ตอนที่ 712 เทียบไหล่
ประธานาธิบดีสหรัฐ?
ประโยคสุดท้ายของเมอร์ฟี ทำให้ลู่เฉินรู้สึกเหมือนได้รับความเมตตาเล็กน้อย
ร็อกแซนน์ เลสเตอร์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และคุณปู่ของเธอแมคอดัมส์ เลสเตอร์ ก็เป็นประธานาธิบดีคนที่สี่สิบของสหรัฐอเมริกา
ประธานาธิบดีหญิงเก่งและเข้มแข็งคนนี้เกิดในครอบครัวนักการเมือง มีชื่อเสียงมากทั้งในประเทศสหรัฐและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปีนี้เป็นการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเธอ
ลู่เฉินเคยเห็นข่าวของร็อกแซนน์ในประเทศจีนอยู่ไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีวันหนึ่งได้พบปะพูดคุยกับประธานาธิบดีหญิงแห่งสหรัฐคนนี้ คงได้แต่พูดว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากจริงๆ!
หลังจากจบการสนทนากับคุณเอฟบีไอแล้ว ลู่เฉินได้ตื่นสนิท
เขาหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จแบตเตอรี่เต็มแล้วขึ้นมา เปิดเครื่องดูตอนนี้ที่อเมริกาเป็นเวลาสองทุ่มสี่สิบนาที คราวนี้นอนนานมากพอแล้ว เสียดายที่ต้องปรับเวลาต่อ
ตี๊ดๆๆ!
ลู่เฉินกำลังคิดอยู่ จู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ส่งเสียงสั่น และสั่นติดต่อกันไม่หยุด
โทรศัพท์เครื่องนี้รับข้อความเป็นจำนวนมาก!
โทรศัพท์เครื่องนี้ของลู่เฉินใส่เบอร์ส่วนตัว รายชื่อในโทรศัพท์นอกจากครอบครัวคนรักแล้วก็คือเพื่อนสนิท และมีเพียงคนที่มีรายชื่ออยู่ในโทรศัพท์เท่านั้นถึงจะโทรและส่งข้อความเข้ามาได้
ข้อความมากมายขนาดนี้รู้สึกน่าตกใจมาก เขาลองเลื่อนดูคร่าวๆ พบว่าเกือบทุกคนโทรมาหาตัวเอง และยังส่งข้อความมาหาเป็นจำนวนมาก!
ดูเหมือนจะทำเรื่องใหญ่โตเกินไป…
ลู่เฉินรีบโทรหาแม่ พี่สาว และแฟนของตัวเองก่อน เพื่อบอกว่าตัวเองปลอดภัยดีกำลังพักอยู่ในโรงแรม และบอกให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงตัวเอง เดี๋ยวก็กลับประเทศแล้ว
เวลานี้ลู่เฉินเพิ่งรู้ว่า มีคนปล่อยวิดีโอที่แอบถ่ายตอนอยู่บนเครื่องบิน และเนื่องจากวิดีโอถูกส่งไปถึงประเทศจีนคนอื่นถึงจำเขาได้
ตอนนี้ฐานะของเขาถูกเปิดเผยหมดแล้ว!
ลู่เฉินเตรียมใจเรื่องนี้แล้ว อย่างไรก็ตามถึงแม้วันนี้ไม่เปิดเผยข้อมูล วันพรุ่งนี้ก็ปิดนักข่าวไม่ได้อยู่ดี เป็นแค่เรื่องของเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
เขากับเฉินเฟยเอ๋อร์โทรคุยกันนานมากที่สุด เริ่มจากถามถึงเหตุการณ์ในประเทศก่อน จากนั้นลู่เฉินต้องพูดให้แฟนสาวล้มเลิกความคิดที่จะบินมาอเมริกาด้วยตัวเอง
จนกระทั่งเสียงกริ่งประตูดังขึ้น
เขาบอกเฉินเฟยเอ๋อร์ก่อน แล้วจึงวางสายวิ่งไปเปิดประตู
คนที่อยู่ปรากฏตัวหน้าประตูก็คือหลี่มู่ซือ จากนั้นยังมีพนักงานโรงแรมคนหนึ่งเข็นรถอาหารเข้ามา
“ตื่นแล้วใช่ไหม”
หลี่มู่ซือยิ้มพรายเอ่ยว่า “เดิมทีตอนเย็นอยากจะเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่กับนาย แต่ฉันรู้ว่าตอนนี้นายคงจะยุ่งมาก รับโทรศัพท์ไม่ทันใช่ไหมล่ะ ดังนั้นฉันจึงสั่งให้พนักงานโรงแรมเอาอาหารเย็นขึ้นมาส่ง”
ลู่เฉินรู้สึกหิวมากจริงๆ ยิ้มเอ่ยว่า “งั้นต้องขอบคุณมากๆ ครับ!”
