ตอนที่ 653 โอกาส
ได้มาร่วมคัดเลือกนักแสดงกับลู่เฉิน ฟางฮุ่ยรู้สึกดีใจมาก
ดีใจเป็นพิเศษ
สองปีก่อน ผู้กำกับตัวเล็กๆ ระดับสองระดับสามของวงการละครและภาพยนตร์ แม้เคยถ่ายทำละครและภาพยนตร์มาแล้วมากมาย แต่ผลงานที่เด่นดังจริงนั้น ช่างห่างไกลจากผู้กำกับมือทองอย่างไม่อาจเอื้อม
แม้รายได้ที่ได้มาจะไม่น้อยนัก แต่ฟางฮุ่ยมีความทะเยอทะยานในแบบของตัวเอง
ครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับลู่เฉินคือการถ่ายทำมิวสิควิดีโอให้แก่นักร้องเกิร์ลกรุ๊ปที่โด่งดังที่สุดในตอนนี้อย่างวงเอ็มเอสเอ็น ลู่เฉินเป็นพระเอกในมิวสิควิดีโอนั้น
ตอนนั้นลู่เฉินได้มอบความประทับใจไม่รู้ลืมให้แก่ฟางฮุ่ย
แต่เธอคิดไม่ถึงว่า หลังจากการร่วมงานครั้งนั้น ลู่เฉินจะติดต่อเชื้อเชิญเธอให้มาเป็นผู้กำกับละคร
ฟางฮุ่ยรับปาก จากนั้นก็มีละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’!
ละครแนวความรักในเมืองหลวงเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นทำลายสถิติเรตติ้งในประเทศเกาหลี และทำให้ฟางฮุ่ยกลายเป็นผู้กำกับละครแถวหน้าของวงการ
หลายปีที่พากเพียร ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จด้วยละครหนึ่งเรื่อง! ตอนนั้นฟางฮุ่ยรู้สึกตัวลอย
ผลลัพธ์คือเธอเกือบจะพลาดละครเรื่องที่สองของลู่เฉินอย่าง ‘ฟูลเฮ้าส์’ ตอนนี้คิดดูแล้วตอนนั้นอารมณ์ของเธอเสียสมดุลไปจริงๆ
โชคดีที่เธอรู้สึกตัวทัน จึงได้กำกับละคร ‘ฟูลเฮ้าส์’ ต่อ ทำให้เธอได้แทรกตัวขึ้นสู่ชั้นแนวหน้าอย่างแท้จริง!
ครั้งนี้ลู่เฉินเตรียมตัวจะถ่ายทำละครแนวความรักในเมืองหลวงเรื่องที่สาม ฟางฮุ่ยได้เว้นช่วงเวลาในตารางงานของเธอไว้แล้ว ปฏิเสธคำเชิญจากละครไปหลายเรื่อง ความเสียหายนี้ทำให้ผู้จัดการส่วนตัวของเธอเสียดาย
ตามข้อตกลงของเธอกับลู่เฉิน ค่าแรงในการกำกับละคร ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ สูงกว่าตอนที่กำกับละคร ‘ฟูลเฮ้าส์’ เพียงสองเท่า ต่างจากค่าตัวของเธอในตอนนี้ตั้งมากมาย
แต่ฟางฮุ่ยยินดี ถึงขั้นบอกกับผู้จัดการส่วนตัวว่า ต่อให้ไม่มีค่าตอบแทนสักสตางค์แดงเดียว เธอก็ยินดีจะกำกับละครเรื่องนี้ ทำงานฟรีให้กับลู่เฉิน
แม้นี่จะเป็นคำล้อเล่น แต่ก็เห็นชัดว่าฟางฮุ่ยให้ความสำคัญกับละครเรื่องนี้มากแค่ไหน
เพราะฟางฮุ่ยมีเหตุผลที่เชื่อว่า ละคร ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ กำลังจะสร้างจุดสูงสุดบนเส้นทางการทำงานของเธอ!
พกพาความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้าเช่นนี้มา ฟางฮุ่ยมาถึงวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งเพื่อคัดเลือกนักแสดง ด้วยระดับชั้นที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้สายตาของเธอยิ่งละเอียดอ่อนและเข้มงวดกว่าครั้งก่อนมาก
ละคร ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ ตั้งงบประมาณไว้เกือบร้อยล้าน ความยาวสามสิบห้าตอน ทั้งการจัดฉากหรือเนื้อหาของเรื่องล้วนมากกว่าละครสองเรื่องก่อน ความยากของการถ่ายทำกับความต้องการให้เป็นธรรมชาติต้องสูงขึ้นไปอีก
ดังนั้นการคัดเลือกนักแสดงจึงสำคัญมาก!
คนแรกที่ขึ้นมาสัมภาษณ์คือนักศึกษาชั้นปีที่สามของวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง ผ่านช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนไปก็จะเลื่อนชั้นเป็นปีสี่ รูปลักษณ์ภายนอกดูใช้ได้ ประสบการณ์การแสดงก็มี แต่ฟางฮุ่ยไม่ค่อยประทับใจนัก ในฉากธรรมดาที่แสดงออกมานั้นมีหลายจุดที่เป็นปัญหา ตื่นเต้นยิ่งกว่านักศึกษาหน้าใหม่เสียอีก
ดังนั้นเธอจึงได้แต่พูดในใจว่าขอโทษ และประกาศออกไปโดยตรงว่า “คนต่อไป”
นักศึกษาที่กำลังแสดงอยู่รู้ทันทีเลยว่าตัวเองพังเวทีไปแล้ว เผชิญหน้ากับสายตาผิดหวังที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าของอาจารย์ตัวเองที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนดู เขาอับอายจนอยากจะหารูมุดหนี อยากจะหาที่เงียบๆ ตบหน้าตัวเองสักสองฉาดใหญ่
เป็นคนแรกที่ขึ้นเวทีนั้นกดดันมาก แต่ก็ทำให้ผู้กำกับรู้สึกประทับใจได้ง่าย
ทว่าผลสุดท้ายกลับกลายเป็นความประทับใจที่ย่ำแย่
สิ่งสำคัญคือ เขารู้ดีว่าโอกาสครั้งนี้มีความหมายกับตัวเองอย่างไร เลือดร้อนที่พุ่งขึ้นมากะทันกันทำให้เขาโพล่งถามว่า “อาจารย์ลู่ อาจารย์ฟางครับ ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหมครับ”
มองดูท่าทางเจ็บปวดเสียใจของเขา ฟางฮุ่ยอดหวั่นไหวไม่ได้ ใช้สายตาถามลู่เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ
ลู่เฉินส่ายหน้าอีกครั้ง
ไม่ใช่เขาไม่ให้โอกาส แต่เพราะคนคนนี้ไม่ใช่คนในอุดมคติของเขา
อาจารย์เฉินจากฝ่ายวิชาการของวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งที่นั่งอยู่ด้านขวามือของลู่เฉินถนัดในด้านการดูท่าทางคน รีบพูดด้วยเสียงเข้มงวดว่า “เกาเจิน ระวังกฎด้วย หลังจากเธอยังมีนักศึกษาคนอื่นรออยู่อีก!”
บทคนชั่วนี้เขาต้องเป็นคนทำ ไม่อย่างนั้นจะให้ลู่เฉินกับฟางฮุ่ยลำบากใจเหรอ
อีกอย่างถ้าทุกคนทำแบบนี้ วิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งยังจะมีหน้าหลงเหลืออยู่หรือ…สอนนักศึกษาไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย?
เกาเจินเดินคอตก เหมือนมะเขือยาวที่ถูกทุบอย่างไรอย่างนั้น
นักศึกษาที่มาเข้าร่วมการสัมภาษณ์เหมือนกันที่อยู่ด้านหลังเวที ส่วนใหญ่ส่งสายตาดีใจที่เขาทำพลาดมาให้ และมีคนที่สนิทสนมกับเกาเจินหลายคนเข้ามาปลอบใจเขา ส่วนในใจจะคิดอย่างไรนั้นไม่ต้องบอก
โอกาสเป็นสิ่งล้ำค่า โอกาสมีน้อยเหลือเกิน ละครโทรทัศน์ระดับนี้ เหมือนกับหัวไช้เท้าหนึ่งหัวในหนึ่งหลุม ปกติแล้วไม่มีโอกาสให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างพวกเขา
เพราะลู่เฉินชอบค้นหาคนหน้าใหม่ๆ ทุกคนถึงได้มีโอกาส
คู่แข่งน้อยไปหนึ่งคน ก็เพิ่มความหวังขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน
“เบอร์สอง!”
