ตอนที่ 390 เฉลี่ยสามสูงสุดสี่
โรงแรมแคปิตอลไม่ใช่โรงแรมห้าดาวที่ใหญ่ที่สุดหรูหราที่สุด แต่เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุด
โรงแรมแคปิตอลเป็นหนึ่งในโรงแรมอันดับต้นๆ ของประเทศ ตั้งแต่ยุค 50 โรงแรมแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญที่ใช้รับรองแขกต่างถิ่นและจัดงานประชุมระดับนานาชาติ และยังคงมีบทบาทในงานสำคัญต่างๆ มาจนถึงทุกวันนี้
ด้วยสถานะพิเศษในโลกธุรกิจ ดังนั้นมีเงินอย่างเดียวก็ไม่อาจมาจัดงานประชุมหรือจัดงานเลี้ยงในโรงแรมนี้ได้ ก่อนอื่นต้องมีคุณสมบัติที่เพียงพอเสียก่อน
พิธีเปิดงานแถลงข่าว ‘ทูตการท่องเที่ยวแห่งเกาะเชจูประเทศเกาหลีใต้’ ที่ทางเมืองเชจูของเกาหลีได้เชิญลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ไปดำรงตำแหน่ง ถูกจัดขึ้นที่โรงแรมแคปิตอลในห้องประชุมหมายเลขสาม
นอกจากสตูดิโอทั้งสองที่เป็นผู้จัดงานหลักแล้ว ยังมีสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งและบริษัทเอสพีจีเอนเตอร์เทนเมนต์คอยสนับสนุนอย่างเต็มที่ ผู้ที่มาร่วมงานมีที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมท่านหนึ่งจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี เจ้าหน้าที่ด้านวัฒนธรรมจากรัฐบาลท้องถิ่นกรุงปักกิ่ง ตัวแทนจากเกาะเชจู เป็นต้น ล้วนเป็นผู้มีตำแหน่งระดับสูง
ยังมีสื่ออีกเกินกว่าร้อยราย แม้แต่เพื่อนสนิทในวงการของลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ก็ได้รับเชิญมาเช่นกัน
ทุกคนต่างมาเพื่อร่วมแสดงความยินดี!
เวลา 18.20 น. ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์มาถึงสถานที่จัดงาน
ค่ำคืนนี้ลู่เฉินสวมชุดสูทอาร์มานีสีดำคู่กับเสื้อเชิ้ตสีขาว ดูหล่อเท่ที่สุด ส่วนเฉินเฟยเอ๋อร์ย่อมต้องแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศด้วยชุดราตรีหรูหราที่ช่วยขับเน้นรูปร่างอันสมบูรณ์แบบของเธอ กลายเป็นจุดจับตามองที่นักข่าวทุกคนวิ่งไล่ตามถ่ายรูป
ถานหง เลี่ยวเจี่ย หลินเซิ่งเจี๋ย ฉินฮั่นหยาง วงเฮสิเทชั่น วงเอ็มเอสเอ็น วงเสียวหู่ถวน…แม้แต่เถียนเถียนที่งานรัดตัวก็ยังหาเวลามาถึงปักกิ่งเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนทั้งสอง
คืนนี้โรงแรมแคปิตอลเรียกได้ว่าแสงดาวทอประกาย แม้ไม่มีการเดินพรมแดง ก็ยังทำให้พวกนักข่าวรู้สึกว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว ได้ข้อมูลมากพอที่จะนำกลับไปเขียนข่าว
จนกระทั่งหนึ่งทุ่มตรงอันเป็นเวลาเริ่มงาน
อันดับแรกที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมแห่งสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศจีนเริ่มกล่าวสุนทรพจน์ เขากล่าวชื่นชมลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ที่ได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศจีนและเกาหลีใต้ และเชิญชวนให้ประชาชนชาวจีนเดินทางไปเที่ยวและชอปปิงที่ประเทศเกาหลี
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตัวแทนรัฐบาลท้องถิ่นกรุงปักกิ่งได้ขึ้นไปกล่าวต่อ