พนักงานเข็นรถเข้ามา วางอาหารรสเลิศแต่ละอย่างลงบนโต๊ะอาหารของห้องชุดอย่างคล่องแคล่ว
สุดท้ายเขาได้วางดอกไม้สดและเทียนไข
หลี่มู่ซือให้ทิปเพื่อให้พนักงานออกไป แล้วนั่งลงหน้าโต๊ะพร้อมกับลู่เฉิน
ลู่เฉินก็ไม่เกรงใจ หยิบมีดกับส้อมขึ้นมากินคำใหญ่
หลี่มู่ซือกินข้าวเย็นแล้ว เธอรินไวน์แดงให้ตัวเอง ถืออยู่ในมือแล้วจิบอย่างช้าๆ
ใช้แววตาที่ยั่วยวนมีเสน่ห์คู่นั้นกวาดตามองลู่เฉินอย่างไม่เกรงใจ
ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะสนิทกันมาก แต่สายตาแบบนี้ของหลี่มู่ซือทำให้ลู่เฉินรู้สึกขนลุกซู่ และอดไม่ได้ที่จะถาม “พี่มู่ซือ พี่มองผมแบบนี้ทำไมครับ ไม่รู้จักกันแล้วเหรอ”
หลี่มู่ซือหัวเราะเบาๆ วางแก้วไวน์ลงเอ่ยว่า “รู้สึกไม่ค่อยรู้จักนิดหน่อยแล้ว คิดไม่ถึงว่านายจะกลายเป็นฮีโร่ของคนอเมริกัน นายลองพูดมาสิว่าทำไมนายถึงกล้าขนาดนั้น ไม่กลัวจริงๆ เหรอ”
ลู่เฉินพูดอย่างเปิดเผย “จะพูดว่าไม่กลัวคงจะหลอกกัน เหตุการณ์ตอนนั้น ต้องมีคนก้าวออกมาหยุดเขาไม่อย่างนั้นยากที่จะคาดเดาได้ และผมก็อยู่บนเที่ยวบินนี้ ถ้าเกิดเรื่องผมก็ไม่รอดเหมือนกัน”
“ผม ไม่มีทางเลือกครับ!”
พูดความจริง เหตุการณ์ตอนนั้นอันตรายมากเกินไป การตอบสนองของเขาต่อให้ช้าไปแค่ครึ่งวินาที ผลสุดท้ายก็มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะตายบนเครื่องบิน ตอนนี้คิดดูแล้วรู้สึกกลัวเล็กน้อย
แต่ถ้าหากลู่เฉินเจอเหตุการณ์นี้อีกครั้ง เขายังคงเลือกที่จะเสี่ยงโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!
หลี่มู่ซือมองลู่เฉินอย่างตกตะลึง นัยน์ตาเผยแววตาซับซ้อน รู้สึกมีบางสิ่งที่พูดออกมาไม่ถูก
ผ่านไปสักพัก เธอจึงหลบสายตาที่ฉงนสนเท่ห์ของลู่เฉินอย่างลนลาน และคงเป็นเพราะดื่มไวน์ หน้าจึงแดงเล็กน้อย รีบลุกขึ้นเอ่ยว่า “ฉันเมานิดหน่อย ฉันขอตัวกลับไปพักที่ห้องก่อน”
ลู่เฉินงงเล็กน้อย หลี่มู่ซือที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนท่าทางเวลาปกติของเธอ มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น พูดจาตะกุกตะกัก
แต่ลู่เฉินไม่ได้คิดมาก ลุกขึ้นตามแล้วเอ่ยว่า “ผมจะไปส่งพี่ครับ อ้อใช่…”
ลู่เฉินเล่าเรื่องที่เอฟบีไอโทรมาแจ้งตัวเองให้ไปร่วมงานแถลงข่าววันพรุ่งนี้ ให้หลี่มู่ซือฟังคร่าวๆ
หลี่มู่ซือพูดทันที “ฉันจะไปเป็นเพื่อนนาย”
ลู่เฉินพยักหน้า “ครับ”
เขาส่งหลี่มู่ซือออกจากห้อง จากนั้นก็กลับไปกินอาหารมื้อดึกต่อให้เสร็จ
ระหว่างนั้นลู่เฉินได้รับสายของเลี่ยวเจี่ย
“นายแน่มากจริงๆ!”
