ตอนที่ 668 ความเสียใจหมื่นครั้ง
‘วิ่งตามความฝันด้วยใจอันบริสุทธิ์!’ ‘วัยเจิดจรัส!’ ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี!’ ‘บินให้สูงขึ้น!’…
สำหรับนักร้องส่วนใหญ่แล้ว ผลงานที่โดดเด่นอย่างแท้จริงมีเพียงไม่กี่เพลงกระทั่งมีเพียงเพลงเดียวเท่านั้น ดังนั้นให้แฟนเพลงเลือกจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ลู่เฉินไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น ผลงานที่โดดเด่นของเขามีมากเหลือเกิน
ยี่สิบเพลงจากทั้งสองอัลบั้มเป็นเพลงดีเด่นทุกเพลง มีเพลงระดับคลาสสิคอยู่มากมาย ทั้งยังมีเพลงเดี่ยวที่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้มอีก แฟนคลับที่คุ้นเคยกับลู่เฉินสามารถตะโกนชื่อเพลงออกมาได้ยี่สิบสามสิบเพลงเลยทีเดียว
นี่ถึงเรียกว่าทำให้ทุกคนพอใจนั้นยาก อยากได้ความเห็นที่เป็นหนึ่งเดียวกันนั้นยากมาก!
ลู่เฉินยืนอยู่บนเวที ใบหน้ายิ้มแย้มฟังเสียงตะโกนร่ำร้องจากแฟนเพลง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาพูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ครับ ผมร้องเพลงเก่าเพลงหนึ่งก่อน แล้วค่อยร้องเพลงใหม่อีกเพลง ทุกคนเห็นด้วยไหมครับ”
เพลงเก่าเพลงหนึ่ง เพลงใหม่อีกเพลง?
ยอดเยี่ยมที่สุด!
ตอนนี้ความเห็นของบรรดาแฟนเพลงตอบพร้อมกันว่า “เห็นด้วย!”
เสียงตะโกนของพวกเขา เสียงหัวเราะดังสนั่น เสียงปรบมือโห่ร้องชื่นชมลู่เฉิน
พูดอย่างไม่เกรงใจคือ นักร้องที่มาร่วมงานเทศกาลดนตรีเทียนฝู่มีเป็นร้อยคน มีเพียงลู่เฉินที่ได้รับความนิยมสูงขนาดนี้
ลู่เฉินพยักหน้า คิดเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อว่า “ในเมื่อทุกคนเห็นด้วย ผมขอมอบเพลงเก่าที่พวกคุณคุ้นเคยให้ก่อน…”
“ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี!”
‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’ เป็นหนึ่งในผลงานอันเป็นตัวแทนของลู่เฉินเพลงหนึ่ง เพลงนี้เขาใช้ประกวดในรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ และในที่สุดเขาก็ใช้เพลงนี้ชิงแชมป์ผู้ชนะจากรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ มาได้สำเร็จ
เป็นแชมป์ครั้งแรกในชีวิตลู่เฉิน ดังนั้นเพลงนี้สำหรับเขาแล้วมีความหมายที่พิเศษ
เวลาผ่านมาสองปี เพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’ ไม่ได้จางหายไปตามกาลเวลา กลับยังอยู่ในห้วงความทรงจำของแฟนเพลง และเพลงนี้ก็ถูกนำไปร้องคัฟเวอร์โดยนักร้องมากมาย ปรากฏบนเวทีต่างๆ
“ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี จะได้ยินไหม คนที่แหงนมองไปบนนั้น ส่งเสียงทอดถอนใจจากความเดียวดายที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ”
“ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี จำได้หรือไม่ คนที่เคยเดินอยู่เคียงข้างฉัน แต่ร่างเงานั้นกลับหายไปท่ามกลางสายลม”
ตอนที่ลู่เฉินร้องถึง “ฉันภาวนาขอให้มีจิตใจที่ใสกระจ่าง กับดวงตาที่ร้องไห้เป็น” แฟนเพลงทั้งงานส่งเสียงร้องตาม เสียงเพลงดังก้องไปทั่วทั้งสวนสาธารณะสู่ซาน
ไม่ต้องให้ลู่เฉินร้องขอ แฟนเพลงเหล่านี้ต่างหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา บ้างก็ปรับให้หน้าจอสว่างขึ้น บ้างก็เปิดแสงไฟฉาย ถือไว้ในมือโบกไปมา
จัตุรัสใหญ่ของสวนสาธารณะสู่ซาน กลายเป็นเหมือนทะเลแห่งแสงดาว!
ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเอฟเฟกต์เสียง เทคนิคการร้องเพลง หรือการขับเคลื่อนบนเวที ลู่เฉินกับแฟนเพลงนับหมื่นคนพร้อมใจกันร้องเพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’ กลายเป็นไฮไลต์ของเทศกาลดนตรีเทียนฝู่ในวันแรก
กล้องถ่ายทำที่ติดตั้งไว้ตามตำแหน่งต่างๆ ทั้งที่ติดอยู่กับที่และที่เคลื่อนย้ายได้ กำลังบันทึกเหตุการณ์ตรงหน้าเอาไว้อย่างตั้งใจ ซูมผู้ชมแบบใกล้ชิดอยู่เรื่อยๆ แล้วฉายภาพลงไปบนจอยักษ์
ช่างภาพผู้มีประสบการณ์สูงจับภาพฉากอารมณ์ต่างๆ ไว้ได้มากมาย แฟนเพลงหลายคนร้องไห้ หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งกอดแฟนสาวของตัวเองเบียดเสียดอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ร้องเพลงไปทั้งน้ำตานองหน้า
“ฉันยอมเก็บความเจ็บปวดทุกอย่างไว้ในหัวใจ ก็จะไม่ยอมลืมดวงตาของเธอ โปรดมอบความกล้าให้ฉันเชื่อใจเธออีกครั้ง โอ้… ก้าวข้ามคำลวงไปโอบกอดเธอไว้!”
จนสองประโยคสุดท้าย “โอ้…ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี โปรดส่องแสงนำทางให้ฉันก้าวเดินไปข้างหน้า…” ร้องจบ เสียงตะโกนร้องดังสนั่นไปทั่ว แฟนเพลงปรบมือพร้อมกัน สร้างบรรยากาศให้พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด!
“ขอบคุณครับ!”
ลู่เฉินถอยหลังไปก้าวใหญ่ จากนั้นก้มโค้งตัวให้กับแฟนเพลงทุกคน แสดงความขอบคุณของตัวเองต่อเหล่าแฟนเพลง
เมื่อครู่นี้เอง เขารู้สึกว่าชีวิตของเขาไม่มีเรื่องให้ต้องเสียดายแล้ว ต่อให้จู่ๆ เขาต้องสูญเสียทรัพย์สินทุกอย่าง ขอแค่มีแฟนเพลงที่อบอุ่นและภักดีเหล่านี้ ก็ไม่เป็นไร
ขอบคุณโชคชะตา ขอบคุณแฟนเพลง!
“ขอบคุณทุกคนครับ!”
เสียงปรบมือดังสนั่น ระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับไม่มีวันสิ้นสุด
สมาชิกวงนิพพานที่ยืนอยู่ด้านหลังลู่เฉิน แต่ละคนใบหน้าแดงก่ำ บรรยากาศของเวทีอันร้อนระอุ ช่างน่าประทับใจ นี่เป็นช่วงเวลาแห่งเกียรติยศของลู่เฉิน และพวกเขาก็ได้รับเกียรตินี้ด้วย!
