ตอนที่ 262 ปรัชญาของลู่เฉิน
พี่น่าไปตรวจที่โรงพยาบาลเมื่อวานถึงรู้ว่าท้อง
ข่าวนี้สำหรับเธอและเฉินเจี้ยนหาว คือเรื่องเซอร์ไพรส์ที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าอย่างไรอายุของทั้งสองก็ไม่น้อยแล้ว การตั้งครรภ์สำเร็จจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ในสถานการณ์แบบนี้ พี่น่าจึงไม่สามารถร่วมงานกับวงเฮสิเทชั่นได้อีกต่อไป ยกเว้นสัญญาที่เซ็นแล้ว ตารางงานแสดงโชว์ต่างๆ จึงต้องหยุดลง
สำหรับเธอที่เป็นสตรีตั้งครรภ์อายุมาก การดูแลรักษาครรภ์เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
พอทราบข่าวนี้ ลู่เฉินจึงโทรศัพท์หาเธอทันที
ผลปรากฏว่าเฉินเจี้ยนหาวเป็นคนรับสาย
ไม่ว่าอย่างไรก็เหมือนกัน ลู่เฉินยิ้มพลางเอ่ยว่า “พี่เจี้ยนหาว ยินดีที่พี่จะเป็นพ่อคนแล้วนะครับ!”
เฉินเจี้ยนหาวตอบสนองไวมาก “นายเจอต้าฉินแล้วเหรอ”
ลู่เฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ครับ พี่น่าล่ะ”
เฉินเจี้ยนหาวกล่าวว่า “นายอยากพูดอะไรพูดกับฉันก็เหมือนกัน ไม่ต้องให้เธอรับสายหรอก”
ลู่เฉินพูดไม่ออก…จำเป็นต้องระวังขนาดนี้ไหม
แน่นอนว่าเขาสามารถเข้าใจอารมณ์ของอีกฝ่าย จึงพูดกับเฉินเจี้ยนหาวสองสามประโยค เพื่อบอกว่าจะไปเยี่ยมพี่น่าหลังจากกลับปักกิ่ง
ตอนที่ใกล้จะวางสาย เฉินเจี้ยนหาวลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ต่งอวี่กับซูชิงเหมยก็อยู่ใช่ไหม พวกเธอสองคนก็ลำบากเหมือนกัน ที่มากับต้าฉินเพราะอยากให้นายช่วยเหลือ ถ้าหากไม่ลำบากใจเกินไป พอจะช่วยได้ก็ช่วยหน่อยนะ ในอนาคตพวกเธอต้องมีโอกาสตอบแทนบุญคุณแน่นอน”
ลู่เฉินกล่าวว่า “พี่เจี้ยนหาว ผมเข้าใจครับ พี่วางใจเถอะ ดูแลพี่น่าดีๆ นะครับ”
เฉินเจี้ยนหาวหัวเราะเหอะๆ แล้วจึงวางสาย
คุยกับเฉินเจี้ยนหาวเรียบร้อยแล้ว ลู่เฉินกล่าวทักทายต่งอวี่สองสามประโยค
สำหรับผู้จัดการใหญ่ของชิงอวี่มีเดียคนนี้ ลู่เฉินมีความประทับใจที่ไม่เลว เธอสวยเก่งมีมารยาทและโดดเด่นกว่าใคร
ไม่ใช่ผู้หญิงคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้น เป็นคนฉลาดหลักแหลมและทำงานเก่งคนหนึ่ง
ต่งอวี่ถือโอกาสนี้แนะนำผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่ติดตามมาด้วยให้เขารู้จัก
ทั้งสามคนอายุยังน้อย หนุ่มหล่อกับสาวสวย ส่วนสูงและรูปลักษณ์ภายนอกมีความเป็นไอดอลอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่เซ็นสัญญากับชิงอวี่มีเดีย เพิ่งจะเดบิวต์
