ตอนที่ 398 โปเยโปโลเย
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
วั่นเสี่ยวเฉวียนจิบชา และเอ่ยเสียงขรึม “เพราะผู้ชมสมัยนี้เบื่อหน่ายละครลอกเลียนแบบ ระดับรสนิยมความชอบของผู้ชมสูงขึ้น ความเรียกร้องต้องการที่มีต่อภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ก็สูงขึ้นด้วย”
“ไม่ช้าก็เร็วบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ไม่คิดจะพัฒนาเอาแต่ไขว่คว้าหาผลประโยชน์จะอยู่ยากขึ้น พวกเขาไม่อาจอาศัยแค่การลอกเลียบแบบพล็อตหรือเอาพล็อตง่อยๆ มาตบตาผู้ชมได้อีก ถ้าไม่มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ไม่มีผลงานที่มีพล็อตเป็นเอกลักษณ์ก็จะถูกผู้ชมทอดทิ้ง!”
“ผมคิดว่าเรื่อง ‘ห้วงทะเลแห่งรัก’ เป็นละครที่มีภาพลักษณ์สวยงาม การโฆษณาทำได้ยิ่งใหญ่ แต่ละครที่เนื้อหาแย่ ก็ไม่ต่างอะไรจากผลงานละครเรื่องเก่าๆ ที่ทางสถานีโทรทัศน์เซียงหนานผลิตขึ้นเอง เพราะพวกเขาลืมจุดที่สำคัญที่สุดไปจุดหนึ่ง นั่นก็คือผู้ชมล้วนแต่มีวุฒิภาวะแล้ว”
“บอกตามตรง ‘ห้วงทะเลแห่งรัก’ ฉายถึงตอนที่ห้าและหกแล้วเรตติ้งเพิ่งจะลดลง ผมตกใจมาก ในความคิดของผม ละครเรื่องนี้ดูแค่สองตอนแรกก็ไม่จำเป็นต้องดูต่อแล้ว ดูแค่เรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ก็พอแล้ว ทำไมต้องเอาข้าวจานเก่ามากินอีกรอบ?”
ฟังคำเย้ยหยันของเขาแล้ว คนที่นั่งอยู่ต่างเผยยิ้มอย่างเข้าใจความหมาย
เดือนกรกฎาคมของเมืองหลวงเป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุด แต่ในโรงน้ำชาอวี่หมิงฉาย่วนอันร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ ลมเย็นๆ พัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้คนรู้สึกจิตใจสงบสุขสดชื่น
ชาดีๆ สักกากับขนมขบเคี้ยวสองสามอย่าง เพื่อนสนิทสี่ห้าคนนั่งล้อมวงพูดคุย เพียงพอแล้วสำหรับการฆ่าเวลาช่วงบ่ายอย่างผ่อนคลาย
วั่นเสี่ยวเฉวียนมีท่าทีตื่นเต้น เขาวางถ้วยชาลง จ้องมองลู่เฉินที่นั่งอยู่ตรงข้ามตัวเอง แววตาฉายแววยกย่องนับถือ “เทียบกันแล้ว เนื้อเรื่องของ ‘ฟูลเฮ้าส์’ น่าสนใจกว่าเยอะเลย อบอุ่น โรแมนติก ไม่ขาดอารมณ์ขัน ทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลกใหม่มาก ละครเรื่องนี้มีดีที่เล่าเรื่องได้ดี เรตติ้งชนะ ‘ห้วงทะเลแห่งรัก’ เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งยังจะสูงกว่านี้อีกด้วย!”
