ตอนที่ 439 เป็นคุณจริงๆ
เจ้านายคนใหม่ของหลีเจิน เป็นนักร้องหนุ่มชื่อดังในประเทศจีน เป็นนักแสดงนำละครโทรทัศน์เรตติ้งสูงสองเรื่องเป็นดาราแถวหน้าที่เสนอราคาผลงานหลักล้าน…
เพื่อนๆ ของหลีเจินเหมือนกำลังฟังเรื่องราวในตำนาน แต่ละคนล้วนตะลึงงัน
รู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง
เจอกันครั้งแรก ความรู้สึกแรกที่ลู่เฉินมอบให้แก่ทุกคนคือความหล่อ เป็นหนุ่มหล่อมากคนหนึ่งที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่
จากนั้นการพูดจาของเขาก็มีมารยาท ให้ความสนิทสนมเป็นกันเองราวกับเด็กหนุ่มข้างบ้าน ใครเห็นก็ต้องชอบ
เสวี่ยนีถึงกับใจเต้นทันที ทั้งยัง ‘แสดงความรัก’ อย่างใจกล้า
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ ลู่เฉินไม่เพียงแต่มีแฟนเท่านั้น ยังฟังดูเหมือนจะเกาะผู้หญิงกิน
สิ่งนี้ทำให้เพื่อนๆ ของหลีเจินให้คะแนนลู่เฉินต่ำลงมาก
ตอนนี้ลู่เฉินแสดงการร้องเพลงและเล่นกีตาร์ด้วยตัวเองอยู่บนเวทีด้วยความน่าทึ่ง หลีเจินกลับบอกทุกคนว่า เขาเป็นซูเปอร์สตาร์คนหนึ่ง ดังนั้นจึงยากที่พวกเขาจะยอมรับได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
หลีเจินก็จนใจ เพราะถึงแม้เธออยากจะปิดบัง แต่ก็ปิดได้ไม่นาน ถึงเวลาความจริงก็จะถูกเปิดเผย เช่นนั้นยามที่อยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ ก็จะยิ่งกระอักกระอ่วนเข้าไปอีก
“จริงๆ ฉันไม่โกหกพวกเธอหรอก…”
เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของเพื่อนๆ หลีเจินจึงต้องอธิบายว่า “พวกเธอลองเสิร์ชอินเทอร์เน็ตดูก็รู้แล้ว แฟนของบอสฉันก็คือเฉินเฟยเอ๋อร์ เฉินเฟยเอ๋อร์พวกเธอน่าจะรู้จักมั้ง และเขากับเฉินเฟยเอ๋อร์ก็เป็นนักแสดงนำของละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ และ ‘ฟูลเฮ้าส์’ ขอแนะนำให้พวกเธอดู!”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของหลีเจินเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย
เพราะไม่นานก่อนหน้านั้น เธอก็เหมือนกับเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ในนี้ สนใจและติดตามข่าวของวงการบันเทิงฮ่องกงเท่านั้น ดูแค่ละครโทรทัศน์และรายการวาไรตี้ของสถานีโทรทัศน์ฮ่องกง เล่นอินเทอร์เน็ตก็เล่นบนกระดานข่าว (BBS) ท้องถิ่นเท่านั้น
อันที่จริงนี่คือโรคทั่วไปของคนฮ่องกง คนเป็นจำนวนมากไม่ค่อยรู้สถานการณ์ในประเทศจีนเท่าไรนัก และไม่คิดจะสนใจด้วย
หลีเจินรู้สึกว่าตอนนั้นตัวเองกับเพื่อนๆ ล้วนเป็นกบในกะลา ปกป้องโลกใบเล็กๆ อย่างฮ่องกง มองข้ามพื้นที่ภายนอกว่าโลกใบใหญ่นี้มีสีสันมากแค่ไหน เห็นได้ชัดว่ามีความรู้แค่หางอึ่ง
“แฟนของเขาคือเฉินเฟยเอ๋อร์เหรอ!”
เสวี่ยนีเอามือปิดหน้าแล้วแสร้งพูดดุว่า “อาเจินเธอร้ายมากนะ ไม่บอกฉันแต่เนิ่นๆ ทำให้ฉันต้องขายหน้า!”
