ตอนที่ 513 ของที่ระลึก
ในแวดวงสื่อดั้งเดิม สถานีฮ่องกงกับสถานีเอทีวีเป็นศัตรูคู่ปรับกันอย่างแท้จริง
บุญคุณความแค้นของเจ้าแห่งสถานีโทรทัศน์ไร้สายทั้งสองแห่งสามารถย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ข้อเบาะแว้งที่อยู่ในนี้สามารถนำไปสร้างละครเรื่องยาวมากกว่าร้อยตอนได้เลย ประวัติศาสตร์การช่วงชิงระหว่างทั้งสองฝ่ายปรากฏให้เห็นในหน้าจอทีวีอยู่เสมอ
แขกที่มาร่วมงานหอนาฬิกาเพลงซาลอนครั้งนี้มีสถานีเอทีวีกับสถานีฮ่องกงรวมอยู่ด้วยเป็นเรื่องที่ปกติมาก ไม่ว่าจะเป็นหลิวฮั่นหยางผู้อำนวยการเพลงของช่องวาไรตี้สถานีเอทีวี หรือว่าหลี่หมิงหย่วนผู้อำนวยการผลิตของช่องดนตรีสถานีฮ่องกง ล้วนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวงการเพลงป็อปฮ่องกง
ในฐานะคนดนตรี พวกเขาสามารถนั่งในตำแหน่งของตัวเองได้อย่างทุกวันนี้ ล้วนไม่ใช่คนโง่ทั้งนั้น
หัวข้อสนทนาเริ่มมาจากลู่เฉิน กับความคิดของคุณนายจิน จากนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากหลิวกั่งเซิง สุดท้ายกลายเป็นการร่วมกันทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ของคนดนตรีชาวฮ่องกง หลิวฮั่นหยางกับหลี่หมิงหย่วนประสาทสัมผัสไวได้กลิ่นของโอกาสอย่างรวดเร็ว
หากจะพูดถึงรายการวาไรตี้ประเภทรายการประกวด สถานีฮ่องกงกับสถานีเอทีวีล้วนเป็นผู้จัดที่เก่งไม่แพ้กัน การประกวดมิสฮ่องกงของสถานีฮ่องกงกับการประกวดมิสเอเชียของสถานีเอทีวีในแต่ละปี เรตติ้งผู้ชมไม่เคยต่ำกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์
แต่การประกวด ‘สาวงาม’ สองรายการใหญ่ เรตติ้งผู้ชมกำลังลดลงทุกปี ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจคัดค้าน การประกวดมิสฮ่องกงปีที่แล้ว เรตติ้งตอนแข่งขันรอบรองชนะเลิศเกือบติดเส้นต่ำสุดที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ สถานีฮ่องกงต้องลงทุนเป็นจำนวนมากถึงทะลุเส้นแดงได้ในที่สุด
สถานการณ์ของการประกวดมิสเอเชียก็ไม่ต่างกันมากเท่าไร
เหตุผลนั้นง่ายมาก ภายใต้การโจมตีของคลื่นอินเทอร์เน็ต การใช้ชีวิตของสื่อดั้งเดิมจึงไม่ค่อยดีนัก การประกวดมิสฮ่องกงกับมิสเอเชียตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ พวกผู้ชมจึงเริ่มเบื่อหน่ายความสวยงามเหล่านี้แล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ การค้นหาสิ่งแปลกใหม่จึงกลายเป็นความต้องการของผู้ผลิตรายการของสถานีโทรทัศน์ไร้สายรายใหญ่ทั้งสองเจ้า
‘ร้องเพลง! ฮ่องกง’ จึงเป็นรายการที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
มันมีแนวคิด มีแหล่งเงินทุน และยิ่งไปกว่านั้นคือมีซูเปอร์สตาร์ราชาเพลงหลิวกั่งเซิงให้การสนับสนุน…
คิดจะแพ้ก็คงยาก!
