ตอนที่ 485 ปัญหาใหญ่มาก
เมื่อไล่คนของหงหวาออกไปแล้ว ทีมงานกองถ่ายภาพยนตร์ ‘โปเยโปโลเย’ ก็ต้องกินข้าว
ปัญหานี้แก้ไขง่ายอยู่ ลู่เฉินสั่งให้เฉินเหวินเฉียงพาคนขับรถออกไปซื้อข้าวกล่องจากร้านอาหารที่ใกล้ที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่ร้านอาหารหงหวาจะผูกขาดร้านอาหารแผงลอยเล็กใหญ่ที่อยู่รอบๆ โรงถ่ายไลออนร็อกเอาไว้ทั้งหมดใช่ไหมล่ะ
เขาเรียกทีมงานกองถ่ายมารวมตัวกัน แล้วอธิบายคร่าวๆ เพื่อให้ทุกคนทนความลำบากนี้ชั่วคราว
แน่นอนว่าทีมงานกองถ่ายภาพยนตร์ต่างแสดงออกว่าเข้าใจ แม้ว่าจะมีหลายคนที่แอบบ่นอยู่ในใจก็ตาม ทว่ายังคงสนับสนุนเถ้าแก่ที่แท้จริงอย่างลู่เฉินเป็นอย่างมาก กินข้าวสายหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงแม้ไม่ได้กินหนึ่งมื้อก็ไม่มีใครตายเสียหน่อย
รอจนเฉินเหวินเฉียงซื้อข้าวกล่องกลับมา เมื่อทุกคนกินเสร็จแล้ว ก็เป็นเวลาบ่ายสองโมง
กองถ่ายภาพยนตร์ ‘โปเยโปโลเย’ มีขนาดไม่ใหญ่มาก ทีมงานส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากเจียหยางพิคเจอร์ส ข่าวถูกแพร่กระจายสู่ภายในอย่างรวดเร็ว ดังนั้นทุกคนจึงรู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
นี่ทำให้จิตใจของทีมงานในกองล่องลอยเล็กน้อย เป็นผลทำให้การถ่ายทำช่วงบ่ายเกิดเหตุขัดข้องบ่อยครั้ง วั่นเสี่ยวเฉวียนสั่งให้ถ่ายใหม่ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญขึ้นมา พูดจาเสียงกระด้างมากขึ้น
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ลู่เฉินจึงสั่งให้เลิกกองล่วงหน้า ให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนเร็วขึ้น
เพื่อรักษาจิตใจของทุกคนให้สงบ เขาสั่งให้เฉินเหวินเฉียงจ่ายเงินชดเชยค่าอาหารให้กับทีมงานกองถ่าย จำนวนเงินไม่มากถือว่าเป็นค่าอาหารเย็น เพราะเดิมทีกองถ่ายเหมาค่าอาหารมื้อกลางวันกับมื้อเย็นรวมทั้งสองมื้ออยู่แล้ว
ตอนที่จบงาน เฉินเหวินเฉียงรู้สึกระแวงมากขึ้น เขาจึงส่งคนสองคนไปเฝ้าสถานที่ถ่ายทำ เพื่อรับประกันความปลอดภัย
นี่คือเรื่องยุ่งยากที่ผิดใจกับสมาคมนักเลง ถ้าหากอีกฝ่ายคิดเล่นลูกไม้ในสถานที่ถ่ายทำ อาจจะทำให้งานก่อนหน้าทั้งหมดของกองถ่ายถือเป็นโมฆะ
หลังจากกลับมา ลู่เฉินเรียกทีมงานสำคัญสองสามคนของสตูดิโอมานั่งร่วมกัน กินข้าวเย็นและปรึกษาหานโยบายรับมือไปด้วย
ในด้านนี้ ผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุดก็คือเฉินเหวินเฉียง
เขากล่าวว่า “เมื่อครู่ผมเพิ่งโทรศัพท์ไปถามเพื่อนเพื่อยืนยันข้อมูลแล้ว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังร้านอาหารหงหวาก็คือแก๊งเซิ่งอี้ถัง”
ปลายยุค 1980 แก๊งอั้งยี่ของฮ่องกงถูกรัฐบาลฮ่องกงโจมตีอย่างรุนแรง สามแก๊งใหญ่อย่างเซิ่งเหอ ซินอัน และหงถังถูกทลายจนหมดสิ้น แต่แมลงร้อยขาตายก็ไม่ล้ม แก๊งใหม่มากมายก่อตั้งขึ้นมาใหม่จากพื้นฐานของสามแก๊งนี้
แก๊งเซิ่งอี้ถังคือหนึ่งในนั้น ตระกูลเจี่ยงที่เป็นผู้ก่อตั้งและควบคุมแก๊งเซิ่งอี้ถังพอมีชื่อเสียงในฮ่องกงอยู่บ้าง เบื้องหน้าทำกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ การเงิน นำเข้าส่งออก ร้านอาหาร เป็นต้น
