Perfect Superstar – ตอนที่ 814 ความหมายของชีวิต

Perfect Superstar

ตอนที่ 814 ความหมายของชีวิต

“คัต!”

แม้ว่าเสียงที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันไม่ได้ดังมาก แต่จ้าวไห่เฉาที่เพิ่งตบฝ่ามือซ้ายออกไปสั่นเทาโดยไม่รู้ตัวร่างกายของเขาหยุดนิ่ง ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความละอาย

สถานที่ถ่ายทำในช่วงบ่ายอยู่ในร้านอาหารริมทาง ฉากนี้สำคัญมาก หลินผิงจือที่เป็นหนึ่งในตัวประกอบหลักได้พบกับเยวี่ยหลิงซานเป็นครั้งแรก เป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกผันโชคชะตา ดังนั้นจึงมีกล้องอยู่หลายตัวทีเดียว

ในฐานะนักแสดงที่รับบทหลินผิงจือ ในการถ่ายทำครั้งแรกของเขา จ้าวไห่เฉาฟาด NG[1] ไปสิบกว่าเทค!

แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับนักแสดงที่จะมีฉาก NG ก็ตาม แม้แต่ระดับนักแสดงเก่งๆ ก็ยังมีผิดพลาดบ้าง แต่สำหรับจ้าวไห่เฉาผู้มีความมุ่งมั่นอยากจะทำให้บทบาทนี้ออกมายอดเยี่ยม กลับฟาด NG ไปสิบกว่าเทคเท่ากับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

“ท่าทางการแสดงออกของคุณจะต้องรวดเร็วและฉับไว…”

ลู่เฉินลุกขึ้นจากเก้าอี้ผู้กำกับ เขาเดินตรงไปด้านหน้าของนักแสดงหลายคนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับใช้มือช่วยอธิบายประกอบ “ท่ากระโดดเมื่อสักครู่ผ่านแล้วละ แต่ปล่อยฝ่ามือช้าไปหน่อย ทำให้การต่อกระบวนท่ายังไม่ลื่นไหลพอ แบบนี้ทำให้รู้สึกว่ายังแข็งทื่ออยู่มาก”

จ้าวไห่เฉากดความวิตกกังวลไว้ในใจ ตั้งใจฟังคำอธิบายของลู่เฉิน พยายามจดจำและทำความเข้าใจอย่างเต็มที่และในขณะเดียวกันก็ทำท่ากระโดดโลดเต้นเลียนแบบไปด้วย เพียงแต่ท่าทางของเขานั้นค่อนข้างตลกไปสักนิด

จ้าวไห่เฉาเคยถ่ายทำฉากแอกชันมาก่อน แต่ท่าพวกนั้นง่ายมาก เป็นเพียงแค่การปล่อยหมัดและเตะไม่กี่ครั้งก็เรียบร้อย แล้วค่อยไปเร่งความเร็วและเพิ่มสเปเชียลเอฟเฟกต์ในขั้นตอนหลังการถ่ายทำก็โอเคแล้ว

แต่ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นภาพยนตร์กำลังภายในแนวใหม่ ที่แตกต่างจากภาพยนตร์แอกชันและภาพยนตร์ต่อสู้ยอดนิยมของฮ่องกงในช่วงยุค 80-90 ความแตกต่างที่สำคัญอยู่ฉากต่อสู้

เพราะฉากต่อสู้ใน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ได้ตั้งเงื่อนไขไว้สูงลิ่วทีเดียว!

