ตอนที่ 742 ทางเลือกของหลิวกั่งเซิง
Ink Stone_Fantasy
หลิวกั่งเซิงเป็นรุ่นพี่ในวงการบันเทิง ส่วนลู่เฉินนับว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงรุ่นหลัง ความชื่นชมและความเคารพซึ่งกันและกันทำให้ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนแท้ และความร่วมมือระหว่างเพื่อนก็มักจะตรงไปตรงมาและสบายอกสบายใจ
ลู่เฉินตกลงจะทำหน้าที่เป็นกรรมการในรายการ ‘ร้องเพลง! ฮ่องกง’ พร้อมกับจะแต่งเพลงโปรโมตให้กับรายการประกวดความสามารถทางดนตรีครั้งนี้ด้วย และตั้งใจล็อกตารางงานเอาไว้ โดยเฉพาะในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปีหน้า
และเพื่อเป็นการตอบแทน หลิวกั่งเซิงเต็มใจอาสาเป็นนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ที่จะถ่ายทำในปลายปีนี้ด้วยตนเอง!
เนื่องจากมีภาพยนตร์เรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ ที่ทำรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศกว่าหนึ่งพันล้านหยวนเป็นตัวอย่างของความสำเร็จ ดังนั้นหลังจากที่เฉินเฟยมีเดียแถลงข่าวว่าจะดัดแปลงและถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ มีบริษัทบันเทิงและศิลปินมากมายมาขอความร่วมมือด้วย
หากเป็นศิลปินคนอื่น การที่จะได้รับบทบาทหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างเด็ดขาด อ้างเรื่องหนี้น้ำใจก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้ แต่สำหรับหลิวกั่งเซิง บทบาทที่เขาต้องการกลับเป็นการส่งมอบน้ำใจแทน
การที่ราชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการท่านนี้เข้าร่วมด้วยนั้น จะทำให้ภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ไม่เพียงแต่มีฐานรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศในจีน ฮ่องกง และไต้หวันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดด้วย!
“ฉันหวังว่าตัวละครตัวนี้จะมีฉากต่อสู้เพียงพอนะ…”
หลิวกั่งเซิงกำหมัดของเขาอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความสนใจ และแสดงท่าทางปล่อยหมัดชกพุ่งไปสองสามที “กังฟูจีนที่ชาวต่างชาติพูดๆ กัน ฉันคิดว่านายจะผสมผสานกังฟูที่แท้จริงเข้าไปในหนังเรื่องนี้ด้วยแน่ๆ ใช่ไหมล่ะ”
คำว่า ‘กังฟูจีน’ ลู่เฉินเป็นคนสร้างขึ้น พร้อมกับวิดีโอการต่อสู้ของเขาในเหตุการณ์เที่ยวบิน UD725 ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก แน่นอนว่ารวมถึงในฮ่องกงด้วย
จริงๆ แล้วฮ่องกงในช่วงยุค 70-80 เคยมีการถ่ายทำภาพยนตร์แนวกำลังภายใน แต่พวกเขาไม่ได้สร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่อะไร จึงถูกแทนที่ด้วยภาพยนตร์แอกชันฮอลลีวูดในภายหลังนั่นเอง
แต่ว่ายังมีตลาดสำหรับศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมในฮ่องกงอยู่ ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว มีหอศิลปะการต่อสู้หลายแห่งบนเกาะฮ่องกง สอนทักษะศิลปะการต่อสู้แก่ผู้ฝึกหัด เช่น หมัดใต้เท้าเหนือ กระบองใต้หอกเหนือ เป็นวิทยายุทธ์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ แสดงประสิทธิภาพและสร้างสมรรถภาพทางกายให้แข็งแรง
แต่โดยพื้นฐานในปัจจุบันหอศิลปะการต่อสู้เหล่านี้ถูกแทนที่ด้วยคิกบ็อกซิ่ง เทควันโด ยูโด และการต่อยมวย สาเหตุเป็นเพราะศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมถูกเรียกว่าเป็นเพลงมวยที่สวยแต่กระบวนท่าแต่ใช้การจริงไม่ได้ จึงทำให้ไม่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่คนหนุ่มสาวอีกต่อไป
สถานการณ์นี้ก็เกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยเช่นกัน
กังฟูจีนที่ลู่เฉินแสดงให้โลกเห็น ไม่เพียงได้เปิดหูเปิดตาคนและมีสไตล์การต่อสู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น ยังเคลื่อนไหวรวดเร็ว อีกทั้งมีความงามที่ทรงพลังและรุนแรงมากอีกด้วย
0
หลิวกั่งเซิงมองแค่แวบเดียวก็มองออกถึงบทบาทของกังฟูจีนในภาพยนตร์เรื่องนี้ทันที เขาเชื่อว่าเมื่อลู่เฉินถ่ายทำภาพยนตร์กำลังภายในเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธภพ’ จะต้องนำกังฟูจีนเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
