซ์ราคาล้านกว่าหยวนที่ขับตามมาด้านหลังสองคน ราวกับว่าเธอถูกตาต้องใจรถยนต์ที่ผลิตในประเทศราคาแค่สองแสนกว่าของลู่เฉิน
พื้นที่ของอุทยานศิลปะสมัยใหม่บอกไม่ได้ว่ากว้างขวาง แต่พื้นที่ทุกตารางนิ้วเป็นเงินเป็นทอง ถือว่าล้ำค่าหายากยิ่ง ถ้าสร้างเป็นศูนย์การค้าที่พักอาศัยหรืออาคารพานิช ราคาจะต้องพุ่งทะลุเพดานอย่างแน่นอน
เพราะด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับสวนสาธารณไห่ติ้ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ทางทิศเหนือเป็นพระราชวังฤดูร้อนเก่าหยวนหมิงหยวน ผู้ที่อาศัยอยู่รอบด้านและสิ่งแวดล้อมล้วนแล้วแต่ลอกเลียนแบบไม่ได้
อุทยานศิลปะยุคใหม่นี้แตกต่างจากเขตศูนย์กลางการค้าโดยสิ้นเชิง ภายในไม่มีตึกสูงเสียดฟ้าเบียดเสียดกัน มีเพียงสวนป่าไม้ผืนใหญ่ สวนดอกไม้ ทุ่งหญ้า อาคารเตี้ยๆ หลายหลังถูกรายล้อมด้วยสีเขียวสดของธรรมชาติ ทำให้คนที่เข้าไปรู้สึกเหมือนอยู่ในอุทยานป่าไม้
ลู่เฉินมาที่อุทยานศิลปะแห่งนี้เป็นครั้งแรก
ตามสัญญาณจีพีเอสนำทางของรถ เขามาหยุดที่หน้าตึกสีเทาขาวหลังหนึ่ง
อาคารสูงสามชั้น บนผนังแขวนตัวอักษรโลโก้สีเหลืองเกือบดำของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดดึงดูดสายตา วัสดุกึ่งโลหะถูกแสงอาทิตย์ตกต้องส่องประกาย บอกลู่เฉินว่าเขามาถูกที่แล้ว
ทั้งลู่เฉินเองเมื่อเห็นพวกหลินจื้อเจี๋ยยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูใหญ่
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ลงจากรถพร้อมกัน คนของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดเข้ามาให้การต้อนรับ ทักทายกันอย่างอบอุ่น
“คุณเฉินเฟยเอ๋อร์!”
เฉินเฟยเอ๋อร์ร่วมงานกับบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดมาหลายปี ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ฝ่ายแรกมาที่บริษัทนี้หลายครั้ง ทางฝ่ายบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดจึงให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดีเหมือนเดิม
“ลู่เฉิน…”
หลินจื้อเจี๋ยต้อนรับเฉินเฟยเอ๋อร์แล้วหันความสนใจไปที่ลู่เฉิน “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ”
ลู่เฉินจับมือกับเขาแล้วยิ้มให้ “ขอบคุณประธานหลินมากครับ สำหรับคำชี้แนะมากมาย”
หลินจื้อเจี๋ยหัวเราะอย่างเปิดเผย “ให้ชี้แนะผมไม่กล้าหรอก เพลงของคุณสูงส่งกว่าของผมนัก ผมขอแนะนำเพื่อนร่วมงานของผมให้พวกคุณรู้จัก!”
แนะนำเสร็จแล้ว ลู่เฉินก็ได้รู้จักกับรองประธานกรรมการอี้เซียงจวิน ผู้จัดการแผนกบริหารหลู่ไท่
ยังมีนักแต่งเพลงชื่อดังอย่างฟ่านจวิ้น
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า ลู่เฉินรู้สึกว่านักแต่งเพลงคนนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรกับเขานัก ตอนที่จับมือกันก็จับแบบผ่านๆ และไม่ยิ้มแย้มมองดูเหมือนการส่งสัญญาณเป็นปฏิปักษ์
คนอาชีพเดียวกันไม่เข้าใกล้กัน?
ลู่เฉินไม่ได้สนใจนัก เขากับเฉินเฟยเอ๋อร์เดินตามการนำทางของพวกหลินจื้อเจี๋ยเข้าไปในอาคารบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด
บริษัทที่ได้เสียงชื่นชมมาสามสิบปี มีความสามารถ เคยเป็นบริษัทอัดเสียงอันดับหนึ่งของประเทศ เป็นเจ้าของตึกทั้งสามชั้นแต่เพียงบริษัทเดียว ดังนั้นพื้นที่ภายในจึงกว้างขวาง สไตล์การตกแต่งดูโอ่อ่าหรูหรา
กระจกบานสูงจรดพื้นใสแจ๋วเรียงกันเป็นแนว ทำให้แสงสว่างจากพระอาทิตย์และวิวทิวทัศน์ด้านนอกเห็นเข้าไปถึงภายใน เป็นการออกแบบที่ช่วยประหยัดได้เป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศการทำงานเหมือนกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติ
ผนังตามทางเดินยังคงแขวนรูปภาพใหญ่ ทั้งหมดเคยหรือกำลังเป็นนักร้องในสังกัดของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด สำหรับลู่เฉินแล้วมีแต่คนโด่งดังมีชื่อเสียงทั้งนั้น!
พนักงานของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดล้วนมีคุณภาพ หรือเคยชินกับเหล่านักร้องศิลปินคนดัง ไม่มีใครมุงเข้ามาหาเฉินเฟยเอ๋อร์ เมื่อได้พบกับเธอล้วนก้มโค้งทำความเคารพทักทาย
บรรยากาศแบบนี้ลู่เฉินอดรู้สึกประทับใจไม่ได้ บริษัทเฟยสือเรคคอร์ดเป็นสถานที่ลึกล้ำเหลือเกิน!
ทุกคนเข้าไปนั่งในห้องรับแขกพิเศษที่ใหญ่โตหรูหรา ชาและกาแฟถูกยกมาเสิร์ฟ หลินจื้อเจี๋ยเอ่ยถาม “เฟยเอ๋อร์เพลงหลักในอัลบั้มใหม่ของคุณตกลงเลือกได้หรือยัง”
พูดตามตรง ในโทรศัพท์เมื่อครู่เฉินเฟยเอ๋อร์บอกว่าเลือกได้แล้ว เป็นเพลงที่ทำขึ้นโดยลู่เฉินใช้เป็นเพลงหลัก ประธานแห่งบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดคนนี้ไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อหลายเดือนก่อน เฉินเฟยเอ๋อร์ได้เริ่มตามหาเพลงเพื่อมาทำอัลบั้มของเธอ หลินจื้อเจี๋ยยังช่วยแนะนำนักแต่งเพลงดังๆ หลายคนในวงการให้เธอ เธอกลับไม่พอใจสักคน
เฉินเฟยเอ๋อร์ตั้งเป้าหมายกับอัลบั้มนี้ไว้สูงเป็นพิเศษ อย่างแรกคือเธอต้องการเปลี่ยนแนวเพลง
ใครๆ ต่างก็รู้ว่านักร้องคนหนึ่งจะเปลี่ยนแนวเพลงนั้นไม่ง่ายเลย เพราะกลุ่มแฟนคลับของเขาหรือเธอได้มีตายตัวแล้ว ทุกคนคุ้นเคยและชอบแนวเพลงของนักร้องในแบบเดิม
ดังนั้นหากเปลี่ยนแนวเพลงคงไม่อาจทำให้ผู้ฟังพอใจ ผลลัพธ์จะทำให้กลุ่มแฟนคลับดั้งเดิมสูญหายไป แล้วยังดึงดูดแฟนคลับกลุ่มใหม่มาไม่ได้ ความนิยมและมูลค่าของแบรนด์จะตกต่ำลง
ในวงการเพลง นักร้องที่ถูกคัดออกจากตลาดเพราะเปลี่ยนแนวเพลงมีนับไม่ถ้วน!
สำหรับเฉินเฟยเอ๋อร์ยิ่งยากขึ้นไปอีก
เธอเป็นราชินีแห่งเพลงหวานมาสิบกว่าปี เสียงร้องและรูปลักษณ์เข้าไปอยู่ในใจคน แม้จะบอกว่าตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับตลาดที่หดตัวลง แต่อาศัยแค่เงินเพื่อเลี้ยงชีพยังพอมีพอกินไปทั้งชีวิต
แต่หลินจื้อเจี๋ยทราบดีเช่นกันว่าตอนนี้เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้ไขว่คว้าหาชื่อเสียง เงินของเธอมีมากพอแล้ว ชื่อเสียงก็เคยโด่งดังถึงขีดสุด รางวัลที่เธอได้รับมีไม่รู้เท่าไหร่
สิ่งที่เธอไขว่คว้าคือจุดสูงสุดในอาชีพของเธอ!
หากอยากใช้อัลบั้มหนึ่งชุดเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้ของเธอ ก็จะกลายเป็นสงครามอันหฤโหดของใครก็ตามที่มาแต่งเพลงให้เธอ
ลู่เฉินไหวเหรอ?