หลังจากคว้าบทหลินผิงจือมาได้ จ้าวไห่เฉาฝึกฝนขั้นพื้นฐานในทีมตระกูลลู่มาเกือบสองเดือน นึกว่าตัวเองเข้าใจในเคล็ดลับหลายๆ อย่างแล้ว แต่เมื่อเขาเริ่มถ่ายทำจริงๆ ถึงตระหนักได้ว่าการเตรียมตัวของเขายังไม่มากพอ และไม่สามารถเตะเท้าปล่อยหมัดตรงหน้ากล้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ

“พี่หย่ง เรามาสาธิตกันอีกรอบ…”

หลังจากอธิบายจุดสำคัญของท่าทางอย่างละเอียดด้วยความอดทนไปหนึ่งรอบแล้ว ลู่เฉินก็ตะโกนเรียกวั่นหย่งเข้ามา

ในภาพยนตร์ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ภาคแรก ลู่เฉินรับบทเป็นนักแสดงนำและควบตำแหน่งผู้กำกับแอกชันด้วย ดังนั้นฉากต่อสู้ในช่วงบ่ายเขาจึงเป็นคนกำกับทั้งหมด และวั่นหย่งหัวหน้าทีมของทีมตระกูลลู่เป็นผู้ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้

วั่นหย่งพยักหน้ารับ และมาสลับเป็นคู่ต่อสู้กับลู่เฉินแทนจ้าวไห่เฉา

สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่ทั้งคู่ จ้าวไห่เฉายิ่งมองตาไม่กะพริบ เพราะกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อย

“ไฟพร้อม…กล้องพร้อม…นักแสดงพร้อม…”

“แอกชัน!”

แม้ว่าจะเป็นเพียงการสาธิต แต่ก็ยังยึดการถ่ายทำตามมาตรฐานเช่นเดิม ตามด้วยเสียงตีกระดานสเลทที่ดังออกมา วั่นหย่งใช้แววตาดูถูกเหยียดหยามมองไปที่ลู่เฉิน แค่นหัวเราะเอ่ยขึ้น “สำนักคุ้มกันฝูเวยงั้นรึ ไม่เคยได้ยินมาก่อน! มีไว้เพื่ออะไร”

เมื่อก่อนวั่นหย่งเป็นทหาร หลังจากเกษียณจากกองทัพเขาทำงานเป็นครูผึกสอนบอดี้การ์ดในสโมสร ต่อมาถูกลู่เฉินดึงตัวมาเป็นหัวหน้าทีมตระกูลลู่ เขาไม่มีประสบการณ์ด้านการแสดงแขนงไหนมาก่อนเลย

แต่อย่างที่ว่ากันว่าความเคยชินคือบ่อเกิดของความชำนาญ ทีมตระกูลลู่ได้สร้างชื่อในวงการให้กับตัวเองผ่านภาพยนตร์เรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ ต่อมายังได้เข้าร่วมการถ่ายทำเรื่อง ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ และการจ้างงานจากภายนอกอีกหลายครั้ง ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์มาไม่น้อย

วั่นหย่งเองก็เช่นกัน อ่านบทพูดสองสามประโยคก็สามารถเลียนแบบได้เหมือนทีเดียว สามารถถ่ายทอดส่งอารมณ์ร้ายกาจของตัวละครออกมาได้ดีมาก

ลู่เฉินกระโดดพุ่งพรวดและตะโกนว่า “เอาไว้ตีพวกลูกสุนัขน่ะสิ!”

เสี้ยววินาทีต่อมาเขาปล่อยฝ่ามือซ้ายพุ่งออกไป โดยไม่รั้งรอให้กระบวนท่าสิ้นสุด ฝ่ามือขวาพุ่งขึ้นมาจากด้านล่างฝ่ามือซ้าย สิ่งที่แสดงออกมานั้นคือท่า ‘จักรวาลในเมฆ’ การเคลื่อนไหวของเขาอิสระไร้การควบคุมราวกับเมฆเหินและสายน้ำไหล

“เสี่ยวฮวาตั้นมีฝีมือเหมือนกันนี่!”