พี่ใหญ่ของตระกูลเจี่ยงชื่อว่าเจี่ยงไท่ เป็นคนฉลาดหลักแหลมและกล้าหาญ วิธีการทำธุรกิจถือว่าโหดเหี้ยมมาก เขาแต่งงานมีภรรยาถึงห้าคน มีลูกๆ มากกว่าสิบคน ในบรรดาลูกๆ เหล่านั้นมีลูกชายห้าคนที่ได้รับฉายาว่า ‘ห้าพยัคฆ์’ ในแก๊งเซิ่งอี้ถัง
ผู้จัดการทั่วไปของร้านอาหารหงหวาก็คือ เจี่ยงเฉิงหวา ลูกชายคนที่สามของเจี่ยงไท่
ในแวดวง ชื่อเสียงของเจี่ยงเฉิงหวาถือว่าพอใช้ได้ ดังนั้นร้านอาหารหงหวามาหาเรื่องกองถ่าย ‘โปเยโปโลเย’ ทำให้เฉินเหวินเฉียงรู้สึกงงมาก เพราะการทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์
“ผมได้วานให้เพื่อนวงในไปสืบแล้ว ดูว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่…”
เฉินเหวินเฉียงพูดต่อว่า “พวกเรากับเจี่ยงเฉิงหวาไม่เคยเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ถ้าหากไม่ใช่ทางเจียหยางพิคเจอร์สเกิดปัญหา อย่างนั้นก็ต้องมีคนใช้เส้นสายให้เจี่ยงเฉิงหวามาหาเรื่องพวกเรา”
เกิดเรื่องแบบนี้ เฉินเหวินเฉียงสงสัยเจียหยางพิคเจอร์สก่อนเป็นอย่างแรก
ตัวเขาเองไม่รู้จักเจี่ยงเฉิงหวาเลยด้วยซ้ำ และไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกับตระกูลเจี่ยงมาก่อน ลู่เฉินยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพิ่งมาฮ่องกงได้ไม่กี่วันเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ เจี่ยงเฉิงหวาเกิดบ้ามาหาเรื่องพวกเขาโดยไม่มีสาเหตุ
ส่วนเจียหยางพิคเจอร์สนั้นพูดยากหน่อย
ประวัติของเจียหยางพิคเจอร์สต้องย้อนกลับไปในยุค 1980 ตอนนั้นสมาคมนักเลงในฮ่องกงก่อกวนอาละวาดหนักมาก มีส่วนร่วมและมีอิทธิพลกับวงการบันเทิงภาพยนตร์โทรทัศน์เป็นอย่างยิ่ง บริษัทบันเทิงภาพยนตร์โทรทัศน์แห่งหนึ่งถ้าหากไม่มีเบื้องหลังหรือความสัมพันธ์กับสมาคม ก็ยากที่จะอยู่ในวงการต่อไปได้
จวบจนวันนี้ ใครก็ยากที่จะรับประกันว่าไม่มีความแค้นเคืองในอดีตหลงเหลืออยู่
นอกจากนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจียหยางพิคเจอร์สก็คือเถ้าแก่โจวอี้ เขาทำธุรกิจในฮ่องกงมาหลายปี และยังทำได้อย่างชาญฉลาดมาก คงจะผิดใจกับใครหลายคน
ด้วยเหตุผลนานาประการ มีความเป็นไปได้ที่จะนำความยุ่งยากมาสู่กองถ่ายภาพยนตร์
วั่นเสี่ยวเฉวียนขมวดคิ้วแน่น และถามว่า “อย่างนั้นพวกเราควรจะทำยังไง”
การถ่ายทำในประเทศจีนไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ เรื่องในวันนี้ทำให้เขาอารมณ์เสียมาก เดิมทีเขาอยากจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างจริงจัง คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเริ่มถ่ายงานก็งอกเสียแล้ว
ลู่เฉินเอ่ยว่า “ผมให้ทางเจียหยางพิคเจอร์สหาคำอธิบายมาให้พวกเราแล้วครับ แผนการถ่ายทำของเรายังไม่เปลี่ยนชั่วคราว ข้าวกล่องของวันพรุ่งนี้ก็ให้พี่จางพาคนออกไปซื้อข้างนอก มีคนมีรถก็ไม่ยุ่งยาก”
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ใครก็รู้ว่าเรื่องไม่ง่ายขนาดนั้น
หงหวายังไม่บรรลุเป้าหมาย เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดทะเลาะแค่นี้ เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่มีความแจ่มแจ้งชัดเจนมากพอ จึงได้แต่ค่อยๆ คิดและค่อยๆ ทำ มาวิธีไหนก็รับมือได้ทั้งนั้น!
