ตอนที่ 265 วัยรุ่นและเด็ก
ฉินฮั่นหยางไม่ใช่คนไร้เดียงสา
และก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไร้เดียงสา เขาใช้ชีวิตอยู่ในวงการมาหลายปี จึงเข้าใจรสชาติของอารมณ์ต่างๆ ในโลกมนุษย์
แต่ความรักและความหลงใหลต่อดนตรีร็อกของเขายังคงอยู่ในใจเหมือนเดิม
เพียงแต่เมื่อก่อนต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอย่างจนใจ เขาจึงได้แต่ซ่อนความรักนั้นไว้ในส่วนลึกสุดของหัวใจ เพื่อต่อสู้ดิ้นรนในชีวิต
ฉินฮั่นหยางในวันนี้ มีพลังมากพอที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ เขาสนับสนุนลู่เฉินอย่างเต็มที่ ไม่ได้เป็นเพราะติดหนี้น้ำใจของลู่เฉินเท่านั้น แต่ยังมองเห็นความหวังของดนตรีร็อกแห่งชาติในตัวของลู่เฉินด้วย
แม้ว่าในสายตาของคนมากมาย ลู่เฉินเป็นเพียงนักร้องนักแต่งเพลงที่ถนัดเพลงบัลลาดก็ตาม
ความเยาว์วัยของเขา ความหล่อของเขา มักทำให้คนอื่นมองข้ามความสามารถอันน่าตกตะลึงของเขาไปง่ายๆ
ตัวลู่เฉินเองไม่พูดอะไร ฉินฮั่นหยางจึงต้องช่วยร้องตะโกนแทนเขา
และได้แต่หวังว่าลู่เฉินจะสามารถแต่งเพลงร็อกที่ดียิ่งกว่าออกมามากกว่านี้ จะให้คนอื่นร้องก็ไม่เป็นไร ขอเพียงสามารถดึงดนตรีร็อกกลับมาสู่สายตาของมวลชนได้อีกครั้งก็พอ!
จากสายตาของฉินฮั่นหยาง ลู่เฉินมองเห็นถึงความจริงใจของเขา มองเห็นความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
และก็เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เขาพาตัวเองมาที่บาร์อีกาดำ
ฉินฮั่นหยางอยากให้ลู่เฉินปักธงของตัวเองในวงการแห่งนี้
พูดตามจริง ลู่เฉินไม่สนใจเลยจริงๆ แต่เขาประทับใจความรักและความหลงใหลในเพลงร็อกอย่างแท้จริงของฉินฮั่นหยาง
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ผมร้องเพลงใหม่ดีกว่า”
ฉินฮั่นหยางตาเป็นประกาย ยัดกีตาร์ไฟฟ้าที่อยู่ในมือใส่ในอ้อมอกของลู่เฉินทันที
นี่คือกีตาร์ไฟฟ้าตัวโปรดของฉินฮั่นหยาง สั่งทำจากต่างประเทศจ่ายเงินไปหลายแสน ไม่เคยให้คนอื่นยืมใช้มาก่อน ยกเว้นลู่เฉิน
ลู่เฉินรับกีตาร์มาแล้วยืนตรงหน้าไมค์
ฉินฮั่นหยางช่วยเขาปรับระดับความสูงของไมค์ จากนั้นก็ถอยหลังไปอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมวง
มอบเวทีนี้ให้แก่ลู่เฉิน
เขาใช้การกระทำของตัวเอง แสดงการเคารพต่อลู่เฉิน
บาร์อีกาดำเงียบสนิท ต่อให้เป็นลูกค้าที่งุนงงอยู่ก็ยังหุบปาก กระทั่งกลั้นลมหายใจ
ผู้หญิงสองสามคนใช้สองมือจับโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น เตรียมบันทึกภาพของลู่เฉิน
บาร์อีกาดำไม่เหมือนกับบาร์เดย์ลิลลี่ ที่นี่ไม่ได้ห้ามถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอ ขอแค่ปิดแฟลชกล้องก็พอ
ลู่เฉินสูดลมหายใจลึกๆ ยิ้มเล็กน้อยและพูดกับไมค์ว่า “ขอบคุณพี่ฉินครับ และก็ขอบคุณการต้อนรับอย่างเป็นมิตรของเถ้าแก่ต้าเจียง ผมไม่มีอะไรตอบแทน จึงขอร้องให้สักหนึ่งเพลงแล้วกันครับ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางผู้คน แล้วหายไปทันที
ลู่เฉินกล่าวต่อว่า “ผมเตรียมร้องเพลงใหม่เพลงหนึ่ง ชื่อของมันคือ ‘วัยรุ่น[1]’ ผมขอมอบมันให้ตัวเอง มอบให้กับวงเฮสิเทชั่นที่อยู่ข้างหลังผม และมอบให้กับทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้!”