วั่นหย่งหรี่ตาลง และโบกมือซ้ายสกัดฝ่ามือขวาของลู่เฉินออกไป ในเวลาเดียวกันมือซ้ายของเขาก็พลิกมือคว้าไหล่ของลู่เฉินอย่างรวดเร็ว

ลู่เฉินลดไหล่ลงทันที หมัดซ้ายชกพุ่งตรงไปเต็มแรง เต็มไปด้วยอานุภาพทรงพลังเกินต้าน

วั่นหย่งรีบเอียงหัวหลบ ในทันใดนั้นกลับคาดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะคลายหมัดซ้าย ชั่วพริบตาหมัดนั้นคลายเป็นฝ่ามือ การโจมตีโดยตรงแปรเปลี่ยนเป็นการเหวี่ยงมือฟาดในท่า ‘ชมดอกไม้ในสายหมอก’ ตบลงไปบนใบหน้าของเขาอย่างแรง

อันที่จริงไม่ได้มีการตบลงไปจริงๆ แต่วั่นหย่งหันทั้งศีรษะที่ถูกตบไปอีกด้านราวกับโดนฟ้าผ่า ด้วย ‘ความอับอายกลายเป็นความขุ่นเคือง’ เขากระโดดเตะลู่เฉินอย่างแรง แต่ทว่าลู่เฉินเอี้ยวตัวหลบได้ กระโดดถีบสวนกลับไป

นักแสดงที่อยู่รายล้อมรอบๆ รวมทั้งจ้าวไห่เฉา แม้กระทั่งกลุ่มนักแสดงตัวประกอบริมถนนมากมายและทีมงานในกองต่างรู้สึกหวาดเสียวไปตามๆ กัน พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าฉากต่อสู้ของภาพยนตร์แนวกำลังภายในจะถ่ายแบบนี้!

คนที่อยู่ตรงนี้มีไม่กี่คนที่เป็นคนนอกวงการ ก็พอจะรู้เรื่องการถ่ายภาพยนตร์แอกชันมาบ้าง อย่าเห็นว่าหมัดและลูกเตะบนหน้าจอนั้นทรงพลัง โดยทั่วไปแล้วทั้งหมดนั้นอาศัยสเปเชียลเอฟเฟกต์และเอฟเฟกต์เสียง การถ่ายทำจริงๆ นั้นสุดแสนจะน่าเบื่อ ล้วนเป็นรูปแบบวิธีการที่ตายตัว

แม้ว่าการแสดงการต่อสู้ระหว่างลู่เฉินและวั่นหยงจะไม่ได้เร็วอะไรนัก แต่ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกถึงความไหลลื่นอย่างเป็นธรรมชาติและทรงพลังเท่านั้น ยังให้ความรู้สึกถึงจังหวะที่มีความงดงามทางศิลปะอีกด้วย ทำให้ผู้คนรู้สึกเพลิดเพลินจนกระทั่งเลือดลมพุ่งพล่านเลยทีเดียว

โดยเฉพาะตอนที่ลู่เฉินเหวี่ยงหมัดออกไป หมัดของเขาดุดันมีพลัง รู้สึกราวกับว่าเขาสามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ด้วยหมัดเดียว นี่แค่การถ่ายทำธรรมดายังเหมือนกับใส่สเปเชียลเอฟเฟกต์ขนาดนี้ ถ้าหากรวมการแก้ไขตัดต่อและเพิ่มสเปเชียลเอฟเฟกต์จริงๆ จะโดดเด่นขนาดไหนกัน

อ้างอิงตามบท ในภาค ‘กระบี่จากเทือกเขาฮว่าซาน’ ซึ่งเป็นภาคแรกของภาพยนตร์ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ หลินผิงจือเป็นเพียงแค่ตัวละครเล็กๆ จัดอยู่ในระดับล่างของยุทธจักรเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือเสียด้วยซ้ำ

ถ้าอย่างนั้นการเปิดตัวของบรรดาตัวเอกของเรื่องในช่วงต่อไป จะเปิดตัวออกมาได้อลังการงานสร้างแค่ไหนล่ะเนี่ย

ตั้งตารอแทบไม่ไหวแล้วจริงๆ!