สุดท้ายตัวแทนจากเกาะเชจูแต่งตั้งให้ทั้งสองคนเป็น ‘ทูตการท่องเที่ยวแห่งเกาะเชจูประเทศเกาหลีใต้’
เมื่อลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ต่างฝ่ายต่างรับหนังสือรับรองและกุญแจทองมาจากเจ้าหน้าที่ทางการของเกาหลี เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วทั้งงาน เป็นบรรยากาศของความชื่นชมยินดี
แม้จะบอกว่าการรับหน้าที่เป็นทูตการท่องเที่ยวนั้นไม่ได้รับค่าตอบแทนเท่าไร แต่สำหรับศิลปินนี่ถือเป็นเกียรติยศที่ควรค่าแก่การสรรเสริญ โดยเฉพาะสำหรับทั้งสองคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตการท่องเที่ยวของต่างประเทศ
ในวงการบันเทิงของจีนไม่มีใครเคยได้รับเกียรตินี้มาก่อน ในประเทศเกาหลีก็เช่นกัน ถือเป็นเกียรติอย่างสูง
ถ้าละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ไม่ได้รับเรตติ้งถล่มทลายในเกาหลี ทำให้ทั้งคู่มีแฟนคลับในเกาหลีมากมาย เกียรติยศครั้งนี้ไม่มีทางตกถึงมือของพวกเขาแน่
นี่เป็นตัวแทนของการยอมรับจากทางรัฐบาล
ฝ่ายประเทศเกาหลีใช้โอกาสนี้มาทำการโปรโมตดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีน ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์อาศัยโอกาสนี้เพื่อขยายตลาดในประเทศเกาหลีให้กว้างขึ้น หยิบยืมอิทธิพลของประเทศเกาหลีเพื่อก้าวไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียกว่าเป็นความร่วมมือที่สมประสงค์ทั้งสองฝ่าย
หลังจากพิธีรีตองผ่านไปแล้ว ที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมแห่งสถานเอกอัครราชทูตเกาหลีและเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลท้องถิ่นกรุงปักกิ่งได้ขอตัวออกไปก่อน งานแถลงข่าวยังคงดำเนินต่อไป
ตอนเช้าที่ลู่เฉินได้ประกาศต่อหน้านักข่าวที่สถานีรถไฟความเร็วสูงว่าให้พวกเขามาถามคำถามที่นี่ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
เหตุผลแรกเพื่อกวาดล้างพวกนักข่าวจากสื่อกระจอกที่ชอบสร้างเรื่องออกไป เพราะคนพวกนี้ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในโรงแรมแคปิตอล เหตุผลที่สองเพราะกฎของงานแถลงข่าว บวกกับมีสื่อของรัฐอยู่ด้วยไม่น้อย เพียงพอที่จะปิดปากคนที่มีเจตนาซ่อนเร้นได้ อย่างน้อยก็ไม่กล้าถามปัญหาที่สร้างความขัดแย้ง
แบบนี้เป็นการง่ายต่อลู่เฉินมาก
นักข่าวที่เป็นคนถามคนแรกย่อมต้องเป็นนักข่าวจากสื่อของรัฐ คำถามหนีไม่พ้นเรื่องการเป็น ‘ทูตการท่องเที่ยว’ มีทั้งที่ถามลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ และถามทางตัวแทนของประเทศเกาหลี มีความเป็นทางการมาก
ทั้งสองฝ่ายถามตอบกันอยู่ประมาณสิบกว่านาที ในที่สุดนักข่าวจากสื่อเอกชนก็ทนไม่ไหว รีบลุกขึ้นถามว่า “คุณลู่เฉินครับ ผมเป็นนักข่าวจากอี้หว่างเอนเตอร์เทนเมนต์ อันดับแรกขอแสดงความยินดีที่คุณได้รับเกียรติให้เป็นทูตการท่องเที่ยว ขอถามครับว่าละครเรื่อง ‘ฟูลเฮ้าส์’ จะออกอากาศที่ประเทศเกาหลีด้วยใช่ไหมครับ”
คำถามนี้เป็นเพียงการเกริ่นเข้าเรื่อง ลู่เฉินพยักหน้า “ใช่ครับ และจะออกอากาศพร้อมกันกับประเทศจีน ให้ผู้ชมชาวเกาหลีใต้ได้ชมผลงานใหม่ของผมไปพร้อมกัน”
