ตอนที่ 501 ไปร่วมงานเลี้ยง
เฉินเฟยเอ๋อร์มาร่วมงานกับภาพยนตร์ ‘โปเยโปโลเย’ สำหรับทีมงานแล้ว เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย
จวบจนเวลานี้ ต่อให้เป็นคนทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไปในกองถ่าย ก็รู้จักประวัติความเป็นมาของลู่เฉินผู้ลงทุนและพระเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ รู้ว่าเขาได้รับความนิยมในประเทศจีนสูงมากแค่ไหน
สำหรับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ความนิยมของนักแสดงเป็นตัวรับประกันรายได้ตั๋วหนังอย่างไม่ต้องสงสัย ยกตัวอย่างเช่นภาพยนตร์ฮ่องกง ราชาหลิวกั่งเซิงแสดงภาพยนตร์ยอดแย่สองสามเรื่อง แต่ภาพยนตร์ด้อยคุณภาพเหล่านี้ก็ยังขายดี เพราะว่าแฟนคลับยินดีให้การสนับสนุน
ตอนนี้นักแสดงหญิงระดับราชินีก็เข้ามาร่วมขบวนด้วย รายได้ตั๋วหนังในฮ่องกงยากที่จะคาดการณ์ได้ ทว่าตลาดในประเทศจีนคิดว่าคงไม่แย่ ควรทราบว่าลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์เป็นคู่รักเนื้อทองที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการบันเทิงของจีนแผ่นดินใหญ่
สำหรับทีมงานในกองถ่ายภาพยนตร์เหล่านี้ สามารถได้ร่วมเป็นหนึ่งในการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงค่าจ้างอะไรทั้งสิ้น ลำพังแค่คุณสมบัตินี้ก็มีค่าเป็นอย่างยิ่ง สามารถพูดเสียงดังในแวดวงได้เต็มที่
อีกทั้งลู่เฉินยังใจดีหยิบกำไรจากรายได้ตั๋วหนังสิบเปอร์เซ็นต์มามอบเป็นโบนัสอีกด้วย
ขวัญกำลังใจของทีมงานเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดในชั่วพริบตา!
แผนการถ่ายทำใหม่ถูกหยิบออกมาในไม่ช้า สไตล์ลิสต์กับช่างแต่งหน้าของเจียหยางพิคเจอร์สรีบเร่งทำงาน เริ่มกำหนดภาพลักษณ์ของปีศาจแม่เฒ่าใหม่ ให้สอดคล้องกับรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเฉินเฟยเอ๋อร์
บอสตัวร้ายคนใหม่ผสมผสานกับลักษณะเด่นของเฉินเฟยเอ๋อร์ ภายใต้เสน่ห์ที่เย้ายวนแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันโหดเหี้ยม แต่งหน้าเข้มโทนสีทองแมตช์กับเสื้อผ้าที่สวยงาม ตรงกันข้ามกับเนี่ยเสี่ยวเชี่ยนที่สวมชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ดุจสายน้ำ
ในสายตาของลู่เฉิน เฉินเฟยเอ๋อร์รับบทปีศาจแม่เฒ่า ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกหรือกิริยาท่าทางเมื่อเทียบกับตัวละครต้นฉบับอันคลาสสิคในความทรงจำของเขาแล้ว สามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เรียกได้ว่ามีจุดเด่นมากมาย
เฉินเฟยเอ๋อร์เองก็รู้สึกไม่เลวเหมือนกัน หลังจากแต่งหน้าเสร็จแล้ว เธอให้ผู้ช่วยถ่ายรูปของตัวเอง และให้ทีมงานฝ่ายอาร์ตช่วยแต่งรูปจากนั้นจึงโพสต์ลงบล็อก
เนื้อหาของโพสต์เรียบง่ายมาก ‘ภาพลักษณ์ตัวละครของฉันใน ‘โปเยโปโลเย’ ทุกคนรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง’
ภาพฟิตติ้งที่ไม่เป็นทางการปรากฏอยู่บนบล็อกของเฉินเฟยเอ๋อร์ เรียกความสนใจจากแฟนคลับจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนในทันที
ทั้งตกใจ ทั้งร้องกรี๊ด ทั้งบ่นวิจารณ์ และสอบถาม…ยอดกดไลก์และคอมเมนต์ขึ้นพรึบพรับ
“โอ้วๆๆ! เฟยของฉันกำลังทำอะไร”
“โปเยโปโลเย? ภาพยนตร์ที่ลู่เฉินถ่ายทำที่ฮ่องกงไม่ใช่เหรอ เฟยของฉันก็เป็นนักแสดงรับเชิญเรอะ”
“สวยหยาดเยิ้มเกินไปแล้ว! แทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเฟยของฉัน!”