จ้าวไห่เฉากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ความมุ่งมั่นของเขาไม่เคยแน่วแน่เท่านี้มาก่อน

มุ่งมั่นตั้งใจที่จะแสดงบทบาทนี้ให้ดี

“เรียบร้อย…”

ลู่เฉินชักหมัดกลับ แล้วเรียกจ้าวไห่เฉากับคู่ต่อสู้ของเขามาที่หน้าจอมอนิเตอร์ด้วยกัน ขอให้ผู้ช่วยตากล้องเล่นภาพที่เพิ่งถ่ายไป “พวกคุณฝึกแล้วเทียบตามนี้ ได้ถึงมาตรฐานที่กำหนดเมื่อไหร่ค่อยถ่ายใหม่”

จ้าวไห่เฉาพยักหน้าหงึกหงักอย่างแรง

ลู่เฉินหันไปบอกกับคนอื่นๆ “ทุกคนพักก่อนครึ่งชั่วโมง ช่วงบ่ายนี้พยายามถ่ายทำชุดนี้ให้เสร็จ”

บรรยากาศในกองผ่อนคลายลงในทันที

จ้าวไห่เฉาและคู่หูชั่วคราวของเขาวิ่งไปด้านข้างและฝึกซ้อมด้วยกันต่อไป วั่นหย่งเหลือบมองพวกเขา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับลู่เฉิน “ไม่อย่างนั้น ใช้ตัวแสดงแทนดีไหม”

หากเปลี่ยนเป็นตัวแสดงแทนจากทีมตระกูลลู่แทนที่จ้าวไห่เฉา การเคลื่อนไหวไม่กี่ท่าพวกนี้คงจะถ่ายทำเสร็จไปตั้งนานแล้ว

ลู่เฉินหัวเราะและส่ายหัวเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ยังไม่ต้องหรอก ความสามารถในการเรียนรู้ของเขาถือว่าใช้ได้เลย ให้เวลาเขาอีกหน่อยแล้วกัน”

เพื่อเร่งให้ทันกำหนดการ เวลาจึงมีค่ามากสำหรับภาพยนตร์ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ แต่สำหรับลู่เฉิน การใช้เวลาส่วนหนึ่งเพื่อฝึกฝนศักยภาพของนักแสดงหน้าใหม่นั้นคุ้มค่าและมีความหมายมากกว่า

ภาพยนตร์ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ของลู่เฉินเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ผลงานกำลังภายในขนาดใหญ่ ความหมายของโปรเจกต์ผลงานกำลังภายในขนาดใหญ่ ไม่ใช่การทำเงินให้ตัวเอง แต่หวังว่าจะนำวัฒนธรรมกำลังภายในออกสู่ตลาดและเผยแพร่ไปทั่วโลก!

บางทีนี่อาจเป็นความหมายของชีวิตในอนาคตของเขาก็ได้!

อยากจะบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ พึ่งพาเพียงแค่ความสามารถของเขาและทีมตระกูลลู่เพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ

……………………………………………………..

[1]NG ย่อมาจาก ‘No Good’ ฉากหลุด หรือฉากที่นักแสดงต้องถ่ายทำใหม่

Perfect Superstar

Perfect Superstar

Status: Ongoing
ชีวิตของลู่เฉินดั่งมรสุมรุมเร้า ทว่าสวรรค์ยังคงเมตตาคนสู้ชีวิต ความทรงจำและความสามารถจากในความฝัน จะช่วยปูทางให้เขากลายเป็น Perfect Superstar เอง!ลู่เฉิน ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวัย 22 ปีจำต้องหยุดเรียนออกมาทำงานหาเงินในเมืองหลวง เพื่อช่วยครอบครัวปลดหนี้จำนวนมหาศาลวันหนึ่งเขาฝัน…เป็นความฝันที่ยาวนานมากโลกแห่งความฝันทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าตัวละครแสดงต่างก็มีสีสันที่ไม่เหมือนกันนักร้อง นักแสดง นักเขียนอิสระเขามีประสบการณ์กับช่วงชีวิตที่ต่างกันทั้งสามนี้ในโลกความฝันเมื่อตื่นขึ้น ลู่เฉินมุ่งหน้าสู่ความฝันของตัวเองพร้อมกับทักษะที่ได้รับมาเป้าหมายคือกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่สมบูรณ์แบบ!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท