ตอนที่ 536 สิ้นปี
วันที่ 12 มกราคม อัลบั้มใหม่ของซูจิ้งได้วางแผงอย่างเป็นทางการ
บริษัทแผ่นเสียงที่เธอเซ็นสัญญาด้วยคือบริษัทเกาลูนเรคคอร์ด บริษัทแผ่นเสียงนี้ตั้งขึ้นในยุค 70 ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปี ทุกวันนี้ยังคงเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการอยู่เหมือนเดิม
ตามธรรมเนียมปฏิบัติ อัลบั้ม ‘วันคืนสงบสุข’ ทั้งในรูปแบบดิจิทัลและซีดีต่างแยกกันลงขายทางออนไลน์และออฟไลน์พร้อมกัน นอกจากนี้เกาลูนเรคคอร์ดยังจัดทำอัลบั้มรำลึกอดีตชุดลิมิเต็ดขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย ในนั้นมีอัลบั้มของซูจิ้งทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ
ก่อนหน้านี้กิจกรรมโปรโมตอัลบั้ม ‘วันคืนสงบสุข’ ได้จัดขึ้นอย่างคึกคัก
ซูจิ้งเคยโด่งดังถึงขีดสุดในวงเพลงป็อปฮ่องกงอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ตอนที่เธอกำลังอยู่ในจุดสูงสุดนั้นเธอรีบแต่งงานเข้าสู่ตระกูลใหญ่ ทำให้เกิดความสั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงทั้งในและนอกวงการ ดังนั้นคนฮ่องกงจึงไม่รู้สึกว่าเธอเป็นคนแปลกหน้า
ปีที่แล้วซูจิ้งหย่าร้างกับสามีได้กลายเป็นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งด้วย ช่วยเรียกความนิยมของเธอกลับมาได้บ้าง
ครั้งนี้ที่เธอออกอัลบั้มครั้งแรกหลังหวนคืนสู่วงการ เธอแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญในการเทหมดหน้าตัก
อัลบั้ม ‘วันคืนสงบสุข’ เป็นอัลบั้มเพลงรักอบอุ่นโรแมนติก ด้วยความสามารถที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อก่อนเลยของซูจิ้ง เพลงหลักอย่าง ‘ลมฤดูร้อน’ ราวกับเป็นสายลมทะเลอันเย็นสบายที่พัดเข้าสู่วงการเพลงป็อปอีกครั้ง กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาจากแฟนเพลงเป็นอย่างมาก
เพลงรักไพเราะร้องติดปากเป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่น เพียงแค่ห้าวัน ยอดการดาวน์โหลดอัลบั้มออนไลน์สูงถึงหนึ่งแสนสองหมื่นครั้ง ยอดขายซีดีและชุดลิมิเต็ดยิ่งน่ายินดี
เพลง ‘กล้าหาญ’ ซึ่งเป็นอีกเพลงในอัลบั้มที่ลู่เฉินเขียนเนื้อร้องและแต่งทำนองให้ ก็ติดชาร์ตเพลงป็อปสองอันดับแรกของสถานีวิทยุฮ่องกงพร้อมกันกับ ‘ลมฤดูร้อน’
ในเรื่องนี้ ถือว่าการหวนคืนสู่วงการของซูจิ้งประสบความสำเร็จถึงที่สุด การจะกลับไปรุ่งโรจน์อีกครั้งเหมือนวันวานรอเพียงแค่เวลาเท่านั้น