ดาราจีนแผ่นดินใหญ่ที่คนฮ่องกงรู้จักมีไม่เยอะ เฉินเฟยเอ๋อร์กลับเป็นหนึ่งในนั้น เธอเคยมาจัดคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาฮ่องกง และยังจำหน่ายอัลบั้มของตัวเองที่ฮ่องกงด้วย ดังนั้นจึงพอมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง
ต่อให้เสวี่ยนีมั่นใจมากกว่านี้ ก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองจะได้ส่วนแบ่งนี้จากเฉินเฟยเอ๋อร์
หลีเจินหัวเราะขมขื่นและเอ่ยว่า “ใครให้เธอยั่วเองซะขนาดนั้นล่ะ ตอนนี้ฉันก็กำลังบอกพวกเธออยู่ไม่ใช่เหรอ”
เสวี่ยนีกอดเธอหมับ “ไม่ได้ คืนนี้เธอต้องอยู่เป็นเพื่อนฉัน!”
หญิงสาวสองคนหัวเราะโวยวายเสียงดังอีกครั้ง บนเวทีลู่เฉินคืนกีตาร์ให้กับมือกีตาร์ของวงดนตรีประจำบาร์
คนหลังทำสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความนับถือ จากนั้นก็ชูนิ้วโป้งให้ลู่เฉิน “เฉียบมาก!”
ลู่เฉินหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณสำหรับกีตาร์ของคุณครับ”
และในเวลานี้ เยี่ยเซวียนเดินจ้ำอ้าวขึ้นมาบนเวที แล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลู่เฉิน
“สวัสดีครับ!”
ท่ามกลางสายตาของผู้คน เขายื่นมือไปหาลู่เฉินก่อน “ผมชื่อเยี่ยเซวียนครับ”
“สวัสดีครับ”
ลู่เฉินก็จับมือกับเขา “ผมชื่อลู่เฉินครับ”
เยี่ยเซวียนถามอย่างอดใจไม่ไหว “ผมขอถามคุณหน่อย เพลงนี้ของคุณใครเป็นคนเขียนครับ นักร้องต้นฉบับเป็นใคร”
ในฐานะนักร้องสายความสามารถของฮ่องกง ตำแหน่งในวงการเพลงป็อปของเยี่ยเซวียนถึงแม้จะไม่สูงมาก แต่เขาก็เรียนจบมาจากวิทยาลัยดนตรีเกาลูน หากตัดความสามารถด้านการร้องเพลงออกไปไม่พูดถึง แค่วิสัยทัศน์และประสบการณ์ของเขาก็ล้วนไม่เป็นรองใคร
เพลง ‘รักที่สุดในชีวิต’ ที่ลู่เฉินเล่นและร้องจบไม่เมื่อครู่ เยี่ยเซวียนไม่เคยฟังมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาสงสัยแทบตาย ควรทราบว่าเพลงภาษาจีนกวางตุ้งที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ขอเพียงได้ออกจำหน่าย เขาจะต้องเคยฟังมาก่อนแน่นอน
และเพลงนี้ก็ไม่ควรเงียบกริบไม่เป็นที่รู้จัก!
ด้วยความสงสัยอันแรงกล้าในขณะนี้ ทำให้เยี่ยเซวียนมองข้ามสายตาของสาธารณะชน เดินกลับไปบนเวทีเพื่อถามหาคำตอบ เขาร้อนใจจนอดใจรอไม่ไหวอยากจะรู้ว่าใครเป็นนักแต่งต้นฉบับ
ในฐานะนักร้องคนหนึ่งที่มีประสาทรับกลิ่นไว เยี่ยเซวียนตระหนักได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นโอกาสหนึ่งของตัวเอง
ถ้าหากสามารถซื้อเพลงนี้ได้…
เยี่ยเซวียนจ้องมองลู่เฉินนิ่ง รอคอยคำตอบที่เขาปรารถนา
“เอ่อ…”
โดนถามรัวเป็นปืนกล ลู่เฉินตกใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “พวกเราลงไปข้างล่างแล้วค่อยคุยกันดีไหมครับ”
เยี่ยเซวียนเพิ่งรู้ว่าพฤติกรรมของตัวเองไม่เหมาะสม พลันหน้าแดง รีบเอ่ยว่า “โอเคครับ”
ทั้งสองคนเดินลงจากเวทีแสดงพร้อมกัน