หลินจื้อเจี๋ยไม่ได้สงสัยพรสวรรค์และความสามารถของลู่เฉิน ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางยืนยันให้ลู่เฉินเข้ามาร่วมทำเพลงหลักของวงเอ็มเอสเอ็นเด็ดขาด แต่กับเฉินเฟยเอ๋อร์นั้นไม่เหมือนกัน
กลุ่มแฟนคลับของเธอคือคนในยุคหลังปี 70-80 วงเอ็มเอสเอ็นจับตลาดคนยุคหลังปี 90 ถึงปี 2000!
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นตัวกำหนดสไตล์เพลงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ลู่เฉินแสดงความสามารถในการแต่งเพลง ล้วนเป็นเพลงโฟล์คซองและเพลงซอฟต์ร็อก เขาคงไม่ให้เฉินเฟยเอ๋อร์เปลี่ยนไปร้องเพลงโฟล์คซองหรือเพลงร็อกแอนด์โรลหรอกน่า?
คิดตามแล้ว หลินจื้อเจี๋ยอยากจะเป็นลม
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มน้อย “พี่หลิน รอให้พี่ฟังเพลงจบก่อน ฉันเชื่อว่าเพลงใหม่ของลู่เฉินไม่ทำให้พี่ผิดหวัง อัลบั้มใหม่ของชั้นคราวนี้จะทำให้สอดคล้องกับเพลงสองเพลงนี้!”
เสียงของเธออ่อนโยนเสนาะหู กลับเจือปนด้วยความหนักแน่นไม่หวั่นไหว
อี้เซียงจวิน ฟ่านจวิ้นและคนอื่นๆ มองหน้ากันไปมา พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเฉินเฟยเอ๋อร์จะเชื่อมั่นในตัวลู่เฉินมากมายขนาดนี้
เพลงใหม่ของลู่เฉินดีมากจริงเหรอ
อี้เซียงจวินแอบเสียใจ การที่เธอคัดค้านหลินจื้อเจี๋ยในตอนแรกเป็นการตัดสินใจที่ย่ำแย่
ส่วนฟ่านจวิ้นแอบกำหมัดแน่น ในใจของเขารู้สึกไม่อาจยอมรับได้
ความรู้สึกไม่ยอมรับนี้ความจริงมาจากความรู้สึกของการเป็นผู้อาวุโสกว่า ที่รู้สึกระแวดระวังและหวาดกลัวคนรุ่นใหม่ที่เก่งกาจ
แต่ต่อหน้าเฉินเฟยเอ๋อร์ ฟ่านจวิ้นไม่กล้าแสดงความรู้สึกในใจออกมาโดยตรง
เขาต้องรอคอยโอกาสที่เหมาะสม
หลินจื้อเจี๋ยหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นต้องตั้งใจฟังแล้ว!”
เงียบไปครู่หนึ่งเขาพูดขึ้นมา “เฟยเอ๋อร์ บริษัทเฟยสือเรคคอร์ดของเราเพิ่งตั้งวงนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปใหม่ขึ้นมา ชื่อวงเอ็มเอสเอ็น ฉันอยากให้พวกคุณทำความรู้จักหน่อย ขอคำชี้แนะจากคุณด้วย”
หลินจื้อเจี๋ยกับเฉินเฟยเอ๋อร์รู้จักกันมาหลายปี เคยทำอัลบั้มด้วยกัน ทั้งสองสนิทสนมกันดี
ดังนั้นจึงอาศัยโอกาสนี้ เขาอยากแนะนำวงเอ็มเอสเอ็นให้เฉินเฟยเอ๋อร์ หวังว่าซูเปอร์สตาร์ราชินีเพลงรักคนนี้จะช่วยเกื้อหนุน ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากแก่วงเอ็มเอสเอ็น!
“วงเกิร์ลกรุ๊ปเอ็มเอสเอ็น?”
เฉินเฟยเอ๋อร์อึ้งไปแล้วรีบตอบกลับ “ชื่อวงน่าสนใจ ให้พวกเธอเข้ามาเถอะ”
เอ็มเอสเอ็น?
สีหน้าของลู่เฉินแปลกไปเขารู้ว่าเอ็ม เอส และเอ็นมาจากชื่อแซ่ของนักร้องสาวทั้งสามรวมกัน แต่ชื่อนี้ทำให้คิดถึงโปรแกรมแชทหนึ่งในโลกแห่งความฝันของเขา
ผ่านไปครึ่งนาที วงเกิร์ลกรุ๊ปเอ็มเอสเอ็น ทั้งสามคนเข้ามาถึงห้องรับแขกพิเศษ
ทั้งสามคนแต่งชุดกระโปรงสีขาวเหมือนกัน มีเพียงขอบกระโปรงที่มีแถบสีต่างกันคือ สีแดง เหลือง และม่วง ส่วนสูงไล่เลี่ยกัน หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเหมือนกัน ฉายแววของวัยรุ่นที่สดใส
ใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อเข้ามาแล้วยืนเบียดกันคำนับเฉินเฟยเอ๋อร์ “พี่เฟยสวัสดีค่ะ!”