สำหรับเหล่าแฟนเพลง คนที่พวกเขาเป็นห่วงและให้ความสนใจคือซูจิ้ง แต่คนในวงการบันเทิงกลับจับจ้องอยู่ที่ลู่เฉิน
เพราะความสำเร็จของซูจิ้งขาดการสนับสนุนจากลู่เฉินไม่ได้ ฝ่ายหลังเป็นคนโอบอุ้มเธอขึ้นไปอยู่เหนือเมฆ
ทันใดนั้นมีคนโทรศัพท์หรือไม่ก็วิ่งไปถึงสตูดิโอลู่เฉินเพื่อขอทำความร่วมมือด้วย หรือขอเพลงไม่หยุดหย่อน
ศิลปินนักร้องหลายคนถึงกับออกโรงเอง เพราะอยากให้ลู่เฉินแต่งเพลงให้สักเพลง
ลู่เฉินในตอนนี้จึงแทบไม่อยู่ที่สตูดิโอเลย
เขาใช้เวลาทั้งหมดไปอยู่ที่ซิงฮุยมูฟวี่ ทำงานหามรุ่งหามค่ำร่วมกับวั่นเสี่ยวเฉวียน ทั้งการใส่เสียงและดนตรีประกอบ การทำเอฟเฟกต์พิเศษ และการตัดต่อ จนเขาอยากจะแยกร่างออกเป็นสองร่างในเวลาเดียวกัน
เวลาผ่านไปเร็วมาก พริบตาเดียวก็ถึงปลายเดือนมกราคมแล้ว
วันที่ 25 มกราคม ตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันที่ 28 เดือน 12 พนักงานในสตูดิโอลู่เฉินที่ฮ่องกงถึงได้พบกับเจ้านายเสียที
อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันตรุษจีนแล้ว
คนฮ่องกงให้ความสำคัญกับเทศกาลตรุษจีนมาก บริษัททั่วไปในท้องถิ่นมักจะเริ่มหยุดตั้งแต่วันที่ 26 จนถึงวันที่แปดหลังตรุษจีนถึงเริ่มทำงาน สำหรับคนฮ่องกงที่เคยชินกับการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ช่วงตรุษจีนเป็นวันหยุดพักผ่อนยาวของพวกเขา
สตูดิโอลู่เฉินเพราะงานยุ่งรัดตัว จึงเลื่อนไปเริ่มหยุดในวันที่ 28 เฉินเหวินเฉียงได้จองห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรูเอาไว้แล้ว เพื่อเลี้ยงอาหารพนักงานทุกคน
ทุกวันนี้สตูดิโอลู่เฉินไม่ใช่บริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานเพียงสองสามคน ตั้งแต่เริ่มเปิดโครงการภาพยนตร์ ‘โปเยโปโลเย’ ก็ได้รับพนักงานเข้ามาเพิ่มหลายตำแหน่ง ตอนนี้มียี่สิบกว่าคนแล้ว นั่งกันเต็มทั้งสองโต๊ะ
“หมดแก้ว!”
เสียงแก้วกระทบกันดังก๊องแก๊ง ในห้องจัดเลี้ยงมีแต่เสียงหัวเราะเฮฮา
พนักงานในสตูดิโอลู่เฉินส่วนใหญ่มีแต่คนหนุ่มสาว คนหนุ่มสาวนั้นสดใสมีชีวิตชีวา งานเลี้ยงสิ้นปีต้องเฮฮากันหน่อย
“เจ้านาย ผมขอคารวะคุณหนึ่งแก้ว!”
“นายน้อยลู่ ผมคารวะคุณ!”
“บอส…”
แม้ว่าตอนนี้ทางสตูดิโอจะมีแต่รายจ่ายไม่ค่อยมีรายรับ แต่ทุกคนล้วนมีความหวัง เพราะเจ้านายของพวกเขาคือลู่เฉิน!
หญิงสาวหลายคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ต่างมองลู่เฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย
ลู่เฉินไม่ปฏิเสธพนักงานที่เข้ามาขอชนแก้ว ตอนที่ถ่ายทำเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ พวกเขาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น จนถึงปลายปีก็ควรได้รับรางวัลบ้าง
การให้รางวัลที่ตรงที่สุดคืออั่งเปา ได้รับกันทุกคน ทั้งยังเป็นซองหนาปึกอีกด้วย แม้แต่หม่าหรงเจินที่ไม่นับว่าเป็นพนักงานของสตูดิโอลู่เฉินก็ยังได้
หลังจากถ่ายทำเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ จบ หม่าหรงเจินตกงานไปพักหนึ่ง แม้เขาจะรับบทเป็นตัวประกอบชายอันดับหนึ่งของเรื่อง แต่ก่อนที่ ‘โปเยโปโลเย’ จะออกฉาย นักแสดงรุ่นเก่าอย่างเขาก็ยังเป็นแค่ปลาเค็มดองตัวหนึ่ง
หม่าหรงเจินรับอั่งเปาที่ลู่เฉินยัดใส่มือให้ เขาปลาบปลื้มจนพูดอะไรไม่ออก
อาหารเลี้ยงฉลองวันส่งท้ายปีเก่ามื้อนี้รับประทานกันอย่างอิ่มเอมใจ
“ลุงเฉวียน…”
หลังจากงานเลี้ยงจบแล้ว พนักงานกลับกันไปหมด ลู่เฉินถามวั่นเสี่ยวเฉวียนว่า “ลุงจะไม่กลับจริงๆ เหรอครับ”
นับตั้งแต่ร่วมงานเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ จนถึงตอนนี้ทั้งสองสนิทสนมกันมากกว่าเดิม
วั่นเสี่ยวเฉวียนตั้งใจและรับผิดชอบเรื่องงาน ความสามารถเฉพาะด้านก็เก่งกาจ เรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ ถ้าไม่ได้เขาเป็นผู้กำกับมีหรือจะถ่ายทำจบตรงตามเวลาได้อย่างราบรื่น งานตัดต่อเบื้องหลังก็ยิ่งขาดเขาไม่ได้
รากฐานของสตูดิโอลู่เฉินอาศัยเขาเป็นคนก่อสร้างขึ้น เป็นคนเก่าแก่ที่มีผลงานดี
ลู่เฉินจึงเป็นห่วงเป็นใยผู้ช่วยคนนี้เป็นพิเศษ
วั่นเสี่ยวเฉวียนเตรียมจะฉลองวันตรุษจีนในฮ่องกง
ได้ยินลู่เฉินถาม ใบหน้าของเขาฉายรอยยิ้มขมขื่น ส่ายหัวตอบว่า “กลับไปก็ไม่มีอะไร อยู่ที่นี่ดีกว่า มีเพื่อนตั้งเยอะ”
ลู่เฉินเงียบงัน
นิสัยตัดสินโชคชะตา นิสัยวั่นเสี่ยวเฉวียนกำหนดให้เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิต ผ่านความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาเหลือตัวคนเดียว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาถึงฮ่องกงนี่หรอก
สำหรับวั่นเสี่ยวเฉวียน การที่เขามาฮ่องกงเป็นเหมือนจุดพลิกผันของชีวิต ที่นี่เขาได้เริ่มตามหางานและความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมาอีกครั้ง แล้วยังได้รู้จักเพื่อนมากมาย
เขาจึงไม่อยากกลับปักกิ่ง กลับไปสู่บ้านที่โดดเดี่ยวเย็นชา และไม่อยากมองเห็นสายตาสงสารจากคนอื่น
ในเมื่อวั่นเสี่ยวเฉวียนยืนยันเช่นนี้ ลู่เฉินก็ไม่บังคับ “เอาเถอะครับ ลุงพักผ่อนหลายวันหน่อย ผู้กำกับจางฝากผมมาสวัสดีปีใหม่ลุงด้วย เขาเข้าใจดีครับ”
วั่นเสี่ยวเฉวียนซาบซึ้ง “ขอบใจนะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เฉินนั่งเที่ยวบินที่เร็วที่สุดกลับมาที่ปักกิ่ง
จากนั้นเลี้ยงอาหารพนักงานสตูดิโอรอบที่สอง
สตูดิโอในปักกิ่งยิ่งมีคนเยอะกว่าและก็คึกคักยิ่งกว่า กอปรกับผลประกอบการที่ดีของปีที่แล้ว ลู่ซีมอบอั่งเปาให้กับพนักงานหนักๆ ส่วนของที่ใช้จับฉลากก็ล้วนเป็นของมีราคา
วันที่ 27 มกราคม ลู่เฉินกับลู่ซีนั่งรถไฟความเร็วสูงกลับบ้านที่ปินไห่พร้อมกัน
ส่วนเฉินเฟยเอ๋อร์ไปถึงก่อนแล้ว
ทั้งครอบครัวอยู่พร้อมหน้า ถึงจะเป็นวันปีใหม่ที่สนุกสนานและมีความสุข!
……………………………………………………