ตอนที่ 216 ท่านเทพถูกปลุกให้ตื่น
ตอนที่เผยแพร่โครงการระดมทุนช่วยเหลือเมิ่งเมิ่งออกไป ลู่เฉินเฝ้าดูอยู่ในบริษัทระดมทุนมู่เฉิน
ภายใต้การควบคุมของหลี่มู่ซือ บริษัทใหม่แห่งนี้ที่เพิ่งตั้งขึ้นได้เพียงเดือนเดียว มีจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นจนเกินกว่าร้อยคนแล้ว โครงการระดมทุนในเว็บไซต์ระดมทุนออนไลน์ก็เพิ่มขึ้นจากตอนแรกที่มีแค่หนึ่งโครงการเป็นหลายสิบโครงการ แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจ
แต่วันนี้พระเอกของการระดมทุน แน่นอนว่าคือลู่เฉินที่ต้องการทำโครงการเพื่อการกุศลครั้งนี้
บริษัทระดมทุนมู่เฉินยิ่งต้องให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
และผลของการระดมทุนก็ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายของทุกคน ยอดเงินบริจาคไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาพนักงานที่ทำงานล่วงเวลาในบริษัททั้งคืนต่างตาค้างตกตะลึง นักเทคนิคหลายคนก็ถึงกับงานยุ่งจนเหงื่อท่วมหัว
ปริมาณทราฟฟิกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เซิร์ฟเวอร์รับไม่ไหว
จำนวนผู้ลงชื่อเข้าเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ระดมทุนออนไลน์ยิ่งเป็นที่น่าประหลาดใจ
ตอนแรกผู้ก่อตั้งอย่างลู่เฉินก็ตกตะลึง แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นซาบซึ้งใจ
เขาจำเป็นต้องติดต่อหลี่มู่ซือ ให้ท่านซีอีโอของเว็บไซต์ระดมทุนออนไลน์คนนี้รีบกลับมาที่บริษัท
นี่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว!
หลี่มู่ซือผู้ซึ่งไปออกงานสังคมอยู่ข้างนอก พอได้รับข่าวก็รีบกลับมากำกับดูแลสถานการณ์
เหตุการณ์แบบนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเธอเหมือนกัน
แต่นักศึกษาดีเด่นจากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตันคนนี้รู้ดีว่า สถานการณ์เช่นนี้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาบริษัทระดมทุนมู่เฉินมากมายเพียงใด นี่เป็นโอกาสทองที่หาได้ยาก
ดังนั้นหลี่มู่ซือจึงขอให้ลู่เฉินดำเนินโครงการนี้ต่อไปเพื่อรักษาโมเมนตัมเช่นนี้เอาไว้
โครงการระดมทุนช่วยเหลือเมิ่งเมิ่งนั้นสำเร็จลุล่วงไปอย่างไม่มีปัญหา เพียงแต่เมื่อยอดเงินบริจาคของโครงการได้ตามเป้าหมายแล้ว การสนับสนุนของทุกคนจะต้องลดน้อยลงมากแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่หลี่มู่ซือไม่อยากเห็น
เธอหวังอยากให้เป็นแบบนี้ติดต่อกันไปอีกหลายวัน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นอิทธิพลของเว็บไซต์ระดมทุนออนไลน์จะต้องแผ่ขยายออกไปกว้างขวางขึ้น ได้รับการรู้จักและทำความเข้าใจมากขึ้น เป็นการโฆษณาอย่างดีครั้งหนึ่ง
นักธุรกิจย่อมมีความคิดแบบนักธุรกิจ หลี่มู่ซือมีความคิดเช่นนี้ ลู่เฉินก็เข้าใจ
หากเป็นเขาเองก็คงเป็นเช่นนี้ไม่ต่างกัน
ด้วยเหตุนี้ลู่เฉินจึงขยายขอบเขตการระดมทุนช่วยเหลือให้กว้างขึ้น ไม่เพียงเพื่อช่วยเหลือเมิ่งเมิ่งคนเดียว แต่จะส่งต่อความช่วยเหลือไปสู่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเลือดขาวคนอื่นๆ ด้วย เช่น เสี่ยวเฉิงเฉิงเด็กน้อยที่อยู่เตียงข้างๆ เมิ่งเมิ่ง
เขาทราบดีว่า เว็บไซต์ระดมทุนออนไลน์ไม่ใช่องค์กรการกุศลที่แท้จริง และกิจกรรมเพื่อการกุศลแบบนี้ ครั้งแรกจะเป็นครั้งที่ประสบความสำเร็จที่สุด ถ้ารีบสิ้นสุดลงก็คงน่าเสียดาย
ลู่เฉินคิดถึงเสี่ยวเฉิงเฉิง คิดถึงผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวคนอื่นๆ ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือของโรงพยาบาลประชาชนแห่งที่หนึ่งประจำเมืองหนิงย่วน แล้วเขาก็โทรศัพท์หาเฉินเฟยเอ๋อร์
เธอรับสายเร็วมาก เป็นเสียงของเฉินเฟยเอ๋อร์ที่ดังออกมา “ลู่เฉิน มีอะไรเหรอ”
ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยแล้วลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “พี่เฟย ขอบคุณมากครับ!”