เลี่ยวเจี่ยพูดจ้อไม่หยุด “วิดีโอของนายฉันดูแล้วสามรอบ คิดไม่ถึงว่านายจะเก่งขนาดนี้!”
ลู่เฉินหัวเราะเอ่ยว่า “ความจริงโชคดีมากกว่าครับ ถ้าย้อนกลับไปอีกครั้งคงพูดยาก”
“นายไม่ต้องถ่อมตัวหรอก!”
เลี่ยวเจี่ยเอ่ยว่า “พูดจริงๆ นะ ทั้งชีวิตนี้ของฉันเคยนับถือแค่คนเดียว ส่วนนายเป็นคนที่สอง!”
ลู่เฉินไม่ต้องถามก็รู้ว่า คนที่เลี่ยวเจี่ยนับถือนั้นก็คือเกาอี้นักร้องนำที่เป็นจิตวิญญาณของวงแบล็กเม็มโมรีคนนั้น เกาอี้เป็นผู้ชี้แนะด้านดนตรีและผู้ชี้นำจิตใจของเลี่ยวเจี่ย ถึงแม้คนหลังจะเสียไปหลายปีแล้ว แต่เขาไม่เคยลืมเลือน
สามารถเทียบไหล่เกาอี้ที่อยู่ในใจของเลี่ยวเจี่ยได้ ลู่เฉินรู้สึกเป็นเกียรติมาก
คุยกับเลี่ยวเจี่ยสองสามประโยค เขาเพิ่งจะวางสาย ผลปราฏว่าไม่ถึงครึ่งนาทีโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกแล้ว
ข้าวมื้อนี้ไม่อาจกินได้อีกต่อไป!
ลู่เฉินรับสายอย่างจนใจ
ครั้งนี้คนที่โทรมาหาเขาก็คือมู่เสี่ยวชู
ด้วยเหตุนี้เขาต้องรับสายติดต่อกันเจ็ดแปดสาย ในที่สุดลู่เฉินก็กินอาการมื้อดึกเสร็จแล้ว เขาต่อสายภายในของโรงแรมแจ้งหน้าเคาน์เตอร์ให้มาเก็บจาน แล้วตัวเองก็หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมาเข้าอินเทอร์เน็ต
เพิ่งจะล็อกอินเข้าบัญชีบล็อกล่างฉาว…จำนวนข้อความที่แท็กเขาเยอะจนน่ากลัวเกินไป!
ยังไม่สนใจตรงนี้ ลู่เฉินหาวิดีโอนั้นออกมาก่อน
ดูวิดีโอนี้ในมุมมองของบุคคลที่สาม เขารู้สึกนับถือผู้กล้าที่แอบถ่ายคนนี้ ผู้ชายคนนี้ไม่กลัวตายจริงๆ กล้าแอบถ่ายหน้าคนร้ายตรงๆ ไม่กลัวโดนลูกปืนเลย
เมื่อคิดดูแล้ว ลู่เฉินหยิบโทรศัพท์เดินไปหน้าต่าง ถ่ายรูปเกาะแมนฮัตตันที่มีแสงไฟสว่างไสวข้างนอกสองสามรูป จากนั้นนำมาแก้ไขในคอมพิวเตอร์ แล้วโพสต์ข้อความแรกหลังจากที่ตัวเองมาถึงอเมริกา
ถือว่าเป็นการรายงานกับทุกคนว่าตัวเองเดินทางปลอดภัย โดยเฉพาะพวกแฟนคลับ!
…………………………………………………………………………