เวลาผ่านไปสี่ถึงห้านาทีเต็ม ลู่เฉินพูดขอบคุณไม่หยุดปาก อารมณ์ของแฟนคลับค่อยๆ สงบลง ทำให้การแสดงในเทศกาลดนตรีได้ดำเนินต่อไป
“เพลงถัดไป…”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “เป็นเพลงใหม่ที่ผมเพิ่งเขียนเมื่อไม่นานมานี้ และวันนี้ก็จะนำออกมาร้องเป็นครั้งแรก”
“เพลงนี้มีชื่อว่า ‘ความเสียใจหมื่นครั้ง’ หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบนะครับ!”
เพิ่งสิ้นเสียงลง เขาเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าไมโครโฟนอีกครั้ง สายตามองตรงไปด้านหน้า ใช้มือดีดเบาๆ ลงบนสายกีตาร์ พร้อมกับเริ่มร้องเพลง “โอ้…ที่รัก ในสมองของฉันมีแต่เธอ”
“โอ้…ใจสั่นอย่างห้ามไม่ได้
ยากที่จะหายใจ
คืนนี้…
พลาดไปอีกคืนแล้วใช่ไหม
ต้องปิดบังความหวังของการรอคอยครั้งสุดท้ายใช่ไหม
โอ้…คืนนี้
…”
เพลง ‘ความเสียใจหมื่นครั้ง’ เริ่มต้นร้องและบรรเลงโดยลู่เฉิน เขาบอกเล่าอย่างเสน่หา ราวกับคนรักที่มากระซิบข้างหู อ่อนโยนจนทำให้ทุกคนหวั่นไหว โดยเฉพาะหัวใจของคู่รัก
จากนั้นท่อนที่เร้าใจก็เริ่มขึ้นทันใด!
“เสียใจหมื่นครั้ง!
ยังคงมีความฝัน
ฉันรอเธออยู่ในที่ที่อบอุ่นเสมอ
อาจจะทำได้แค่นี้
หยุดอยู่ในทิศทางเดียว
แก้ไขไม่ได้แล้ว…
ทุกหยาดน้ำตา
เป็นเหมือนลำแสงหมื่นลำ
ส่องสว่างในที่ที่มืดมิดที่สุด
ฉันแหวกว่ายไปในกระแสน้ำอุ่นตามหาเธอ
ฉันถูกกำหนดให้เป็นแบบนี้
…”
ท่วงทำนองที่เร้าใจ ในเสียงเพลงที่เต็มไปด้วยอารามณ์รักลึกซึ้งของลู่เฉิน อารมณ์ของแฟนเพลงนับหมื่นคนเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะ เดี๋ยวก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า เดี๋ยวก็ตกดิ่งลงสู่พสุธา
เพลง ‘ความเสียใจหมื่นครั้ง’ เพลงนี้ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน เป็นเพลงใหม่อย่างแท้จริง ดังนั้นไม่มีใครร้องตามได้ ทุกคนได้แต่เป็นผู้ฟัง ความตั้งใจทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการฟังด้วยกลัวว่าจะพลาดโน้ตเพลงหรือเนื้อเพลงคำหนึ่งไป !
จัตุรัสแห่งเดิมที่เสียงอึกทึกครึกโครมเปลี่ยนเป็นเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แฟนเพลงหลายคนถึงกับกลั้นหายใจ พวกเขาไม่โบกโทรศัพท์มือถืออีกต่อไป ราวกับกำลังเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่
ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ ลู่เฉินใช้เสียงกีตาร์ที่หนักแน่นทรงพลังขับกล่อม เสียงหลบและเสียงเอื้อนสอดประสานกันในช่วงท่อนพีก ทำให้ผลงานเพลงชิ้นนี้สมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติ การประสานเสียงของวงนิพพานก็ยิ่งทำให้บรรยากาศในงานพุ่งสู่จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง
แสงไฟบนเวทีจับอยู่บนร่างลู่เฉิน ราวกับร่างกายของเขากำลังเปล่งแสง กลายเป็นจุดสนใจเด่นจุดเดียว ไม่มีสิ่งใดมาเทียบเคียงได้
……………………………………