เขารู้สึกขอบคุณเฉินเฟยเอ๋อร์ที่สนับสนุนเขา ฝ่ายหลังช่วยเผยแพร่บล็อกของเขาออกไปได้มาก เทียบกันแล้วเงินบริจาคห้าหมื่นนั้นเป็นเรื่องเล็กไปเลย
เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก มันสมควรแล้ว เมื่อวานเถียนเถียนโทรศัพท์มาหาฉัน บอกว่านายไม่ให้โอกาสเธอได้ขอบคุณเลย แม้แต่ให้เลี้ยงอาหารมื้อหนึ่งก็ยังไม่ยอม ที่แท้นายก็ไปเยี่ยมสาวน้อยที่ป่วยอยู่ใช่ไหม”
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลฟังดูรื่นหูเช่นเคย ทำให้หัวใจของลู่เฉินสั่นไหวเบาๆ
ลู่เฉินกดเสียงลงต่ำ “ใช่แล้วครับ พี่เฟย ผมมีเรื่องอยากขอให้พี่ช่วยหน่อยครับ”
เฉินเฟยเอ๋อร์ถามด้วยความแปลกใจ “เรื่องอะไร”
ลู่เฉินตอบ “ช่วยร้องเพลงเพลงหนึ่งให้ผมหน่อยครับ คืนนี้เลย!”
ลู่เฉินคิดมาก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าอยากให้โครงการนี้ขยายใหญ่ขึ้น ก็ต้องมีจุดเด่นในการโฆษณาที่สามารถดึงดูดความสนใจและการสนับสนุนของผู้คนได้มากขึ้น
เชิญเฉินเฟยเอ๋อร์มาร้องเพลงขอบคุณผู้บริจาค เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาคิดออกมาได้
แน่นอนว่าต้องอาศัยความนิยมของเฉินเฟยเอ๋อร์
ถ้าเป็นนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์คนอื่น ไม่มีความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ หากขอร้องไปดูจะเป็นการล่วงเกิน
แต่ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์…
เขาเชื่อว่าพี่สาวราชินีนักร้องคนนี้ต้องช่วยเขาแน่นอน!
เฉินเฟยเอ๋อร์สนใจทันที “เพลงอะไร”
ลู่เฉินจึงส่งเพลงไปให้เธอผ่านทางเฟยซวิ่น เป็นเพลงที่เขาเพิ่งเขียนเสร็จ มีชื่อเพลงว่า ‘มอบความรัก’
ทั้งสองคนคุยกันผ่านวิดีโอคอลของเฟยซวิ่น ลู่เฉินกลับมาที่สตูดิโอของตัวเอง ใช้เปียโนที่เพิ่งสั่งซื้อมาไม่นานบรรเลงเป็นเพลงพร้อมกับอัดเสียงไว้ แล้วนำเสียงร้องของเฉินเฟยเอ๋อร์มารวมเข้ากับดนตรี
นี่เป็นการทำเพลงแบบมือสมัครเล่น ราวกับการร้องเพลงแก้เบื่อกับเพื่อน แล้วใช้ไมโครโฟนอัดเสียงเล่นๆ เพื่อลดความยุ่งยากของการอัดเสียงในห้องอัดแบบมืออาชีพ เพียงแต่สุดท้ายผลงานที่ได้ออกมาดูจะหยาบไปมาก
แต่เฉินเฟยเอ๋อร์กลับสนใจมาก ทั้งยังรู้สึกทึ่งกับเพลงนี้ของลู่เฉิน
เนื้อหาเพลง ‘มอบความรัก’ นั้นเรียบง่ายไม่หวือหวา เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน จังหวะสบายๆ อบอุ่น แต่หัวข้อหลักกลับยิ่งใหญ่ ถึงขั้นแอบแฝงกลิ่นอายของธีมเพลงไว้อย่างเข้มข้น
นำมาใช้กับกิจกรรมการกุศลครั้งนี้ สมบูรณ์แบบมาก!