“หวังว่าทุกคนจะชอบนะครับ!”
เสียงปรบมือดังขึ้น คึกคักอยู่นาน แม้ว่าจะเป็นพวกที่ไม่ชอบลู่เฉินก็ตาม ก็ยังปรบมือให้
ลู่เฉินก้มหน้า ดีดสายกีตาร์เบามาก รู้สึกถึงนิ้วมือกับสายกีตาร์ที่เสียดสีกัน
หัวใจหวั่นไหว
“ฉันเตรียมออกเดินทางตอนพลบค่ำ
ติดรถคันหนึ่งเดินทางไปยังแดนไกล
คืนนี้ที่นั่นมีงานฉลองของเพื่อนฉัน
ฉันรีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยผลักประตูออกไป
ความปรารถนาที่คึกคักบนท้องถนนลอยมาปะทะหน้า
ฉันกระโดดเบาๆ
เข้าไปในสายน้ำของผู้คน
ข้างนอกฝนตกปรอยๆ
หยาดน้ำฝนลอยล่องเหมือนดังช่วงเวลาวัยรุ่นของฉัน
น้ำฝนที่ปกคลุมใบหน้าของฉัน
เหมือนกับปกคลุมไปด้วยความสุข
หัวใจของฉันไม่มีอะไร
เหมือนไม่มีความทุกข์
โลกใบนี้มีทุกอย่าง
ก็เหมือนกับทุกคนที่ครอบครองทุกอย่าง!
…”
ตอนที่เริ่มต้น เสียงบรรเลงของกีตาร์ไฟฟ้าแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน โดยทั่วไปถือว่าเป็นการร้องโดยปราศจากดนตรีประกอบ ลู่เฉินกำลังเล่าเรื่องราวของตัวเองด้วยเสียงอันไพเราะ ไม่เสแสร้งไม่โกรธเคือง ราวกับสาธยายถึงช่วงเวลาในอดีตโดยไม่ตั้งใจ ใจเย็นนิ่งๆ ไม่รีบร้อนไม่ลนลาน
สไตล์แบบนี้เห็นได้น้อยนัก เนื้อเพลงและทำนองเรียบง่ายไม่โอ่อ่า แฝงลักษณะเด่นของเพลงบัลลาดอย่างชัดเจน
แต่พอถึงช่วงหลัง ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง ดนตรีประกอบ หรืออารมณ์ความรู้สึกล้วนแข็งแกร่ง อารมณ์ที่ค่อยๆสะสมอย่างช้าๆ เป็นขั้นเป็นตอนในช่วงแรก สะกิดหัวใจของผู้ฟังทุกคนขึ้นมา ราวกับมีสิ่งของบางอย่างกำลังจะโผล่ออกมาจากในนั้น!
จนกระทั่งลู่เฉินร้องออกมา
“…
เดินต่อไป
สูญเสียต่อไป
ก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัว
วัยรุ่น!
เดินต่อไป
สูญเสียต่อไป
ก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัว
วัยรุ่น!”
