ตอนที่ 477 เป็นปลาดุกตัวหนึ่ง
“ก่อนที่จะเชิญคุณมาร่วมรายการนี้ ฉันได้สังเกตเห็นข่าวลือมากมายบนอินเทอร์เน็ต…”
ตาเฉี่ยวของเสิ่นซูหลิงจ้องมองลู่เฉินตาไม่กะพริบ เสียงของเธอยังคงไพเราะเสมอ แต่กลิ่นอายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงใช่ว่าจะอ่อนโยนและไม่อันตราย
“มีคนพูดในบล็อกว่า รัฐบาลฮ่องกงออกนโยบายสนับสนุนภาพยนตร์ใหม่ จะสร้างความรุ่งเรืองให้แก่ภาพยนตร์ฮ่องกงได้หรือไม่ยังต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่อย่างแรกคือการดึง ‘หมาป่า’ เข้ามา ต้องเกิดการปะทะกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกงอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้การแข่งขันที่ดุเดือดเป็นทุนเดินอยู่แล้วรุนแรงยิ่งขึ้น”
“เขาเสนอว่ารัฐบาลฮ่องกงควรจะแก้ไขนโยบายใหม่ เพิ่มข้อจำกัดสำหรับนักธุรกิจชาวต่างชาติ”
“เช่นนั้นลู่เฉิน คุณคิดว่าตัวเองเป็นสมาชิกของกลุ่มหมาป่าไหม หรือคุณมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรบ้างคะ”
ในรายการ ‘สนทนาสามบันเทิง’ เสิ่นซูหลิงเป็นพิธีกร และเธอก็เป็นผู้นำการสนทนาด้วยเช่นกัน บางทีตัวของเธออาจจะไม่ได้ยืนอยู่ข้างใครทั้งสิ้น เธอยืนตรงกลางมองภาพรวมและโต้ตอบกับแขกรับเชิญเท่านั้น
ทว่าเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่แตะต้องคำถามที่ละเอียดอ่อน ตรงกันข้ามเห็นได้ชัดว่าเธอมีเจตนาที่จะดึงบรรยากาศ สร้างการปะทะและโต้เถียงกัน
หัวข้อนี้จวงต้งเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน เขาเป็นผู้สนับสนุนบทวิจารณ์ที่ไวต่อความรู้สึกอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเห็นเสิ่นซูหลิงโยนไฟสงครามไปที่ตัวของลู่เฉิน รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าทันที ราวกับว่ากำลังนั่งดูละครสนุกอยู่
ในสายตาของจวงต้งลู่เฉินดูหนุ่มมาก ความเป็นหนุ่มบ่งบอกว่ายังขาดประสบการณ์ จึงไม่มีความสุขุมรอบคอบและไม่มีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่พลิกผัน อีกทั้งลู่เฉินก็เพิ่งมาจากประเทศจีน ต้องไม่คุ้นเคยกับฮ่องกงแน่นอน
คำถามของเสิ่นซูหลิงมีความเจ้าเล่ห์มาก และสัมผัสด้านที่อ่อนไหวของคนฮ่องกง คำตอบของลู่เฉินหากขาดความเหมาะสม เช่นนั้นรายการทอล์กโชว์ในค่ำคืนนี้ของเขาก็เป็นอันล้มเหลว
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ จวงต้งไม่สู้ก็ชนะ ชนะขาดลอย
อันที่จริงชนะง่ายไปก็ไม่ค่อยดี…
จวงต้งรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพราะความชนะที่แท้จริงควรจะบดขยี้คู่ต่อสู้ท่ามกลางสงครามที่ดุเดือด
ลู่เฉินเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนกำลังครุ่นคิด