พรสวรรค์ในการแต่งเพลงของลู่เฉินเป็นสิ่งที่เฉินเฟยเอ๋อร์ยกย่องนับถือที่สุด เห็นได้ชัดว่าเพลงนี้ไม่ใช่ผลงานที่มีอยู่ก่อนแล้ว ความคิดที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนก็สามารถนำมาแต่งเป็นเพลงที่มีโอกาสเป็นเพลงอมตะได้ ช่างทำให้คนอื่นพูดไม่ออกจริงๆ
หลังจากพี่สาวราชินีนักร้องฝึกร้องเพลงนี้อยู่หลายรอบ เธอก็ถึงกับเกิดความคิดว่าอยากจะไปหาลู่เฉินถึงที่ เพื่อเคาะเปิดกะโหลกของเขาออกมาดูว่าสมองที่อยู่ด้านในต่างกับคนธรรมดาอย่างไร!
และแล้วในที่สุดทั้งสองคนก็ร่วมมือกันทำเพลง ‘มอบความรัก’ ออกมาได้สำเร็จ
ลู่เฉินนำมันไปลงในบล็อกของตัวเองก่อน จากนั้นเฉินเฟยเอ๋อร์ก็โพสต์บล็อกใหม่ของตัวเองตามมา
เนื้อหาในบล็อก เฉินเฟยเอ๋อร์เล่าถึงที่มาของเพลง ‘มอบความรัก’ เพลงนี้ อธิบายว่าลู่เฉินกับเธอร่วมมือกันอย่างไร หวังว่าเพลงนี้จะทำให้ทุกคนหันมาสนใจช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวกันมากขึ้น เพื่อส่งแรงใจและการสนับสนุนให้แก่พวกเขา
คนหนึ่งโพสต์ก่อน คนหนึ่งโพสต์ตามหลัง แถมยังมีเพลงอีกหนึ่งเพลง ทำให้บล็อกแทบจะระเบิดทันที!
แม้จะเลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว คนจำนวนมากก็ยังแชร์ต่อบล็อกของลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ ทำให้อิทธิพลของเพลง ‘มอบความรัก’ แผ่ขยายออกไปไม่หยุด ส่งผลให้ยอดการบริจาคในโครงการระดมทุนการกุศลสูงยิ่งขึ้น
เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่มของวันรุ่งขึ้น โครงการระดมทุนการกุศลเพื่อช่วยเหลือเมิ่งเมิ่ง (ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว) ก็ถูกเผยแพร่ออกไปครบยี่สิบสี่ชั่วโมง ยอดบริจาคทะลุสามล้านหยวนไปแล้ว!
ในวันเดียวกันนั้น ทางบริษัทระดมทุนมู่เฉินได้ส่งตัวแทนพนักงานตรวจสอบไปถึงโรงพยาบาลประชาชนแห่งที่หนึ่งประจำเมืองหนิงย่วน และได้กำหนดตัวผู้รับบริจาครายที่สองอย่างรวดเร็ว
นั่นก็คือเด็กน้อยเสี่ยวเฉิงเฉิงที่อยู่เตียงข้างๆ เมิ่งเมิ่งนั่นเอง!
ทางช่องโทรทัศน์ประจำเมืองหนิงย่วนได้ข่าวแล้ว ก็รีบส่งนักข่าวมาสัมภาษณ์ทำข่าวทันที
วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า…
เมื่อถึงวันที่ 25 ตุลาคม โครงการระดมทุนเพื่อการกุศลดำเนินการมาเป็นวันที่หก สตูดิโอลู่เฉินได้รับการติดต่อจาก ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ ที่จะขอมาสัมภาษณ์ลู่เฉิน
‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ ตั้งขึ้นเมื่อปี 1950 มีประวัติยาวนานถึง 65 ปี เป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์กลางแห่งชาติที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมประชาสัมพันธ์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีวิสัยทัศน์ว่า ‘ขับเคลื่อนสังคมให้พัฒนา บริการวัยรุ่นให้เติบใหญ่’ บริการวัยรุ่นมาหลายรุ่นแล้ว
เพราะมีสถานะที่ค่อนข้างใหญ่โต ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ จึงเป็นหนังสือพิมพ์ที่มียอดผู้อ่านและมีชื่อเสียงติดอันดับหนึ่งในสามของประเทศ มีอิทธิพลในประเทศสูงมาก
การได้รับการสัมภาษณ์จาก ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง ถ้าไม่มีเรื่องเด่นที่เป็นแบบอย่างหรือควรค่าแก่การเผยแพร่ ก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับโอกาสนี้
ดังนั้นลู่เฉินจึงให้ความสำคัญมาก ถึงขั้นตื่นเต้นเล็กน้อย