ระหว่างที่พูดคุยกัน อาหารก็ทยอยส่งเข้ามา
พอถึงเวลานี้ทุกคนต่างก็หิวจนท้องร้อง ไม่พูดไม่จาแล้วกินทันที กินให้อิ่มท้องก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หลังจากต่งอวี่กินฮะเก๋ากุ้งไปครึ่งหนึ่ง ก็ใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดคราบน้ำมันที่มุมปาก ยกแก้วไวน์ขึ้นแล้วพูดกับลู่เฉิน “ลู่เฉิน ฉันขอดื่มให้คุณหนึ่งแก้วค่ะ”
ลู่เฉินวางตะเกียบและยกแก้วไวน์ขึ้นมาเหมือนกัน ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้จัดการต่งไม่ต้องเกรงใจครับ ทุกคนก็รู้จักกันทั้งนั้น ผมขอดื่มไวน์แก้วนี้เอง มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้เลย ถ้าผมช่วยได้ก็จะช่วยครับ”
ต่งอวี่อุทานอยู่ในใจ
ครึ่งปีก่อน ลู่เฉินเป็นแค่นักร้องตัวเล็กๆ ควบตำแหน่งเด็กเสิร์ฟอยู่ในบาร์เดย์ลิลลี่เท่านั้น
ครึ่งปีผ่านไป เขากลายเป็นนักร้องนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง เริ่มเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง ขายอัลบั้มได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ และยังมีความสามารถช่วยปั้นดาราให้คนอื่น ตอนนี้ยังเขียนบทละครเองและเล่นเองอีกด้วย เริ่มพัฒนารอบด้าน
ลู่เฉินมีความสามารถด้านดนตรีก็ทำให้คนอิจฉาหมั่นไส้มากอยู่แล้ว ใครจะคิดว่าเขายังสามารถเขียนบทละครได้ อีกทั้งละครที่เขาแสดงนำเป็นเรื่องแรกก็มีเรตติ้งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่วันที่เริ่มออกอากาศ หลายคนจึงพูดไม่ออกจริงๆ!
ถ้าหากรู้ว่าเขามีความสามารถมากขนาดนี้ ตอนแรกชิงอวี่มีเดียควรจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้เขาได้เซ็นสัญญา
น่าเสียดายไม่มีใครสามารถคาดการณ์อนาคตล่วงหน้าได้
แต่พลาดแล้วก็คือพลาด ตอนนี้ลู่เฉินมีความแข็งแกร่งมาก จนถึงตาที่เธอต้องมาขอความช่วยเหลือถึงที่
สิ่งใดๆ ในโลกยากที่จะคาดเดาได้จริงๆ!
ต่งอวี่ก็รู้ เมื่อครู่เฉินเจี้ยนหาวจะต้องบอกอะไรลู่เฉินแน่นอน คนหลังถึงได้ตอบรับง่ายขนาดนี้
ไม่อย่างนั้นลำพังแค่หน้าของเธอก็ยังไม่พอ…ลู่เฉินไม่มีเรื่องใดที่ต้องขอร้องเธออย่างสิ้นเชิง
“คุณอยากช่วยง่ายมากค่ะ…”
ต่งอวี่ยังไม่ทันเอ่ยปาก ซูชิงเหมยก็ชิงพูดเสียก่อน “คุณช่วยหาบทให้พวกเขาหน่อยสิคะ!”