ดูเหมือนคำถามนี้จะทำให้เขานิ่งไปจริงๆ นี่เป็นสิ่งที่จวงต้งยิ่งรู้สึกสะใจ
แต่ผู้ชมที่นั่งดูรายการนี้อยู่หน้าจอโทรทัศน์ กลับรู้สึกแตกต่างกันมาก
น้องสาวของอาคังบ่นว่า “จริงๆ เลย ถามคำถามที่เกินไปแล้ว จะให้คนตอบยังไง”
เธอหลงเสน่ห์ความหล่อของลู่เฉินเข้าแล้วจริงๆ จึงช่วยพูดแทนลู่เฉินโดยสัญชาตญาณ
อาคังก็เห็นใจลู่เฉิน ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเขาถูกถามแบบนี้ เกรงว่าคงจะแสดงออกแย่กว่านี้อีก
อาคังเห็นด้วยกับเนื้อความที่พูดถึง ‘กลุ่มหมาป่า’ อยู่ในใจ ปกติเข้าไปทำงานที่บริษัท มักจะได้ยินเพื่อนร่วมงานหลายคนพูดถึงภาวะตลาดที่ตอนนี้แย่มาก สินค้าราคาแพง บ้านก็แพงมาก สาเหตุใหญ่บางส่วนล้วนเกี่ยวกับประเทศจีน
บริษัทของประเทศจีนแย่งธุรกิจของบริษัทฮ่องกง คนจีนเข้ามาซื้อสินค้าและบ้านที่ฮ่องกงอย่างกำเริบเสิบสาน…
ตอนนี้ถึงตาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แล้ว ไม่รู้ว่ารัฐบาลฮ่องกงคิดอะไร ทำไมไม่นึกถึงคนท้องถิ่นมากกว่านี้ สำนวนกล่าวว่าเรือล่มในหนองทองจะไปไหนไม่ใช่เหรอ…
ในหัวของเขาคิดเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายเต็มไปหมด แล้วก็นึกถึงเสี่ยวเวยอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเสี่ยวเวยจะโกรธมากหรือเปล่า
และในตอนนี้ ลู่เฉินที่อยู่ในหน้าจอโทรทัศน์ก็เอ่ยพูดแล้ว
สีหน้าของเขาจริงจังและเคร่งขรึมมาก “ผมคิดว่าผม แล้วก็เพื่อนสายอาชีพเดียวกันที่มาจากจีนไม่ใช่หมาป่าครับ…”
“ถ้าหากจะเปรียบเทียบ ผมคิดว่าผมยอมเป็นปลาดุกตัวหนึ่งครับ”
“ปลาดุก?”
เสิ่นซูหลิงประหลาดใจ “ทำไมคุณถึงพูดว่าเป็นปลาดุกล่ะคะ”
รู้สึกว่าการเปรียบเทียบแบบนี้แปลกมาก
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย แล้วยิ้มอย่างสดใส ทำให้เสิ่นซูหลิงมองแล้วยิ่งรู้สึกหัวใจเต้น
และเพียงแค่ฟังเขา “ผมขอเล่านิทานเรื่องหนึ่งก่อนดีกว่าครับ”
“นานมาแล้ว คนนอร์เวย์ชอบกินปลาซาร์ดีนมาก โดยเฉพาะปลาซาร์ดีนสด แต่ตอนนั้นไม่มีเครื่องเติมอากาศ การเดินทางกลับของพวกชาวประมงที่ออกไปจับปลาซาร์ดีนจากทะเลก็ไกลมาก ปลาซาร์ดีนที่เลี้ยงอยู่ในเรือไม่ชอบขยับตัว ระหว่างทางกลับก็มักจะตายกันหมด ขายได้ราคาไม่ดี”
“แต่พวกเขาพบว่า มีชาวประมงคนหนึ่งจับปลาซาร์ดีนกลับมาแล้วยังมีชีวิตอยู่หลายตัว มักจะขายได้ราคาดีเสมอ ความลับนี้ถูกเปิดเผยหลังจากที่ชาวประมงคนนี้ตายแล้ว”
ลู่เฉินเล่านิทานด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง และยังชวนลุ้น ไม่เพียงทำให้เสิ่นซูหลิงฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม แม้แต่จวงต้งก็ยังรู้สึกสงสัย…เขาอยากดูว่าลู่เฉินจะทำอะไรกันแน่!