จังหวะดนตรีเข้าสู่จุดพีกอย่างกะทันหัน แต่ก็ถูกจังหวะเป็นขั้นเป็นตอน เหมือนกับสายฟ้าแลบหลังจากฟ้าผ่าและฝนตกหนักอย่างกับน้ำรั่ว เป็นสิ่งที่ต้องปรากฏออกมา กระทบจิตวิญญาณของทุกคนอย่างรุนแรง
“เดินต่อไป สูญเสียต่อไป ก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัว วัยรุ่น!”
ไม่มีเสียงแผดร้องคำราม แต่กลับตะโกนร้องระเบิดพลังอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไปพร้อมกับเสียงกีตาร์ที่หนักหน่วงกระทบกระเทือนและกึกก้องไปมาอยู่ภายในบาร์อีกาดำ สั่นสะเทือนถึงแก้วหู!
สีหน้าของคนมากมายเปลี่ยนไป
มีบางคนกำหมัดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว มีบางคนอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ มีบางคนขบฟันแน่น และมีบางคนที่ตกตะลึงอ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อตัวเองที่ได้ฟังเพลงไปเมื่อครู่
เพลง ‘วัยรุ่น’ เพลงนี้ของลู่เฉิน ถ้าหากจะพูดว่าท่อนแรกเหมือนจะเป็นแนวเพลงบัลลาด แต่พอถึงท่อนฮุกและท่อนพีกในช่วงหลัง นั่นคือสายเลือดของเพลงร็อกอย่างแท้จริง ฮึกเหิม เลือดลมพลุ่งพล่าน คนที่ได้ฟังรู้สึกว่าหัวใจแทบจะกระโดดออกมาจากลำคอ ขยับเขยื้อนไปตามจังหวะดนตรีที่หนักหน่วง
บทเพลงเพลงนี้ ผลงานเพลงเช่นนี้ ยังจะมีใครสงสัยอีกไหม
ไม่มี!
แม้ว่าจะเป็นคนที่เย่อหยิ่งจองหองกว่านี้ ก็ยังต้องก้มศีรษะ
มันขับขานเรื่องราวของผู้คนที่สูญเสียหรือกำลังจะสูญเสียช่วงวัยรุ่นไป เป็นความซับซ้อนสับสนไม่สบายใจในทุกที่!
ลู่เฉินร้องไปสองรอบ
ตอนที่เขาดีดโน้ตเพลงตัวสุดท้าย ภายในบาร์อีกาดำยังคงเงียบเหมือนเดิม
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ต้าเจียงจึงยืนขึ้นเป็นคนแรก ปรบมืออย่างแรง แล้วคนอื่นก็ปรบมือตาม
จากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นตาม ปรบมือเพื่อแสดงความเคารพลู่เฉิน
แสดงความเคารพนับถือต่อนักร้องนักแต่งเพลงที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง!
ฉินฮั่นหยางเดินมาข้างหน้า โอบไหล่ของลู่เฉินอย่างแรง
เขารู้สึกเป็นเกียรติและโชคดี
บทความก่อนหน้ากล่าวไว้ว่า นักร้องเพลงร็อกของกลุ่มจินหลิง มีกลิ่นอายของศิลปะและมีความอินดี้อย่างเข้มข้น ไม่มีความสุดโต่งและบ้าคลั่ง สไตล์การร้องและแต่งเพลงเน้นไปทางซอฟต์ร็อก
ช่วงวัยรุ่นกับชีวิต คือหัวข้อในการสร้างสรรค์ผลงานของพวกเขา
เพลง ‘วัยรุ่น’ ไม่ใช่บทกวีที่โรแมนติก มันบอกทุกคนว่า วัยรุ่นไม่มีจุดเริ่มต้น วัยรุ่นไม่มีจุดสิ้นสุด วัยรุ่นไม่มีความโดดเดี่ยว และวัยรุ่นไม่ได้มีเพียงครึ่งชีวิตเดียว
เฉกเช่นเดียวกัน ก็เหมือนกับใครที่ครอบครองความเป็นหนุ่มสาว คุณกับฉันยากที่จะหลีกเลี่ยงการลาจาก คุณกับฉันยากที่หลีกเลี่ยงความอ้างว้าง คุณกับฉันยากที่จะหลีกเลี่ยงการหยุดกลางทาง และยากที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร พวกเราจำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป จำเป็นต้องสูญเสียต่อไป และลืมต่อไป!