นี่เหมือนแม่ไก่ทองตัวหนึ่งที่เพิ่งหลุดออกมาจากป่า ใครบ้างไม่อยากอุ้มกลับบ้าน
หลิวฮั่นหยางกับหลี่หมิงหย่วนจึงกลายเป็นไก่ตัวผู้ในทันที ขึงตาใส่กันไม่ยอมหลีกทางให้กันและกัน
ถ้าหากพลาดการผลิตรายการประกวดที่มีอนาคตไร้ขีดจำกัดนี้ ไม่ว่าใครกลับไปก็ยากที่จะรายงานเบื้องบน
ความดุเดือดเลือดพล่านระหว่างทั้งสองคนยิ่งรุนแรงขึ้น
ยังดีที่หลิวกั่งเซิงมีประสบการณ์เยอะ ยิ้มแล้วพูดไกล่เกลี่ยสถานการณ์ว่า “ทั้งสองคนอย่างเพิ่งแย่งกันครับ ตอนนี้ ‘ร้องเพลง! ฮ่องกง’ เป็นแค่แนวคิดเบื้องต้นเท่านั้น ทางที่ดีที่สุดคือพวกคุณกลับไปเขียนแผนงานออกมาก่อน จากนั้นก็ให้ทุกคนดู แผนงานของใครดีกว่าก็เลือกของคนนั้น พวกคุณคิดว่าดีไหมครับ”
ไม่ว่าจะเป็นสถานีฮ่องกงหรือสถานีเอทีวี แผนงานของใครดีกว่าก็เลือกของคนนั้น และให้ผู้สนับสนุนของโครงการนี้ลงคะแนนโหวตแผนงาน แบบนี้ทั้งยุติธรรมและเหมาะสม
หลิวฮั่นหยางกับหลี่หมิงหย่วนจึงพูดไม่ออก แขกเหรื่อที่อยู่ในงานต่างเห็นด้วย
และไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม เสียงปรบมือคึกคักดังขึ้นในบาร์อีกครั้ง เพราะว่าทุกคนมองเห็นการกำเนิดอีเวนต์ใหญ่ของวงการเพลงป็อปฮ่องกง และนี่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของวงการเพลงฮ่องกง
ลู่เฉิน เฉินเฟยเอ๋อร์ หลิวกั่งเซิง แล้วก็คุณนายจินถูกคนห้อมล้อมเอาไว้ มอบเสียงปรบมือให้พวกเขา
คนที่ล้อมรอบพวกเขา บ้างก็เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงในวงการ บ้างก็เป็นผู้อาวุโสในวงการ บางก็เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมีเดีย คนอย่างเยี่ยเซวียนไม่สามารถเบียดเข้าไปอยู่ในแวดวงสองชั้นแรกได้เลย
ส่วนเจียงเหว่ยที่พูดจาอยากจะเอาชนะลู่เฉินก่อนหน้านั้น ก็ได้แต่หดตัวเข้ามุมกับเพื่อนสองสามคน
เมื่อเทียบกับหลิวกั่งเซิง พวกเขายังสู้ดวงดาวที่อยู่ใกล้พระจันทร์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
คำชมของหลิวกั่งเซิงที่มีต่อลู่เฉิน ทำให้คำท้าทายก่อนหน้านั้นของเจียงเหว่ยกลายเป็นเรื่องตลกที่สุด
เวลานี้พิธีกรของหอนาฬิกาเพลงซาลอนกัวไหวอันปรากฏตัวในที่สุด เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ทุกท่าน เชฟของพวกเราได้เตรียมอาหารสุดพิเศษของวันนี้ให้ทุกท่านเรียบร้อยแล้ว คุยเรื่องงานนั้นสำคัญ แต่กินข้าวก็สำคัญเหมือนกันนะครับ!”
หนึ่งในประเพณีดั้งเดิมของหอนาฬิกาเพลงซาลอนก็คือการต้อนรับด้วยอาหารเย็น โดยทั่วไปจะเป็นบุฟเฟต์แบบตะวันตก จ้างเชฟใหญ่ที่มีชื่อเสียงในฮ่องกงมาทำ และเชฟอาหารตะวันตกเหล่านี้ก็จะนำผลงานที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาตอนที่ได้เวลารับประทานอาหาร
บรรยากาศในงานเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายทันที ทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน ต่างกินอาหารของตัวเอง
หลิวกั่งเซิงพูดกับลู่เฉินว่า “กินอะไรก่อนเถอะ แล้วพวกเราค่อยหาที่นั่งคุยกันดีไหมครับ”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยว่า “ได้เลยครับ!”
หลิวกั่งเซิงดูเหมือนคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี เขามีใบหน้าที่สร้างความประทับใจลึกซึ้งให้แก่ผู้คน หล่อแต่มีความแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว และยิ่งมีความเป็นผู้ใหญ่กับความมั่นใจที่ตกตะกอนมาจากกาลเวลา
แท้จริงแล้วซูเปอร์สตาร์ราชาเพลงหลิวชาวฮ่องกงผู้นี้ ปีนี้อายุห้าสิบสี่ปีแล้ว
ในตัวของซูเปอร์สตาร์ราชาเพลงหลิว ลู่เฉินมองเห็นเงาของถานหง ทั้งสองคนมีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน
พวกเขาต่างมีความแข็งแกร่งในด้านของตัวเอง รับรางวัลจนเมื่อยมือ ดังนั้นจึงหมดความสนใจ แต่ถานหงเลือกที่จะออกจากวงการนานแล้ว ทว่าหลิวกั่งเซิงยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการเพลงและภาพยนตร์โทรทัศน์อยู่
แต่ชื่อเสียงสำหรับราชาเพลงหลิวคนนี้ ไม่มีความสำคัญเลยสักนิด เขาอยากจะทำอะไรให้เพลงป็อปของฮ่องกงจากใจจริง อยากจะช่วยชีวิตเพลงป็อปภาษากวางตุ้งที่ตอนนี้กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่หลิวกั่งเซิงชื่นชมลู่เฉิน เพราะเขามองเห็นความหวังในอนาคตของเพลงจีนบนตัวลู่เฉิน
แต่สำหรับลู่เฉินนั้น ได้นั่งคุยกับไอดอลที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เช่นนี้ รู้สึกว่าน่าอัศจรรย์มากจริงๆ เหมือนกับความฝันกลายเป็นความจริงสมดั่งใจปรารถนา
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะอยู่ที่ฮ่องกง…”
ราชาเพลงหลิวคนนี้พูดกับลู่เฉินอย่างจริงจัง “สร้างผลงานเพลงภาษากวางตุ้งที่ดียิ่งกว่านี้ ถ้าหากอยู่ต่อไม่ได้ ต่อไปต้องรบกวนคุณช่วยแต่งผลงานพลงภาษาจีนกวางตุ้งให้มากกว่านี้ครับ…”
“เหมือนอย่าง ‘รักที่สุดในชีวิต’ เป็นเพลงที่ดีมาก!”
ลู่เฉินพยักหน้า แล้วตอบอย่างให้ความสำคัญว่า “ผมจะพยายามแน่นอนครับ”
หลิวกั่งเซิงเผยรอยยิ้มออกมา เขายื่นนามบัตรส่วนตัวของตัวเองให้กับลู่เฉินหนึ่งใบ “มีเรื่องอะไรติดต่อผมได้ตลอด”
นามบัตรส่วนตัวของหลิวกั่งเซิงน้อยมากที่จะให้คนอื่น ยกเว้นเพื่อนกันจริงๆ
คุณนายจินยิ้มเอ่ยว่า “ฉันช่วยถ่ายรูปให้พวกคุณเก็บไว้เป็นที่ระลึกดีกว่าค่ะ”
หลิวกั่งเซิงที่กำลังจะขอตัวกลับก่อนตกลงทันที เขาไม่เพียงแต่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับลู่เฉินเท่านั้น ยังถ่ายคู่กับเฉินเฟยเอ๋อร์ด้วย ทั้งสามคนถ่ายรูปร่วมกันสองสามรูป
จากนั้นรูปภาพสองสามรูปนั้นก็ถูกเฉินเฟยเอ๋อร์ใช้โทรศัพท์โพสต์ไปที่บล็อกของตัวเอง
เกิดความฮือฮาในแวดวงแฟนคลับของเธอกับลู่เฉินอยู่ไม่น้อย
“ราชาเพลงหลิว!”
“คนดังสองคนถ่ายรูปด้วยกัน เท่จริงๆ!”
“ว้าวๆๆ หรือว่าหลิวกั่งเซิงก็เป็นดารารับเชิญในภาพยนตร์ใหม่ด้วย ฉันชอบเขามากนะ!”
“เฉินของฉันเก่งขนาดนี้ ราชาเพลงหลิวจะต้องชื่นชมมากแน่นอน!”
“รอคอยการร่วมงานกันของเฉินของฉัน เฟยของฉัน และราชาเพลงหลิว!”
“ร่วมงานกันอีกหนึ่ง…”
ไม่ว่าในอินเทอร์เน็ตจะคึกคักแค่ไหน หอนาฬิกาเพลงซาลอนสำหรับลู่เฉินแล้ว คือก้าวสำคัญของเขาในการเข้าสู่วงการบันเทิงฮ่องกงอย่างไม่ต้องสงสัย
สองวันต่อมา เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ถ่ายทำฉากทั้งหมดของ ‘โปเยโปโลเย’ เสร็จแล้วและออกจากฮ่องกง
ภาพยนตร์เรื่องแรกของลู่เฉินก็เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายด้วยเหตุนี้
วันที่ 29 ธันวาคม ‘โปเยโปโลเย’ ปิดกล้องอย่างเป็นทางการ
…………………………………………………………………………