ขั้นตอนการสัมภาษณ์ ความจริงไม่ได้เข้มงวดอย่างที่ลู่เฉินคิดไว้ ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ ส่งนักข่าวอายุไม่มากมาสองคน ทั้งยังค่อนข้างเข้าใจลู่เฉินดี
การสัมภาษณ์ของนักข่าวเป็นไปได้ด้วยดี เหตุผลที่ลู่เฉินสามารถดึงดูดสำนักข่าวชื่อดังอย่างหนังสือพิมพ์กลางแห่งชาติให้สนใจได้มีอยู่สามประการ
ประการแรก ลู่เฉินเป็นคนมีความสามารถในการแต่งเพลง จุดสนใจของนักข่าวไม่ใช่อัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของเขา แต่เป็นเพลงที่รู้จักกันทั่วไปอย่างเพลง ‘ฉันรักเธอประเทศจีน’
เพลงนี้ตั้งแต่ลู่เฉินได้ร้องในงานกาล่าดินเนอร์วันชาติจีนของทางสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง ก็โด่งดังไปทั่วสารทิศ ถูกนำไปร้องคัฟเวอร์ต่อมากมาย กลายเป็นเพลงที่ใช้ในงานเลี้ยงที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลายงาน เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่โด่งดังไปทั้งประเทศ
‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ ถามลู่เฉินถึงแรงบันดาลใจและความรู้สึกที่มีต่อการสร้างสรรค์ผลงาน
ประการที่สอง เรื่องที่ลู่เฉินช่วยเหลือเถียนเถียนจากการสาดน้ำกรดอย่างกล้าหาญ ประการสุดท้ายคือเรื่องโครงการระดมทุนเพื่อการกุศลครั้งนี้
แม้นี่จะเป็นการให้สัมภาษณ์ใหญ่ครั้งแรก แต่ลู่เฉินผู้มีความทรงจำของคนทั้งสามจารึกไว้แล้วก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมตัว และให้ความร่วมมือกับการสัมภาษณ์เป็นอย่างดี
ความเป็นผู้ใหญ่และวุฒิภาวะของเขาทำให้นักข่าวทั้งสองจาก ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ ต้องมองเขาใหม่
วันที่ 27 ตุลาคม หน้าที่สี่ของ ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ ใช้พาดหัวว่า ‘วัยรุ่นยุคใหม่’ เพื่อถ่ายทอดบทสัมภาษณ์ของลู่เฉินออกมาเป็นบทความ
บทความนี้เริ่มที่การเล่าถึงประวัติของลู่เฉินคร่าวๆ จากนั้นค่อยอธิบายถึงเกียรติประวัติของเขา ชื่นชมเขาว่าเป็นตัวแทนของวัยรุ่นยุคใหม่ เป็นศิลปินหน้าใหม่ของวงการบันเทิงที่เป็นตัวอย่างที่ดี
ในเนื้อหากล่าวว่าวงการบันเทิงในปัจจุบัน ดาราศิลปินมีแต่ข่าวเสียหายไม่ขาด ภาพลักษณ์ในสายตาของประชาชนมีแต่ตกต่ำเสื่อมเสีย กำลังต้องการคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมอย่างลู่เฉินมาเป็นพลังบวก!
หนังสือพิมพ์กลางแห่งชาติหัวนี้ประเมินลู่เฉินเอาไว้อย่างสูงส่ง เทียบลู่เฉินเป็นระดับทอง
แค่บทความไม่กี่ร้อยคำ มันไม่อาจทำให้ลู่เฉินได้เงินหรือผลประโยชน์มากขึ้น และไม่ช่วยให้ลู่เฉินได้จำนวนแฟนคลับเพิ่ม ทั้งยังมีผลต่อการเลื่อนระดับในวงการของลู่เฉินไม่มาก
แต่บทความนี้เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับลู่เฉินจากสื่อหลักของทางการ ผลของการเผยแพร่นั้นไม่ว่าจ่ายเงินมากเท่าไรก็แลกมาไม่ได้ แล้วยังส่งผลถึงการเติบโตในด้านต่างๆ ของลู่เฉินในอนาคต
ดังคำกล่าวที่ว่าคนที่ตั้งใจมักจะไม่ได้ดังหวัง ส่วนคนที่ไม่ตั้งใจกลับได้มาอย่างง่ายดาย นี่เป็นเรื่องที่ลู่เฉินไม่เคยคาดคิดมาก่อนตอนที่ตัดสินใจว่าจะช่วยเมิ่งเมิ่ง
ลู่เฉินยิ่งคิดไม่ถึงว่าหลังจากสัมภาษณ์เสร็จแล้ว จะมี ‘ท่านเทพ’ อีกองค์หนึ่งถูกปลุกให้ตื่น
จนถึงกับส่งตัวแทนมาพูดคุยเจรจากับเขา
‘ท่านเทพ’ ผู้นี้คือสหพันธ์การกุศลเหยียนหวง!
………………………………………………………………………………………