ก็เหมือนกับที่ร้องในเพลง มีตรงไหนบ้างที่ไม่ได้บรรยายเกี่ยวกับชีวิตจริงของนักร้องเพลงร็อก
บทเพลงนี้ พิชิตใจของพวกเขา!
มีคนพรวดพราดพุ่งเข้าไปด้านหน้าเวที พยายามเขย่งเท้าอย่างเต็มที่ยื่นแขนไปหาลู่เฉิน
ในมือของเขาถือขวดเบียร์ที่ยังไม่ได้เปิดฝาขวดหนึ่ง
“ขอบคุณครับ!”
ลู่เฉินคืนกีตาร์ไฟฟ้าให้ฉินฮั่นหยาง เดินเข้าไปโน้มตัวรับเบียร์ของอีกฝ่าย
เขายืดตัวขึ้น บิดฝาขวดแล้วชูสูงๆ เอ่ยว่า “ขอดื่มให้ทุกคน และก็ดนตรีนี้!”
“ชน!”
หลายคนก็ชูขวดเบียร์หรือไม่ก็ขวดเหล้าขึ้นมา รวมทั้งผู้หญิงสองสามคนนั้น
พวกเธอเคยเห็นด้านสุภาพและอารมณ์ที่ลึกซึ้งของลู่เฉินในโทรทัศน์หรือเว็บไซต์ แต่ไม่เคยเห็นเขาเลือดร้อนกระตือรือร้นแบบนี้มาก่อน
รู้สึกประทับใจด้วยเหมือนกัน
ลู่เฉินดื่มเบียร์หนึ่งขวดหมดเกลี้ยง
เสียงปรบมือและเสียงร้องกรี๊ดดังขึ้นอีกครั้ง เต็มไปด้วยความหมายของการยอมรับ
พอดื่มเสร็จ ลู่เฉินกับฉินฮั่นหยางก็ลงจากเวทีพร้อมกัน กลับไปนั่งที่เดิม
แต่ก็มีคนมาหาตลอด มาขอดื่มเพื่อแสดงความเคารพทั้งสองคน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของวงเฮสิเทชั่น ลู่เฉินคงยากที่จะรับมือ
กว่าจะรับมือได้ ลู่เฉินก็ดื่มเบียร์ไปอย่างน้อยเจ็ดขวดแล้ว โชคดีที่เป็นขวดเล็ก
ต้าเจียงดื่มเยอะสุด จึงพูดมากไปหน่อย “เพลงนี้ เพราะจริงๆ เพราะมากๆ!”