นักข่าวของอี้หว่างรุกถามต่ออย่างไม่รีรอ “ละครเรื่องใหม่ของคุณจะออกอากาศภายในเดือนนี้ ตามที่ผมเข้าใจ เดือนนี้มีละครประเภทเดียวกันออกอากาศเกินกว่าสิบเรื่อง รวมทั้งเรื่อง ‘ห้วงทะเลแห่งรัก’ ของสถานีโทรทัศน์เซียงหนาน ในสถานการณ์ที่การต่อสู้ร้อนแรงเช่นนี้ คุณตั้งเป้าหมายว่าผลงานของคุณจะได้เรตติ้งเท่าไรครับ”
คำถามนี้ของนักข่าวน่าจะเป็นคำถามที่เพื่อนร่วมร่วมอาชีพหลายคนอยากรู้ แม้เขาไม่ได้พูดชื่อของหูหยางออกมาโดยตรง แต่หลายวันมานี้หูหยางประกาศชัดว่าจะเอาชนะเรตติ้งของลู่เฉิน
กับความท้าทายของหูหยาง ท่าทีของลู่เฉินจะเป็นอย่างไรนะ? ทุกคนกำลังกังวลกับเรื่องนี้
ลู่เฉินได้เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้มาแล้ว เขาตอบตามตรง “เฉลี่ยสามสูงสุดสี่”
“อะไรนะ”
นักข่าวจากอี้หว่างงุนงง “คุณจะช่วยอธิบายได้ไหมครับ”
ลู่เฉินหัวเราะ “ผมบอกว่าเป้าหมายเรตติ้งที่ผมตั้งไว้จากเรื่อง ‘ฟูลเฮ้าส์’ อยู่ที่เฉลี่ยสามสูงสุดสี่ เรตติ้งเฉลี่ยประมาณ 3% เรตติ้งสูงสุดที่ 4% แบบนี้ชัดเจนไหมครับ”
เรตติ้งเฉลี่ย 3% สูงสุด 4%!
ในห้องประชุมเกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที หลายคนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ในฐานะนักข่าวบันเทิงที่มาร่วมงานแถลงข่าวครั้งนี้ พวกเขาเข้าใจพื้นฐานของเรตติ้งละครโทรทัศน์ในประเทศเป็นอย่างดีกระทั่งถึงขั้นเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
สำหรับตอนนี้ ละครโทรทัศน์ในประเทศได้รับเรตติ้งเฉลี่ย 1% ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ปีที่แล้วลู่เฉินทำสถิติเรตติ้งสูงสุดจากละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ได้ทะลุ 3% ก็เป็นปรากฏการณ์ครั้งใหม่แล้ว
ตอนนี้เขาคุยโวว่าจะทะลุ 4% อีก แม้แต่เรตติ้งเฉลี่ยก็จะทะลุ 3% นี่ไม่ใช่แค่เพิ่มขึ้น 1% ง่ายๆ อย่างนั้น
ตอนนี้ไม่ใช่เมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว ตอนนั้นวงการบันเทิงยังอัตคัด การดูโทรทัศน์เป็นการพักผ่อนทั่วไปของทุกคน ละครระดับตำนานเรื่องหนึ่งได้เรตติ้งหลายสิบเปอร์เซ็นต์อย่างง่ายดาย กระทั่งเกิดภาพที่ทุกครัวเรือนนั่งจ้องอยู่หน้าจอทีวี
ทุกวันนี้วงการบันเทิงก้าวหน้ามาก สถานีโทรทัศน์มีมากเหมือนขนวัว สื่อใหม่ต่างแย่งส่วนแบ่งกัน เรตติ้งของละครโทรทัศน์ในประเทศมักไม่เกิน 1%
ลู่เฉินแม้ประสบความสำเร็จจากละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ แต่เป้าหมายเรตติ้งละครใหม่ของเขาอยู่ที่ 4% ช่างน่าตกใจ
เขาไม่กลัวว่าโม้มากแล้วฟ้าจะผ่าลิ้นบ้างหรือ?
แสดงออกชัดเจนในสถานที่แถลงข่าวเช่นนี้ ลู่เฉินจะหลบเลี่ยงคงไม่ได้แล้ว หากทำไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ เขาคงต้องอับอายขายหน้ามาก
ถ้าบอกว่านี่เป็นการตอบโต้หูหยางและสถานีโทรทัศน์เซียงหนานของลู่เฉิน เขาตอบโต้ได้โหดร้ายเหลือเกิน
โหดร้ายกับคู่แข่ง โหดร้ายกับตัวเองยิ่งกว่า!
นักข่าวหลายคนตื่นเต้น จมูกของพวกเขาเริ่มได้กลิ่นดินระเบิดแล้ว!
………………………………………………