เด็กหน้าใหม่ทั้งสามคนได้ยินแล้วจึงตัวสั่นทันที พวกเขาจ้องมองลู่เฉินพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย นัยน์ตาเผยความตื่นเต้น ดีใจ รอคอย และหวาดหวั่น ราวกับกำลังรอการตัดสินของโชคชะตา
ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ที่ลู่เฉินกำลังถ่ายทำอยู่นั้นดังมาก หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับละครเรื่องนี้ถูกคอมเมนต์แทบระเบิดในบล็อกล่างฉาว ไม่ต้องพูดถึงตัวเขาเองกับเฉินเฟยเอ๋อร์ นักแสดงตัวประกอบที่อยู่ในละครสองสามคนก็เริ่มมีหน้ามีตา ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก
ในวงการบันเทิง เมื่อเทียบกับเพลงและรายการวาไรตี้ เส้นทางการมีชื่อเสียงของภาพยนตร์โทรทัศน์นั้นเร็วที่สุดละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ดังมากๆ สามารถทำให้นักแสดงคนหนึ่งดังชั่วข้ามคืน เบียดตัวเองไปอยู่แถวหน้าได้ภายในพริบตาเดียว
ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ เรื่องนี้ ตอนแรกไม่มีใครสนใจ ตอนนี้กลายเป็นม้ามืดด้านเรตติ้งไปแล้ว ใครเห็นแล้วไม่รู้สึกอิจฉาบ้าง
พวกเขาสองสามคนถ้าหากสามารถอาศัยบารมีได้รับบทในละครเรื่องนี้ แม้ว่าจะเป็นบทบาทเล็กๆ ก็สามารถนำไปสร้างกระแสใหญ่ได้มากพอ
ด้วยเหตุนี้ต่งอวี่และซูชิงเหมยจึงต้องออกหน้าเอง และดึงฉินฮั่นหยางมาด้วย
ลู่เฉินกลับกระอักกระอ่วน “ผู้อำนวยการซูครับ ถ้าหากเป็นเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมคงช่วยอะไรไม่ได้”
เพราะแครอทหนึ่งหัวใส่ได้แค่หลุมเดียว ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ นักแสดงนำได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ได้ถ่ายทำไปแล้วสิบกว่าตอน เหลือตอนหลังอีกไม่มาก แล้วจะหาบทบาทให้พวกเขาสามคนได้อย่างไร
เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นนักแสดงเอ็กซ์ตร้า
แต่จะเอาบทคนเดินผ่านมาให้ได้อย่างไร สู้ไม่ให้จะดีกว่า
ความจริงชิงอวี่มีเดียไม่ใช่บริษัทแรกที่มาหาพวกเขา นับตั้งแต่เรตติ้งละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ เริ่มสูงขึ้น ฝั่งของกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์สก็ถูกคนรบกวนไม่น้อย ระยะหลังแค่คนเดินถนนมีบทพูดสองสามประโยคก็ถูกจัดการวางตัวเต็มหมดแล้ว จึงไม่มีตำแหน่งว่างโดยสิ้นเชิง
นี่คือลักษณะพิเศษของละครสุดสัปดาห์ที่ถ่ายไปและออกอากาศไปด้วย นอกจากบทนักแสดงนำแล้ว ตัวประกอบในช่วงหลังสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระกระทั่งจะเพิ่มหรือลดก็ยังทำได้ และที่พีกที่สุดก็คือสามารถเปลี่ยนได้แม้กระทั่งตัวนักแสดงนำ…แค่เปลี่ยนบทละครก็พอแล้ว
ตามกฎเกณฑ์ทั่วไปคือถ่ายเสร็จแล้วค่อยออกอากาศ แบบนั้นไม่มีทางทำอย่างนี้ได้
ซูชิงเหมยขมวดคิ้ว “ตัวประกอบเล็กๆ ก็ไม่มีเหรอ”
เธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้บทบาทสำคัญอะไร เพราะไม่สามารถเป็นจริงได้ แค่อยากจะให้เด็กใหม่ในสังกัดได้มีโอกาสฝึกฝน เพิ่มความนิยมและประสบการณ์เท่านั้นเอง
ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ได้รับความนิยมมาก ศิลปินดาราที่เคยรับบทบาทในเรื่องนี้ หากรับเล่นบทบาทในเรื่องอื่นจะไม่โดนดูถูกอย่างแน่นอน
ต่งอวี่ขึงตาใส่เธอ “เหมยเหมย!”