“ไม่ได้เป็นนางเอกใช่ไหม ฉันเคยอ่าน ‘เรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ’ เนี่ยเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้มีภาพลักษณ์แบบนี้!”
“เวลาทายปริศนามาถึงแล้ว ขอถามว่าเฟยของฉันแสดงเป็นใคร”
แล้วก็มีคนทายถูกจริงๆ “หรือจะเป็นปีศาจต้นไม้ฝ่ายตัวร้าย ไม่ใช่มั้ง!”
เฉินเฟยเอ๋อร์โพสต์ภาพฟิตติ้งหนึ่งรูป โดยไม่อธิยบาย ทิ้งปริศนามากมายให้แฟนๆ
อันที่จริงนี่คือวิธีทำการตลาดที่ชาญฉลาดที่สุด จงใจทิ้งให้ทุกคนได้ขบคิด การวิจารณ์อย่างกระตือรือร้นของบรรดาแฟนคลับ สามารถโปรโมตภาพยนตร์ ‘โปเยโปโลเย’ ได้อย่างไร้ร่องรอย
แน่นอนว่ามีเพียงดาราเบอร์ใหญ่อย่างเธอที่มีแฟนคลับหลายสิบล้าน ถึงจะเล่นแบบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นหากไม่ได้เป็นที่นิยมก็จะเต็มไปด้วยแฟนคลับปลอม ยอดคอมเมนต์อันน้อยนิด มาเล่นเกมทายปริศนารังแต่จะทำให้ตัวเองต้องอัปยศอดสู
เนื่องจากเฉินเฟยเอ๋อร์มีวันหยุดจำกัด ดังนั้นวันเวลาต่อจากนี้ ทีมงานทั้งกองจะต้องรายล้อมเธอเพื่อดำเนินการถ่ายทำ ถ่ายฉากที่เกี่ยวข้องกับเธอทั้งหมดให้เสร็จก่อน
ณ ตอนนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงความเติบโตและความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮ่องกงแล้ว
อาจเป็นเพราะอยากชดเชยความผิดพลาดครั้งก่อน ทางเจียหยางพิคเจอร์สจึงส่งคนเก่งระดับหัวกะทิมาทั้งหมดทีมงานกองถ่ายจึงเพิ่มขึ้นเกินหนึ่งร้อยห้าสิบคนขึ้นไป ในกระบวนการที่สำคัญสองสามอย่าง ก็ยังเสียเงินต่างหากจ้างผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในวงการมาอีกด้วย
ทำตามระบบด้วยควาตึงเครียด ถึงงานจะยุ่งแต่ไม่ยุ่งเหยิง ภายใต้การประสานงานของเฉินเหวินเฉียงกับหัวหน้าของเจียหยางพิคเจอร์ส ทั้งกองถ่ายราวกับเครื่องไขลาน เริ่มทำงานแข่งขันกับเวลาทุกนาที
ตอนที่ภาพยนตร์ฮ่องกงอยู่ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด บริษัทภาพยนตร์หลายแห่งที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต้นทุนต่ำ แค่สองสามอาทิตย์ก็สามารถถ่ายภาพยนตร์ใหม่หนึ่งเรื่องเสร็จแล้ว ถึงแม้จะพูดว่าเป็นผลงานการผลิตที่หยาบมาก แต่ประสิทธิภาพสูงมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้ภาพยนตร์ฮ่องกงในปัจจุบันจะตกต่ำ แต่ประสิทธิภาพแบบนี้ก็ยังดำเนินต่อไป ยกเว้นผู้กำกับแนวอินดี้ที่มีอยู่น้อยนิด ผู้กำกับชาวฮ่องกงส่วนมากล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการกำกับการแสดงที่มีประสิทธิภาพสูง
บุคลิกส่วนตัวของผู้กำกับมีผลกระทบต่อกองถ่ายภาพยนตร์ แม้แต่ยอดฝีมือในวงการของฮ่องกงก็คุ้นชินกับการทำงานล่วงเวลาเพื่อเร่งงานให้เสร็จ
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ต้องการชดเชยเวลาที่เสียไปก่อนหน้ากลับมา
ลู่เฉินก็ยุ่งมากเหมือนกัน เขาไม่เพียงแต่ยุ่งงานถ่ายทำที่กองถ่าย ยังมีงานนอกกองถ่ายอีกไม่น้อย
อย่างเช่นไปร่วมงานเลี้ยงขอโทษของเจี่ยงเฉิงหวา