เขาชูนิ้วโป้งให้ลู่เฉิน แล้วเอ่ยชมไม่หยุด
ฉินฮั่นหยางกลับยิ่งสงสัย “นายแต่งเพลงนี้ตอนไหน”
เขารู้สึกว่าลู่เฉินเหมือนจะตั้งใจเขียนเพลงให้บาร์อีกาดำในค่ำคืนนี้ จึงรู้สึกเหลือเชื่อมาก
ลู่เฉินอธิบายว่า “เขียนไว้นานแล้วครับ รู้สึกว่าเหมาะก็เลยหยิบออกมาร้อง มีความสุขก็พอแล้วครับ”
ฉินฮั่นหยางพูดไม่ออก
แค่หยิบผลงานเพลงที่สะสมไว้นานแล้วออกมาเพลงหนึ่ง ก็กลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงาม
หลายสิบปีที่ผ่านมา วงการเพลงป็อปในประเทศเคยมีบุคคลแบบนี้ปรากฏตัวบ้างไหม ฉินฮั่นหยางคิดไม่ออก
เขาจึงได้แต่นับถือความสามารถของลู่เฉิน
แรงบันดาลใจและทรัพยากรทางความคิดของคนหลังเหมือนกับมีอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย นี่คือความโชคดีของดนตรีป็อปในประเทศ
ทุกคนพูดคุยกันและดื่มต่อไป
จนกระทั่งเวลาเที่ยงคืน ลู่เฉินกับฉินฮั่นหยางก็ดื่มพอประมาณแล้วจึงสิ้นสุดลง
ฉินฮั่นหยางพักอยู่ในหอพักของบาร์อีกาดำ จากนั้นหลี่เฟยอวี่ก็กลับโรงแรมแมริออทพร้อมกับลู่เฉิน
หลี่เฟยอวี่ใช้มือข้างหนึ่งประคองลู่เฉิน และมืออีกข้างหนึ่งก็ถือคีย์การ์ดของลู่เฉินแล้วรูดเปิดประตู
ผลปรากฏว่าเขาต้องตกใจ
ดวงไฟในห้องนั่งเล่นของห้องสวีทเปิดอยู่ และเฉินเฟยเอ๋อร์ก็อยู่ในห้องนี้
เมื่อเห็นลู่เฉินที่เมามาย เธอจึงรีบเดินเข้าไปรับ แล้วดุว่า “ทำไมดื่มหนักขนาดนี้”
หลี่เฟยอวี่เจอหน้าราชินีจึงใจฝ่อเล็กน้อย “ต้าเฉินเขาคุยกับพี่ฉินสนุกมาก ดังนั้น…”
เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่ได้ตำหนิหลี่เฟยอวี่อย่างจริงจังที่ไม่ทำหน้าที่ผู้ช่วยอย่างเต็มที่ เธอรีบรับลู่เฉินมา แล้วพูดเบาๆ ว่า “เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายรีบไปพักผ่อนเถอะ”
หลี่เฟยอวี่พลันรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ “ขอบคุณพี่เฟยครับ!”
เขารีบปิดประตูแล้วหนีทันที
ถึงแม้เฉินเฟยเอ๋อร์จะเป็นผู้หญิง แต่ก็ออกกำลังกายบ่อยจึงมีพลังอยู่บ้าง บวกกับลู่เฉินก็ไม่ได้เมาจนขาดสติเพราะฉะนั้นเธอจึงประคองลู่เฉินไปนอนบนเตียง
เฉินเฟยเอ๋อร์ช่วยถอดรองเท้าให้ลู่เฉิน แล้วจึงหยิบผ้าเช็ดตัวอุ่นๆ มาเช็ดใบหน้าของเขาให้สะอาด
ตอนที่เธอกำลังจะห่มผ้าให้ลู่เฉิน จู่ๆ ลู่เฉินก็ยื่นมือดึงเธอเข้ามากอดอยู่ในอ้อมอกของตัวเอง
เฉินเฟยเอ๋อร์ที่ไม่ทันตั้งตัวจึงล้มไปบนตัวของลู่เฉินทันที ถูกลู่เฉินกอดอย่างแน่น
เฉินเฟยเอ๋อร์ดิ้นรนแต่ก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่ปล่อยตัวตามสบาย ซบใบหน้าไปที่หน้าอกของเขา
ลู่เฉินหัวเราะฮิๆ จัดระเบียบร่างกายเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองกอดสบายขึ้น
เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ปล่อยเขา
ผ่านไปนานพักหนึ่ง เฉินเฟยเอ๋อร์จึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “นายดื่มให้น้อยๆ หน่อย ดื่มเยอะไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ”
แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากลู่เฉิน
เวลานี้เธอเพิ่งพบว่า ลู่เฉินนอนหลับสนิทไปแล้ว
เหมือนกับเด็กที่กอดของเล่นชิ้นใหญ่
…………………………………………………………………………
[1] 《青春》เพลง วัยรุ่น เนื้อร้องและทำนองโดย วังเฟิง (汪峰)