แขกส่วนใหญ่ของบาร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อเห็นเยี่ยเซวียนจับมือทักทายกับลู่เฉิน ก็คิดว่าดารานักร้องคนนี้รู้จักลู่เฉิน จึงขึ้นไปให้กำลังใจคนหลังเป็นพิเศษ
ดังนั้นทุกคนจึงปรบมือ
เยี่ยเซวียนเชิญลู่เฉินมานั่งข้างตัวเองโดยตรง
ลู่เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ พอบอกหลีเจินแล้ว เขาจึงนั่งลงข้างๆ เยี่ยเซวียนอย่างสงบนิ่งเป็นธรรมชาติ
เพื่อนๆ ของเยี่ยเซวียนมองประเมินลู่เฉินด้วยสายตาที่สงสัย
ผู้หญิงหนึ่งคนในนั้นมองลู่เฉินอย่างละเอียดเป็นพิเศษ ไม่ทันรอให้เยี่ยเซวียนแนะนำ เธอพลันถามขึ้นว่า “คุณ… คุณเคยแสดงละครมาก่อนใช่ไหมคะ”
ลู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่ครับ”
ผู้หญิงคนนั้นตาเป็นประกายทันที รีบถามต่อว่า “ใช่เรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ หรือเปล่า คุณชื่อลู่เฉินใช่ไหมคะ”
ลู่เฉินอดเอามือลูบจมูกไม่ได้ “ผมเองครับ”
“ว้าว!”
ผู้หญิงคนนั้นกรี๊ดขึ้นมาทันที แววตามีแต่ดวงดาวระยิบระยับ “เป็นคุณจริงๆ ด้วย เป็นคุณจริงๆ!”
“อิ่นจวิ้นซี!”
“ฉันเป็นแฟนคลับของคุณค่ะ!”
ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เป็นความตื่นเต้นเหมือนแฟนคลับสมองกลวงยามที่ได้เห็นไอดอล
ถ้าหากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่อำนวย คาดว่าเธอคงจะโผเข้าไปกอดลู่เฉินสักที
เยี่ยเซวียนและเพื่อนคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เยี่ยเซวียนอดถามไม่ได้ว่า “อาฟาง เธอพูดว่าเขาเป็นนักแสดงเหรอ”
ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าเต็มแรง สายตาจ้องมองลู่เฉินตลอดเวลา “ใช่ คุณมาฮ่องกงตั้งแต่เมื่อไรคะ”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “เพิ่งมาเมื่อสองสามวันก่อนครับ”
เยี่ยเซวียนจำเป็นต้องตัดบทสนทนาของทั้งสองคนอย่างช่วยไม่ได้ เขาพบว่าเรื่องพัฒนาไปจนเกินขอบเขตที่ตัวเองจะควบคุมได้
“ลู่เฉิน เมื่อครู่เพลงนั้น…”
ลู่เฉินตอบว่า “เมื่อครู่เพลงนั้นผมเป็นคนเขียนเองครับ แล้วก็ร้องโชว์ในที่สาธารณะเป็นครั้งแรกด้วย”
เขาเข้าใจความคิดของเยี่ยเซวียน
แต่เพลงนี้ลู่เฉินจะไม่ขายให้ใคร
เยี่ยเซวียนตกตะลึง
เมื่อครู่ตอนที่อาฟางพูดว่าลู่เฉินเป็นนักแสดง เยี่ยเซวียนยังไม่ค่อยสนใจนัก แต่ยามที่ได้ยินลู่เฉินพูดว่าเพลง ‘รักที่สุดในชีวิต’ มาจากตัวเขาเอง เยี่ยเซวียนรู้สึกตะลึงมาก
อาฟางหัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยว่า “พี่ลู่เฉินดังมากในจีน เขาเดบิวต์เป็นนักร้อง ตอนนี้ก็ออกไปแล้วสองอัลบั้มใช่ไหมคะ ผลงานเพลงในอัลบั้มเขาเป็นคนเขียนด้วยตัวเองหมดเลย เป็นนักร้องนักแต่งเพลงที่สุดยอดมากๆ!”
เธอหาความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับลู่เฉินมาจากอินเทอร์เน็ต หลังจากที่ดู ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ แล้วจึงตั้งใจค้นหาเป็นพิเศษ
เยี่ยเซวียนเข้าใจในที่สุด ว่าตัวเองประเมินลู่เฉินต่ำไป!
…………………………………………………………………………