คุณชายสามแห่งตระกูลเจี่ยงและยังเป็นเถ้าแก่ของร้านหงหวาคนนี้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงขอโทษที่โรงแรมเก็นติงซึ่งมีชื่อเสียงมากในฮ่องกง เขาเชิญหลิ่วเจิ้งหาวผู้อาวุโสในแวดวงมาออกหน้าเป็นผู้ไกล่เกลี่ย และมีโจวอี้ในฐานะพยานบุคคล เรียกได้ว่าให้เกียรติกันเป็นอย่างมาก
หากพูดกันตามวงในแล้ว เจี่ยงเฉิงหวาแทบจะโขกศีรษะลงบนพื้น
ดังนั้นลู่เฉินจึงต้องมาร่วมงานด้วยตนเอง มิฉะนั้นจะหมายความว่าไม่ยอมเลิกรากับอีกฝ่าย ซึ่งแรงกว่าการตบหน้าเสียอีก
แน่นอนว่าเขาไม่ได้มาตัวคนเดียว ยังมีหลี่มู่ไป๋ ผู้ช่วยจางเสี่ยวฟาง และวั่นหย่งร่วมเดินทางมาด้วย
สี่คนไม่มากไม่น้อยเกินไป น้อยไปก็จะดูอ่อนแอ มากไปก็จะดูขาดความมั่นใจต้องอาศัยจำนวนคนเพื่อให้ดูเข้มแข็ง งานเลี้ยงขอโทษถึงแม้จะไม่ใช่งานเลี้ยงหงเหมินเพื่อลอบสังหาร แต่ก็มีกฎระเบียบมากมายเช่นกัน
ส่วนเฉินเฟยเอ๋อร์ เธอไม่เหมาะสมที่จะร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ ดังนั้นลู่เฉินจึงไม่พาเธอมาด้วย
โรงแรมเก็นติงตั้งอยู่ในทำเลดีของเขตไหล่เขา ติดกับย่านเซ็นทรัลซึ่งเป็นย่านธุรกิจ โรงแรมระดับห้าดาวที่สร้างขึ้นในยุค 1990 แห่งนี้เคยเป็นตึกที่มีชั้นสูงที่สุดในฮ่องกง นักลงทุนเชิญนักออกแบบที่มีชื่อเสียงชาวเยอรมันมาออกแบบ ปัจจุบันก็ไม่ด้อยไปกว่าตึกสูงที่อยู่โดยรอบ
ขับรถมาถึงโรงแรม ลู่เฉินลงจากรถเดินเข้าไปที่ประตูห้องโถง ก็เห็นโจวอี้รออยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว
เขาตกใจมาก “เถ้าแก่โจว ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ครับ”
โจวอี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมกำลังรอคุณครับ พวกเรามาด้วยกัน แน่นอนก็ต้องขึ้นไปด้วยกันครับ”
ลู่เฉินหัวเราะ “เถ้าแก่โจว คุณทำแบบนี้ผมรู้สึกเกรงใจมากครับ”
เขารู้ว่าโจวอี้กำลังแสดงตัวว่าตัดสินใจยืนข้างเดียวกับเขา
ลู่เฉินรู้สึกเลื่อมใสนักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนี้จริงๆ รู้จักปล่อยวาง ผลประโยชน์อยู่ตรงหน้าก็ไม่สนใจ ตีสนิททุกฝ่ายได้อย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่เขาสร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยมือเปล่าได้
โจวอี้หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “จริงๆ แล้วผมก็เพิ่งมาถึงครับ ผมก็ไม่สนิทกับเจี่ยงเฉิงหวา รอคุณมาถึงแล้วค่อยขึ้นไปน่าจะเหมาะสมกว่า”
เขาสังเกตเห็นหลี่มู่ไป๋ที่ยืนอยู่ข้างกายลู่เฉินอย่างฉับไว แล้วถามอย่างสงสัยว่า “คนนี้คือ?”
ลู่เฉินจึงแนะนำเล็กน้อย “คนนี้คือหลี่มู่ไป๋เป็นเพื่อนของผมครับ เพิ่งมาจากประเทศจีน”
โจวอี้ตาเป็นประกายทันที เดินเข้าไปยื่นมือให้หลี่มู่ไป๋ก่อน “คุณหลี่ สวัสดีครับ”
หลี่มู่ไป๋ยิ้มจางๆ จับมือกับเขา “เถ้าแก่โจวสวัสดีครับ”
นัยน์ตาของโจวอี้ฉายแววตาครุ่นคิดแวบหนึ่ง จากนั้นก็กลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิม “ถ้างั้นพวกเราขึ้นไปข้างบนกันเถอะครับ”
พอขึ้นลิฟต์ คนทั้งกลุ่มก็มุ่งตรงไปยังชั้นที่กำหนดให้เป็นที่จัดงานเลี้ยง
…………………………………………………………………………