การขอความช่วยเหลือต้องมีท่าทีในการขอความช่วยเหลือเช่นกัน ถึงแม้ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวมาก แต่ก็จะชี้นิ้วสั่งการคนอื่นไม่ได้
นิสัยลูกคุณหนูของซูชิงเหมย ต่งอวี่ยังคงปวดหัวมาตลอด
ซูชิงเหมยเบ้ปาก
ลู่เฉินยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า “เรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ มีแค่ยี่สิบตอน อยากจะได้บทตอนนี้สายไปแล้วครับ แต่ผมกำลังเตรียมลงทุนละครเรื่องใหม่ปีหน้า…”
ต่งอวี่ตาเป็นประกาย “ละครใหม่เรื่องอะไร”
ถ้าหากก่อนถ่ายทำละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ลู่เฉินบอกเธอว่าต้องการลงทุนถ่ายทำละครโทรทัศน์ ถึงไม่สิบก็มีแปดมีเก้าที่เธอจะฟังเป็นเรื่องตลก…คุณจะถ่ายละครโทรทัศน์ได้เหรอ
วงการภาพยนตร์โทรทัศน์ใหญ่มาก น้ำลึกนัก หากไม่มีความสามารถและกำลังมากพอก็เล่นไม่ไหว
คนนอกที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์หลายคนเห็นว่าตลาดคึกคัก จึงหอบเงินเป็นกองเข้ามาเล่น อยากจะได้กำไรสักก้อนจึงลองเล่นกฎในที่ลับบ้าง ผลสรุปคือมักจะขาดทุนย่อยยับตลอด
แม้ว่าจะเป็นคนในวงการ ตัวอย่างที่ล้มเหลวอย่างสาหัสสากรรจ์ก็มีเยอะมาก
แต่ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ที่ยังถ่ายทำไม่เสร็จ กลับทำให้ลู่เฉินปักธงอยู่ในวงการนี้ได้อย่างมั่นคง
จากแนวโน้มเรตติ้งปัจจุบันของละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ คงมีความเป็นไปได้ไม่มากที่จะเป็นละครระดับปรากฏการณ์ แต่เรื่องความโด่งดังนั้นไม่ต้องกังวลแล้ว
ด้วยคุณสมบัติที่คับคั่งนี้ ละครเรื่องใหม่ของเขาจะต้องเป็นที่จับตามองแน่นอน
น่าเสียดายที่พลาดละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ แต่ถ้าหากได้รับบทในละครเรื่องใหม่ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองมากเช่นกัน
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยว่า “ขออุบเป็นความลับก่อนครับ ผมเริ่มเตรียมบทละครแล้ว ถึงตอนนั้นก็ให้พวกเขาลองมาแคสติ้งจะให้สิทธิพิเศษก่อนภายใต้เงื่อนไขเดียวกันครับ!”
ตงอวี่ยิ้มหน้าบาน “ขอบคุณมากๆ ค่ะ!”