กังฟูจีนที่ลู่เฉินแสดงให้โลกเห็น ไม่เพียงได้เปิดหูเปิดตาคนและมีสไตล์การต่อสู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น ยังเคลื่อนไหวรวดเร็ว อีกทั้งมีความงามที่ทรงพลังและรุนแรงมากอีกด้วย
หลิวกั่งเซิงมองแค่แวบเดียวก็มองออกถึงบทบาทของกังฟูจีนในภาพยนตร์เรื่องนี้ทันที เขาเชื่อว่าเมื่อลู่เฉินถ่ายทำภาพยนตร์กำลังภายในเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธภพ’ จะต้องนำกังฟูจีนเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
อันที่จริง กระบวนท่ากังฟูสามารถเห็นได้ตั้งแต่ในภาพยนตร์ ‘โปเยโปโลเย’ แล้ว เพียงแต่ถูกเรื่องราวผีที่น่าตื่นเต้นและสเปเชียลเอฟเฟกต์พลังเวทมนตร์บดบังไป
‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เป็นภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ล้วนๆ!
หลิวกั่งเซิงรับบทใน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เขาไม่ได้ต้องการแค่เผยโฉมหน้าและใส่ชื่อลงไปเท่านั้น แต่ยังหวังที่จะใช้โอกาสนี้ในการพลิกบทบาท สร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากอดีตอีกด้วย!
“ใช่แล้ว…” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เพียงแวบเดียวลู่เฉินก็มองความคิดและเจตนาของหลิวกั่งเซิงออกในทันที ดวงตาของเขาเป็นประกาย “พี่เซิง บทที่พี่สามารถเลือกได้มีมากมาย แต่เกรงว่าจะต้องใช้เวลาในการฝึกฝนสักระยะหนึ่งด้วย”
ภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้แบบกังฟูไม่ใช่สิ่งที่สามารถถ่ายทำเมื่อไหร่ก็ทำได้ แม้ว่าคุณจะใช้สแตนด์อิน ก็ต้องฝึกฝนพื้นฐานให้เชี่ยวชาญก่อน ไม่เช่นนั้นฉากที่ถ่ายทำออกมาต้องมีปัญหาแน่นอน
หลิวกั่งเซิงยิ้มพูด “ไม่มีปัญหา ฉันออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่กลัวลำบากหรอก”
การฝึกศิลปะการต่อสู้นั้นผู้ฝึกจะเหนื่อยและทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับความเจ็บปวดทรมานมาก โดยเฉพาะการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญในทักษะอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดว่าหากไม่มีความเพียรจะทำไม่ได้เลย หลิวกั่งเซิงอยากท้าทายตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าเขาจะอายุ 50 ปีแล้วก็ตาม!
ยิ่งทั้งสองคุยกันมากเท่าไร บทสนทนาก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น และหัวข้อก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็น ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากนิยายกำลังภายในที่ขายดีที่สุด สำหรับลู่เฉินแล้วถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขาไม่ได้วางแผนที่จะถ่ายทำตามภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกันในความทรงจำของเขา แต่เขียนบทขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างผลงานภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง!
ถึงเวลานั้น ลู่เฉินจะมีบทบาทหน้าที่มากมาย เป็นทั้งนักแสดง คนเขียนบท คนแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ และผู้กำกับแอกชัน หากมีข้อผิดพลาดด้านใดด้านหนึ่งจะส่งผลต่อการถ่ายทำภาพยนตร์
สิ่งที่น่าสนใจคือหลิวกั่งเซิงเคยอ่านนิยายเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ทั้งยังรู้จักตัวละครในเนื้อเรื่องดีราวกับเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง เตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อการนี้โดยเฉพาะ!
หลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถาม “พี่เซิง ถ้าให้พี่เลือก พี่จะเลือกตัวละครไหนครับ”
เดิมทีลู่เฉินคิดไว้ว่าจะเขียนบทภาพยนตร์ให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยมอบให้หลิวกั่งเซิงเลือกบทบาท ตอนนี้รู้แล้วว่าหลิวกั่งเซิงเคยอ่านงานต้นฉบับแล้ว งั้นก็ยกมาพูดตรงๆ ไปเลย
หลิวกั่งเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “หลิวเจิ้งเฟิง แล้วก็เซี่ยงเวิ่นเทียน”
หลิวเจิ้งเฟิงและเซี่ยงเวิ่นเทียน?