เฉินเฟยเอ๋อร์พยักหน้ายิ้มให้ “สวัสดีจ้ะ…เสี่ยวชู?”
เธอตกตะลึงเมื่อหนึ่งในสมาชิกของวงเอ็มเอสเอ็น คือมู่เสี่ยวชู
มู่เสี่ยวชูยิ้มเอียงอาย “สวัสดีค่ะพี่เฟย สวัสดีค่ะรุ่นพี่”
คำทักทายหลังเธอพูดกับลู่เฉิน
ลู่เฉินประหลาดใจ “อืม…สวัสดีเสี่ยวชู”
เขาคิดไม่ถึงว่ามู่เสี่ยวชูจะเซ็นสัญญากับบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป
หลินจื้อเจี๋ยหัวเราะ “ผมขอแนะนำหน่อย…”
มู่เสี่ยวชู ปีนี้อายุ 19 ปี มาจากวิทยาลัยภาษาต่างประเทศแห่งปักกิ่ง เป็นผู้ชนะเลิศหนึ่งในห้าจากรายการขับร้องให้ก้องจีน
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์คุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดี ไม่ต้องแนะนำเป็นพิเศษ
มู่เสี่ยวชูคือสมาชิกตัวเอ็ม
สมาชิกตัวเอสชื่อซูเจียเจีย อายุ 19 เช่นกัน เป็นนักร้องฝึกหัดของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดแต่เดิม
หน้าตาของเธอค่อนข้างอ่อนหวานละมุนละไม ใบหน้ารูปไข่กับคิ้วเรียวยาวเหมือนใบหลิว ริมฝีปากแดงฟันขาวบ่งบอกถึงนิสัยเปิดเผย เวลายิ้มเผยเขี้ยวคู่เล็กๆ ออกมา
คนสุดท้ายคือหนิงเถียน อายุ 20 ปี มาจากวิทยาลัยการดนตรีแห่งภาคเหนือถือว่าเป็นสมาชิกที่เรียนมาสายตรง
หนิงเถียนอายุมากที่สุดในบรรดาทั้งสามคน และเป็นคนที่รูปร่างสวยงามที่สุด
ดวงตาของเธองดงามจับใจ เวลายิ้มน้อยๆ เหมือนกำลังเอ่ยคำพูดบางอย่าง ทำให้คนรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าหาเธอ
วงเกิร์ลกรุ๊ปเอ็มเอสเอ็นช่างไพเราะสวยงามสมชื่อเสียจริง!
เฉินเฟยเอ๋อร์จับมือกับพวกเธอกล่าวชมเชย “สวยมากๆ พี่หลินคุณตาแหลมมาก ฉันเชื่อว่าวงของพวกเธอจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน!”
หลินจือเจี๋ยตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอาศัยการสนับสนุนจากทุกคนแล้วครับ…”
พูดจบแล้วมองไปที่ลู่เฉิน “ลู่เฉิน ผมเตรียมจะขอเพลงจากคุณเลย คุณกับเสี่ยวชูเหมือนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน งานนี้คุณต้องลงมือช่วยนะ!”
ลู่เฉินหัวเราะ “พี่หลิน พี่ก็พูดเข้า ผมต้องเอาเพลงดีๆ ออกมาให้พี่อยู่แล้ว”
ขายเพลงให้ใครไม่ใช่ขายเหมือนกันหรอกเหรอ? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเขาจะขอร้องบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดเลย
ซีดี อัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ การพิมพ์โปสเตอร์ตลอดจนการนำส่งแล้ว ล้วนผ่านบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดทั้งนั้น
หลินจื้อเจี๋ยหัวเราะเสียงดัง เขาไม่ได้ต่อความยาวในเรื่องนี้
ไม่เช่นนั้นหน้าของอี้เซียงจวินกับฟ่านจวิ้นแทบจะแขวนไว้ไม่อยู่แล้ว
เขาเอ่ยต่อ “พวกเราไปฟังเพลงใหม่ของคุณกันเถอะ!”
ไม่รู้ว่าทำไมผู้อำนวยการเพลงแห่งบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดคนนี้จึงเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมในผลงานเพลงใหม่ของลู่เฉิน
เขาแทบจะทนรอฟังไม่ได้แล้ว!
………………………………