การสัมภาษณ์เริ่มต้นตั้งแต่ 8.30 น.ของช่วงเช้า จนกระทั่ง 12 นาฬิกา ผู้ที่ลงชื่อสมัครมามีมากถึงเจ็ดสิบแปดสิบคน ต้องรู้ว่าในหนึ่งชั้นเรียนของสาขาการแสดงมีนักเรียนเพียงยี่สิบสามสิบคนเท่านั้น เรียกได้ว่าคนส่วนใหญ่มาครบหมดแล้ว ยังมีนักศึกษาจากสาขาอื่นนอกเหนือจากสาขาการแสดงด้วย
ไม่รู้ว่าอาศัยเส้นสายของใคร ถึงได้รับโอกาสในการสัมภาษณ์แบบเดียวกัน
ผู้ที่ควบคุมการคัดเลือกนักแสดงคือผู้กำกับฟางฮุ่ย แต่เห็นได้ชัดว่าเธอเคารพความเห็นของลู่เฉินที่สุด ระหว่างการสัมภาษณ์มักหันไปปรึกษากับลู่เฉินอยู่ตลอด ทุกการเคลื่อนไหวทำให้หัวใจของนักศึกษาที่มาสัมภาษณ์กระตุกอยู่เสมอ
“เบอร์109!”
อาจารย์เฉินจากฝ่ายวิชาการบิดร่างกายอย่างไม่เป็นสุข พูดกับลู่เฉินว่า “น่าจะคนสุดท้ายแล้ว”
ลู่เฉินพยักหน้า พูดเบาๆ ว่า “ลำบากคุณแล้วครับอาจารย์เฉิน มื้อเที่ยงมารับประทานอาหารด้วยกันนะครับ”
อาจารย์เฉินยิ้ม “ไม่ลำบากหรอก นี่เป็นงานของผม…”
เขาอยากให้ลู่เฉินคัดเลือกนักศึกษาของเขาไป แม้อิทธิพลของวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งสั่งสมมาจากนักศึกษาที่โดดเด่นรุ่นต่อรุ่น แต่ในวงการนี้ โชคยังเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษ
ในวงการ ลู่เฉินได้รับคำยกย่องว่า ‘นักปั้นมือทอง’ ‘นักปั้นดาวดวงใหม่’ ถ้าวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งสร้างความสัมพันธ์อันดีระยะยาวกับคนรุ่นใหม่ที่สามารถเรียกลมเรียกฝนในวงการบันเทิงคนนี้ มีแต่ผลประโยชน์ไม่มีโทษ!
ระหว่างที่พูด นักศึกษาคนสุดท้ายเดินขึ้นมาบนเวที ก้มโค้งอย่างมีมารยาทกล่าวว่า “สวัสดีครับอาจารย์ทั้งสามท่าน ผมคือเจียงหยางซวี่นักศึกษาสาขาการแสดงรุ่น 15 ขอคำชี้แนะด้วยครับ”
“อืม…”
ฟางฮุ่ยที่เริ่มเหนื่อยอ่อนพยักหน้า เธอพลิกเปิดบทในมือไปมา จากนั้นบอกว่า “นายได้บทหน้าสิบ แสดงบทในนั้นให้ดูหน่อย ฉันให้เวลาเตรียมตัวหนึ่งนาที”
เพราะคนเยอะ เวลาที่มอบให้กับนักศึกษาที่มาสัมภาษณ์จึงมีน้อย แต่พวกเขาได้รับบทคร่าวๆ แล้วก่อนหน้านี้ จึงมีเวลาเตรียมตัวเต็มที่
“ครับ”
เจียงหยางซวี่ตอบรับอย่างนอบน้อม เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วเปิดบทที่กำแน่นอยู่ในมืออย่างรวดเร็ว
ราวกับกำลังเปิดหนังสือโชคตาของตัวเอง!
………………………………………………..