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่คนหนึ่งหัวเราะ “เหล่าวั่น คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นายศึกษาวิจัยละครด้วย”
แม้เป็นคำเยาะเย้ย แต่ไม่มีจุดประสงค์ร้าย เพราะเขาเป็นเพื่อนเก่าของวั่นเสี่ยวเฉวียนที่รู้จักกันมานานหลายปี
งานชุมนุมเล็กๆ ในวันนี้ จัดขึ้นโดยวั่นเสี่ยวเฉวียน เขาเชิญเพื่อนสนิทในวงการหลายคน แล้วก็ลู่เฉินด้วย
ลู่เฉินพอดีมีเวลาว่าง จึงเข้ามาร่วมวงดื่มน้ำชาเล็กๆ นี้ด้วยความยินดี
วั่นเสี่ยวเฉวียนเป็นนักเรียนของจางเหวินเทียนผู้กำกับผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นหนึ่งในผู้กำกับรุ่นที่ห้าซึ่งมีชื่อเสียงในวงการ เป็นคนที่มีความสามารถมาก จนได้รับการยกย่องจากจางเหวินเทียน
แต่เป็นดังคำกล่าวที่ว่านิสัยเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิต วั่นเสี่ยวเฉวียนเป็นคนอารมณ์รุนแรง เมื่อสองปีก่อนเขาต้องติดคุกเพราะคดีวิวาทชกต่อยทำร้ายร่างกาย เพิ่งออกมาจากคุกได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน
ทุกวันนี้วั่นเสี่ยวเฉวียนอยู่ในสถานะเก็บตัว เพราะกฎของสำนักงานวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ จึงไม่มีนักลงทุนหรือบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เจ้าไหนมาจ้างให้เขาถ่ายทำ ชีวิตตกอับมาก
ส่วนเพื่อนของเขา เหลือเพียงไม่กี่คนที่อยู่ตรงหน้านี้
หลังจากผ่านวิกฤตนั้นไป นิสัยของวั่นเสี่ยวเฉวียนเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ไม่อารมณ์ร้อนวู่วามอีกแล้ว กลับกลายเป็นคนใจกว้างสุขุม ถ้าเมื่อก่อนเพื่อนล้อเขาเล่นแบบนี้ เขาคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่นี่กลับทำเพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น
“ว่างเกินไป ผมเลยอยู่บ้านดูทีวีทั้งวัน”
วั่นเสี่ยวเฉวียนเยาะเย้ยตัวเอง “คิดว่าต่อไปไม่ได้ถ่ายหนังแล้ว ลองถ่ายละครดูบ้างก็ไม่เลว”
เพื่อนๆ ต่างเงียบงัน
เมื่อก่อนวั่นเสี่ยวเฉวียนนิสัยไม่ดี แต่มีความเชื่อมั่นในตัวเองและหยิ่งทระนง ยังมีความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่
เขาในตอนนี้ กลับหมดอาลัยตายอยาก
เมื่อก่อนวั่นเสี่ยวเฉวียนไม่สนใจละครโทรทัศน์เลย ในความคิดของเขาภาพยนตร์ถึงจะเป็นศิลปะที่แท้จริง
เขาในตอนนี้ กลับนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน
การเปลี่ยนแปลงชัดเจนเกินไป ทำให้คนรู้สึกใจหาย
ความรู้สึกอันว่องไวของลู่เฉินจับความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในห้องได้ เขาเปิดซองเอกสารที่พกมาด้วย แล้วหยิบกระดาษปึ๊งหนาๆ ออกมายื่นให้วั่นเสี่ยวเฉวียน
วั่นเสี่ยวเฉวียนตะลึง “นี่คือ?”
ลู่เฉินหัวเราะเล็กน้อย “นี่คือบทภาพยนตร์ที่ผมเขียนเรื่องหนึ่ง อยากให้อาจารย์วั่นช่วยชี้แนะหน่อยครับ”
วั่นเสี่ยวเฉวียนอึ้ง “ถ้างั้นผมต้องตั้งใจอ่าน…”
เขายื่นสองมือออกมารับอย่างหนักแน่น สายตาของเขาหลุบมองหน้าแรกของเอกสาร
หัวข้อเรื่องเด่นชัดเตะตา…โปเยโปโลเย!
วั่นเสี่ยวเฉวียนใจเต้นแรงอย่างยั้งไม่อยู่ อดไม่ได้ที่จะพลิกเปิดหน้าแรก แล้วอ่านเรื่องย่อของบทภาพยนตร์
เรื่องย่อในหน้าที่สองมีประมาณสามถึงสี่ร้อยตัวอักษร เขาใช้เวลาห้านาทีเต็มถึงอ่านจบ
อ่านเรื่องราวจบคร่าวๆ แล้ว วั่นเสี่ยวเฉวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที “นี่มัน ‘เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน’ จากเรื่องประหลาดจากห้องหนังสือนี่นา!”