ลู่เฉินเล่าต่อว่า “ที่แท้ ชาวประมงคนนั้นเลี้ยงปลาดุกตัวหนึ่งไว้บนเรือ ปลาซาร์ดีนพวกนั้นเห็นสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ที่ดุร้ายตัวหนึ่งอยู่ตรงกลาง พวกมันจึงว่ายหลบโดยสัญชาตญาณ เพื่อรักษาพลังชีวิต สุดท้ายจึงมีชีวิตกลับมาที่ท่าเรือหลายตัว”
เล่านิทานจบแล้ว เสิ่นซูหลิง จวงต้ง และผู้ชมมากมายที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีก็เริ่มเข้าใจแล้ว
รวมไปถึงผู้ชมที่ดูอยู่ในห้องส่งตอนบันทึกรายการด้วยเช่นกัน บรรยากาศในห้องส่งดูแปลกไป
ลู่เฉินยังเล่าต่อว่า “ผมสามารถพูดได้ว่าผมโตมากับภาพยนตร์และละครของฮ่องกง หลักๆ แล้วเป็นภาพยนตร์ฮ่องกงในยุค 80-90 มีผลงานคลาสสิคที่แท้จริงมากมาย อย่างเช่น ‘เดอะแบริสเซอร์ ผมเป็นทนาย’ ‘โชว์เดอะทรูเลิฟ ขอดูหัวใจเธอหน่อย’ ‘วีรบุรุษแดนฮ่องกง’ ‘เกรท เรสคิว สุดยอดกู้ภัย’ เป็นต้น”
เสิ่นซูหลิงยิ้มเอ่ยว่า “อย่างนั้นคุณจะต้องเป็นแฟนคลับของหลิวกั่งเซิงแน่นอน!”
ลู่เฉินก็ยิ้มเหมือนกัน พยักหน้าแล้วพูดอย่างเปิดเผยว่า “ใช่ครับ ผมมาฮ่องกงเพราะอยากทำให้ฝันเป็นจริง รวมถึงอยากเจอไอดอลในดวงใจสักครั้ง และพูดคุยกับเขาสองสามประโยค”
เสิ่นซูหลิงหัวเราะ “อย่างนั้นความปรารถนาของคุณจะต้องเป็นจริงแน่นอนค่ะ!”
ลู่เฉินเคารพและเลื่อมใสหลิวกั่งเซิง ทำให้ผู้ชมชาวฮ่องกงที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีเหล่านั้นมีความรู้สึกที่ดีต่อลู่เฉินขึ้นมาทันที
หลิวกั่งเซิงเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์และตัวแทนของความเพียรพยายามและกำลังใจ ประสบการณ์ชีวิตที่เป็นตำนานของเขา ไม่รู้ว่ากระตุ้นคนหนุ่มสาวชาวฮ่องกงให้พยายามต่อสู้ไปกี่คนแล้ว เพลงและผลงานภาพยนตร์โทรทัศน์ของเขาล้วนมีอิทธิพลที่ลึกซึ้งในฮ่องกง
ลู่เฉินกล่าวว่า “ตอนนั้นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ของฮ่องกงได้ออกอากาศที่ประเทศจีน สามารถทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศและเรตติ้งสูงมาก โดยเฉพาะละครโทรทัศน์ อธิบายด้วยคำว่าทุกบ้านต่างพากันออกมาต้อนรับก็ไม่ถือว่ามากเกินไป”
“ทว่าตอนนี้ ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ของฮ่องกงยังมีตลาดในจีนอีกเท่าไรน่ะเหรอ”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากของเขา การตอบโต้กลับอย่างรวดเร็วและดุดันแฝงอยู่ในคำพูด “เท่าที่ผมรู้เกรงว่าแม้แต่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ไม่มีแล้วครับ”
เสิ่นซูหลิงเงียบกริบ
จวงต้งหน้ากระตุก อยากจะโต้กลับแต่พบว่าไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ
เพราะลู่เฉินพูดถูกทุกอย่าง อุตสาหกรรมภาพยนตร์โทรทัศน์ของฮ่องกงที่เคยรุ่งเรืองอย่างหาที่เปรียบมิได้ สูญเสียความสามารถในการเรียกลมเรียกฝนในประเทศจีนไปนานแล้ว จึงได้แต่ต่อสู้อยู่ในพื้นที่ของตัวเองและตลาดดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คำพูดของลู่เฉิน เปิดเผยสถานการณ์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์โทรทัศน์ฮ่องกงอย่างไร้ความปรานี ประกอบกับนิทานที่เขาเล่าก่อนหน้านี้ คนที่ฉลาดนิดหน่อยล้วนแล้วแต่ฟังออกถึงความหมายที่เขาอยากจะสื่อ
นักธุรกิจที่ทำงานด้านภาพยนตร์โทรทัศน์ของฮ่องกงก็เหมือนกับปลาซาร์ดีนที่อยู่บนเรือเล็กและแคบ ไม่ช้าก็เร็วต้องตายกันหมด
เว้นเสียแต่ว่ามีปลาดุกปรากฏตัวคอยกระตุ้นพวกเขา!
…………………………………………………………………………