วั่นเสี่ยวเฉวียนกับเฉินเหวินเฉียงมองกันและกัน และพยักหน้า
กริ๊ง~
และในเวลานี้ โทรศัพท์ของลู่เฉินก็ดังขึ้นทันที
เขาหยิบมาดู “เป็นโจวอี้”
กดปุ่มรับสาย เสียงที่ดังมาจากลำโพงเป็นเสียงที่อ่อนโยนของเถ้าแก่เจียหยางพิคเจอร์ส “คุณลู่”
ลู่เฉินตอบเสียงทุ้มต่ำ “สวัสดีครับ เถ้าแก่โจว ไม่ทราบว่ามีเรื่องแนะนำยังไงบ้างครับ”
มนุษย์ดินปั้นก็ยังมีอารมณ์ ตอนแรกที่ร่วมงานกัน ทางเจียหยางพิคเจอร์สรับปากเป็นมั่นเหมาะ ตบหน้าอกรับประกันว่า ‘โปเยโปโลเย’ จะถ่ายทำอย่างราบรื่นแน่นอน เรื่องที่นอกเหนือจากการถ่ายทำพวกเขาก็จัดการได้
ผลสรุปเป็นอย่างไร ทุกคนก็เห็นแล้ว
นึกถึงเวลาครึ่งวันที่เสียไปฟรีๆ กับจิตใจที่ผันผวนของทีมงานกองถ่ายแล้ว ลู่เฉินจะไม่หงุดหงิดได้อย่างไร
ผ่านเสียงที่กั้นระหว่างไมค์ ลู่เฉินราวกับมองเห็นรอยยิ้มขมขื่นที่เผยอยู่บนใบหน้าของโจวอี้ในเวลานี้ได้ “คุณลู่ดูเหินห่างจัง เรื่องในวันนี้ผมรู้แล้วครับ เรื่องมันใหญ่มาก พวกเราเจอหน้ากันแล้วค่อยคุยได้ไหมครับ”
ลู่เฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เมื่อไรครับ”
โจวอี้ “ตอนนี้ครับ คุณสะดวกไหม”
ลู่เฉิน “ได้ครับ”
โจวอี้บอกสถานที่แล้ว ห่างจากสถานที่ที่ลู่เฉินกินข้าวอยู่ในตอนนี้ไม่ไกลนัก ดังนั้นลู่เฉินจึงรีบพาวั่นเสี่ยวเฉวียนกับเฉินเหวินเฉียงและคนอื่นๆ เดินทางไป
สถานที่นัดพบเรียกว่าสโมสรโอเคน สโมสรส่วนตัวแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านเซิงหว่านซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่รุ่งเรือง เป็นสถานที่ที่ชนชั้นสูงมักจะแวะเวียนมาบ่อยๆ ค่าสมาชิกหนึ่งปีก็เป็นล้านแล้ว
โจวอี้จองห้องส่วนตัวในสโมสร เขาพาผู้ช่วยส่วนตัวคนหนึ่งและเนี่ยหมิงจูมาด้วย
เมื่อเจอหน้ากันแล้ว ประโยคแรกที่โจวอี้พูดก็คือ “คุณลู่ครับ ครั้งนี้ต้องขอโทษจริงๆ ครับ”
ในใจของลู่เฉินรู้สึกผิดปกติขึ้นมาทันที
เพราะฟังจากน้ำเสียงของโจวอี้แล้ว เหมือนเขาอยากจะถอนตัว
ถ้าหากเจียหยางพิคเจอร์สทอดทิ้งการร่วมงานกัน นั่นก็หมายความว่าลู่เฉินต้องสร้างทีมงานขึ้นมาใหม่ กระทั่งต้องเลือกนางเอกใหม่ ความทุ่มเทและความพยายามทั้งหมดก่อนหน้าก็จะถือว่าสูญเปล่า!
…………………………………………………………………………