ลู่เฉินหัวเราะ “ใช่ครับ บทภาพยนตร์ของผมดัดแปลงมาจากตอน ‘เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน’ ครับ”
วั่นเสี่ยวเฉวียนรู้สึกว่าคิดตามไม่ทัน “คุณอยากถ่ายหนัง?”
ลู่เฉินพยักหน้า “ใช่ครับ!”
ไม่มีอะไรต้องหลบหลีก เส้นทางชีวิตที่เขากำหนดไว้ให้ตัวเอง ก็คือการเดินในเส้นทางสายละคร ภาพยนตร์ และร้องเพลงครบทั้งสามเส้นทาง
ในวงการบันเทิง นักแสดงจอเงินเป็นนักแสดงที่มีระดับสูงที่สุด แนวคิดที่อยากถ่ายหนังของลู่เฉินไม่ได้มีมาแค่วันสองวัน บอกได้ว่าตั้งแต่เขาเข้าสู่วงการบันเทิงก็เริ่มคิดแล้ว และยังเริ่มวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ด้วย
บทภาพยนตร์ ‘โปเยโปโลเย’ นี้ เขาใช้เวลาห้าวันเขียนมันออกมา ทั้งหมดมีประมาณสี่หมื่นตัวอักษร พิมพ์ออกมาได้ร้อยกว่าหน้า
ตั้งแต่กลับจาการเดินสายโปรโมตละคร ‘ฟูลเฮ้าส์’ ทั่วประเทศ เวลาว่างส่วนใหญ่ของลู่เฉินหมดไปกับการเคาะแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้าน นอกจากเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ แล้ว ยังมีเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ นี่เอง
เขาเตรียมจะใช้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเปิดตัวสู่วงการจอเงิน!
เพียงแต่ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ลู่เฉินรู้จักนั้นมีน้อยชนิดที่นับนิ้วได้ คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างจางเหวินเทียนได้เกษียณไปแล้ว เขาจึงคิดถึงวั่นเสี่ยวเฉวียน ประจวบเหมาะกับที่วั่นเสี่ยวเฉวียนเชิญเขามาดื่มชา เขาจึงนำบทภาพยนตร์ติดมาด้วย
วั่นเสี่ยวเฉวียนถนัดภาพยนตร์แนวโบราณ เคยกำกับเรื่อง ‘นางพญางูขาว’ มาก่อน ลู่เฉินเชื่อมั่นในความสามารถของเขา ให้กำกับเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ คงจะไม่เป็นปัญหา
วั่นเสี่ยวเฉวียนไม่ใช่คนโง่ ลู่เฉินไม่ได้ออกปากชัดเจน แต่เขามีหรือจะไม่เข้าใจความหมายของลู่เฉิน
“คุณคงไม่ได้จะให้ผมกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้หรอกใช่ไหม”
ลู่เฉินหัวเราะ “ถ้าอาจารย์วั่นยินดีจะช่วยผม นั่นย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด!”
วั่นเสี่ยวเฉวียนยิ้มขมขื่น “คุณก็รู้สถานการณ์ของผมตอนนี้”
เขาติดคุกมาหนึ่งปีกว่า แต่ไม่เพียงพอต่อการชดใช้ความวู่วามในตอนนั้น เขายังถูกระงับงานในวงการอีกอย่างน้อยสองปี ตอนนี้มีหรือจะออกมาเป็นผู้กำกับได้
แม้เขาจะอยากทำมากก็ตาม
ลู่เฉินอายุยังน้อย แต่เป็นคนถ่อมตน รู้จักเคารพผู้ใหญ่ ตัวเองยังเป็นนักแสดงดัง ยังเปิดสตูดิโอส่วนตัว ทำงานในวงการได้อย่างรุ่งเรือง มีแรงดึงดูดทางการตลาดที่เข้มแข็ง
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ลู่เฉินเป็นคนที่น่าร่วมงานด้วยอย่างยิ่ง
น่าเสียดาย…
วั่นเสี่ยวเฉวียนถอนใจเบาๆ ในใจ
…………………………………………