ลู่เฉินพูดมาถึงขั้นนี้ ถ้าหากเธอไม่พอใจก็คงผิดปกติ
คนอื่นเป็นผู้ให้โอกาส แต่หน้าตาจะต้องสู้ด้วยตัวเอง
ถ้าหากลู่เฉินตบหน้าอกแล้วพูดว่า พวกคุณมาเลย เลือกบทได้ตามใจชอบ เช่นนั้นเขาก็โง่จริงๆ
ต่งอวี่ส่งสัญญาณ ให้เด็กใหม่ทั้งสามคนดื่มเหล้าคารวะลู่เฉินเพื่อเป็นการขอบคุณ
ยังไม่พูดถึงการได้รับโอกาสนี้ แค่ได้รู้จักบุคคลอย่างลู่เฉิน ก็มีประโยชน์กับพวกเขาเป็นอย่างมาก
มีคำพูดอย่างหนึ่งแพร่หลายอยู่ในวงการ บอกว่าลู่เฉินมีมือที่เสกหินเป็นทองคำได้ เขาแตะใครคนนั้นก็ดัง
วงเฮสิเทชั่น วงเอ็มเอสเอ็น…ล้วนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
ถ้าหากจะพูดว่าตัวอย่างเหล่านี้มาจากวงการเพลงป็อป เช่นนั้นจางลี่เวยและหูหยางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในตอนนี้ ก็เป็นดาวรุ่งดวงใหม่สองดวงที่กำลังจรัสแสงอยู่ในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ที่น่าติดตาม
จางลี่เวยรับบทชุยซินอ้ายตัวประกอบหญิงเบอร์หนึ่งในละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ส่วนหูหยางรับบทหานไท่ซี
โดยเฉพาะความนิยมในเรื่องของคนหลัง รองลงมาจากเฉินเฟยเอ๋อร์กับลู่เฉินเท่านั้นเอง
และยังได้ยินว่าลู่เฉินเคยนำบทละครไปหาเป่าหลงฟิล์มก่อน แต่ถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ตอนนี้ทางเป่าหลงฟิล์มก็คงเสียใจเป็นที่สุด!
และทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นว่าลู่เฉินมีพลังที่แข็งแกร่ง เขาสามารถดังได้ด้วยตัวเอง และสามารถพาคนอื่นดังได้อีกด้วย
บุคคลเช่นนี้ ได้รับความนิยมมากที่สุดในวงการอย่างไม่ต้องสงสัย
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยรับการขอบคุณของพวกเขา
เขายินดีให้โอกาสชิงอวี่มีเดียและไว้หน้าต่งอวี่ นอกจากเกี่ยวกับน้ำใจของเฉินเจี้ยนหาวกับฉินฮั่นหยางแล้ว เขาจำเป็นต้องขยายเส้นสายของตัวเองเช่นกัน
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ลู่เฉินทำงานด้วยตัวเองบวกกับใช้กลยุทธ์การพัฒนาแบบได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งคู่
ทำด้วยตัวเองคือไม่เซ็นสัญญากับบริษัทเอเจนซี่ใดๆ ควบคุมโชคชะตาชีวิตของตัวเอง
การทำงานแบบให้ทุกคนได้ผลประโยชน์ร่วมกันคือเส้นทางที่เขาเดินไปข้างหน้า อาศัยหุ้นส่วนที่น่าไว้ใจเพื่อขยายตัวเองให้ยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง
สตูดิโอของลู่เฉินไม่เซ็นสัญญาศิลปิน และไม่ทำบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์หรือมีเดียเอเจนซี่ต่างๆ แม้แต่เว็บไซต์ระดมทุนที่มีอนาคตไกลเขาก็ยังรีบถอนตัวออกมาทั้งๆ ที่กำลังรุ่งโรจน์เหลือหุ้นไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แบ่งปันผลประโยชน์กับหุ้นส่วน ไม่กินคนเดียว
ลู่เฉินสามารถพัฒนาได้อย่างราบรื่นในตอนนี้ เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์นี้อย่างใกล้ชิด
อย่างเช่นเฟยสือเรคคอร์ด กานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์ส เรนโบว์เอเจนซี่ แล้วก็ยังมีชิงอวี่มีเดียในตอนนี้
มอบผลประโยชน์ เพิ่มพันธมิตรมากขึ้น เพื่อนก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ เส้นสายก็กว้างขวางมากขึ้น…
รากฐานที่เขาวางไว้ในวงการบันเทิงยิ่งนานยิ่งลึกขึ้น!
หากไม่มีรากฐานที่มั่นคง ชื่อเสียงเกียรติยศทั้งหลายก็เป็นเหมือนปราสาททราย พังทลายยามที่คลื่นลมพัดมา
นี่คือปรัชญาของลู่เฉิน
…………………………………………………………………………