ลู่เฉินครุ่นคิดชื่อตัวละครทั้งสองอย่างเงียบๆ และมีความคิดอยู่ในใจ
“คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
ในตอนนี้เอง หลูจิ้งอี๋และเฉินเฟยเอ๋อร์ก็มารวมตัวกัน ใบหน้าคนทั้งสองเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับเป็นพี่น้องคลานตามกันมาอย่างไรอย่างนั้น
หลิวกั่งเซิงและลู่เฉินยิ้มและสบตากัน ลู่เฉินพูดขึ้น “ผมกำลังคุยเรื่องภาพยนตร์กับพี่เซิงอยู่น่ะ แล้วนี่เราจะไปกินข้าวกลางวันกันที่ไหน”
เฉินเฟยเออร์ยิ้มพูดว่า “เที่ยงนี้พี่ซือฟางจะลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง และพี่จิ้งอี๋ก็จะทำอาหารสองสามอย่าง ส่วนฉันจะเข้าไปช่วยในครัว พวกคุณคุยกันต่อเถอะค่ะ อาหารพร้อมเสิร์ฟขึ้นโต๊ะเมื่อไหร่ ฉันค่อยมาเรียกพวกคุณ”
หลิวกั่งเซิงตบมือฉาด “นานแล้วที่ไม่ได้กินอาหารฝีมือลินดา วันนี้ช่างลาภปากจริงๆ”
ลินดาเป็นชื่อภาษาอังกฤษของซือฟาง ทักษะการทำอาหารของซือฟางมีต้นตำรับมาจากตระกูล ทั้งยังเคยออกรายการโทรทัศน์มาก่อน แต่นอกจากเพื่อนรักของเธอแล้ว เป็นเรื่องยากมากสำหรับคนอื่นๆ ที่จะได้ลิ้มรสฝีมือของเธอ
หลิวกั่งเซิงบอกกับลู่เฉิน “นายโชคดีจริงๆ เลย”
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ลู่เฉินก็คิดว่าเขาโชคดีจริงๆ เขาไม่ได้คาดหวังว่าทักษะการทำอาหารของซือฟางจะดีขนาดนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับเชฟชั้นนำเหล่านั้นได้ แต่อาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันนั้นมีกลิ่นหอมและรสชาติล้ำเลิศส่วนผสมที่ใช้ยิ่งยอดเยี่ยม ทำให้เขากินไปด้วยชมไปด้วยอย่างไม่ขาดปาก
ซือฟางยังนำไวน์มูตองปี 1993 หนึ่งขวดจากห้องเก็บไวน์มาแบ่งปันให้กับทุกคน
มื้อเที่ยงนี้ทั้งเจ้าภาพและแขกรับประทานกันอย่างรื่นเริง
ในตอนบ่าย ทุกคนนั่งอยู่ในสวนและพูดคุยกันต่อไป แต่หัวข้อได้เปลี่ยนไปเป็นงานฉลองครบรอบ 50 ปีวันกลับคืนสู่อ้อมกอดจีนของฮ่องกงที่กำลังจะจัดขึ้น
รายการร้องเพลงของลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ได้แจ้งไปเมื่อนานมาแล้ว เป็นผลงานที่ลู่เฉินเขียนขึ้นสำหรับการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นพิเศษ และยังเป็นการร้องเพลงหมู่อีกด้วย
นอกจากทั้งสองแล้ว หลิวกั่งเซิงและซือฟางก็อยู่ในรายชื่อนักร้องในเพลงเดียวกันด้วย ข้อกำหนดนี้น่าจะไม่เคยมีมาก่อน และเป็นเพราะเพลงนี้ จึงทำให้ทั้งสี่คนเกิดการรวมตัวกันขึ้นในวันนี้
พรุ่งนี้จะมีการซ้อมใหญ่สำหรับงานเลี้ยงฉลอง และมีเวลาเหลือสำหรับพวกเขาไม่มากแล้ว
เนื่องจากยังมีเรื่องต้องจัดการ ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์จึงไม่ได้อยู่ทานอาหารเย็นด้วย ซือฟางขอให้ผู้ช่วยขับรถไปส่งทั้งคู่ที่บ้านพักในย่านรีพัลส์เบย์
…………………………………………………………………