ตอนที่ 838 รอบปฐมทัศน์ (2)
เวลา 90 นาทีทำอะไรได้บ้าง
สามารถเข้าเรียนได้สองคาบ สามารถนอนกลางวันได้อย่างเต็มที่ สามารถแข่งฟุตบอลกับเพื่อนได้ ยังสามารถเพลิดเพลินกับอาหารมื้อค่ำอันแสนโรแมนติกกับแฟนสาวของคุณได้
และเวลา 90 นาทียังสามารถดูภาพยนตร์จบหนึ่งเรื่องได้อีกด้วย
ที่ห้องโถงหมายเลขหนึ่งของเป่าลี่แกรนด์เธียเตอร์ ที่นั่งเต็มทั้งหมด 500 ที่นั่ง เมื่อเงากระบี่เลือนหายไป เครดิตท้ายเรื่องปรากฏขึ้นบนจอยักษ์ ตอนที่ ‘ทะเลสรวล’ เพลงประกอบภาพยนตร์ดังขึ้นมาอีกครั้ง แสงไฟในโรงภาพยนตร์ก็สว่างขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้ทุกคนออกจากโลกมายากลับสู่ความเป็นจริง
จากนั้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น
แปะ!
แปะ! แปะ! แปะ!…
ในช่วงแรกมีเสียงปรบมือดังขึ้นก่อนแค่ครั้งสองครั้ง ยังมีความลังเลอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราว ทั้งยังมีความกระตือรือร้นและพร้อมเพรียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ
แขกที่เข้าร่วมรอบปฐมทัศน์ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมงานในวงการที่มีความร่วมมือกับเฉินเฟยมีเดียเป็นอย่างดีแล้ว ยังมีเพื่อนในวงการของลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ รวมไปถึงตัวแทนสื่อและนักวิจารณ์ภาพยนตร์ เป็นต้น
ไม่เกี่ยวกับว่าคุณภาพของภาพยนตร์เป็นอย่างไร หลังจากรับชมภาพยนตร์จนจบเรื่องแล้ว คนหน้าจะต้องปรบมือเป็นมารยาทให้อยู่แล้ว แต่คนหลังนั้นไม่จำเป็น เว้นแต่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะนักวิจารณ์ภาพยนตร์ นอกเสียจากว่าจ่ายเงินเพื่อเชิญมาโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นอยากจะสร้างความประทับใจให้พวกเขานั้นไม่ง่ายนัก นักวิจารณ์ภาพยนตร์มืออาชีพหรือกึ่งมืออาชีพที่มีชื่อเสียงเหล่านี้มีแฟนคลับในบล็อกล่างฉาวมากมาย มักจะชอบจับผิดโครงเรื่องของภาพยนตร์ องค์ประกอบของตัวละคร การแต่งกาย สเปเชียลเอฟเฟกต์ เพลงประกอบ…
ล้วนอยู่ในขอบเขตการตัดสินของพวกเขา มาตรฐานของพวกเขาอาจจะไม่เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าสูงกว่าผู้ชมทั่วไปมาก
นักข่าวและสื่อก็เช่นเดียวกัน ตามคำกล่าวที่ว่าเป็นการยากที่จะปรุงรสชาติให้ถูกปากของคนกินทุกคน เรื่องนี้เมื่ออยู่บนตัวของพวกเขาก็ยิ่งลงลึกขึ้นไปอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมอาชีพ เพื่อนในวงการ หรือสื่อและนักวิจารณ์ภาพยนตร์ที่จ้องจับผิดเหล่านี้ ทุกคนต่างก็ปรบมืออย่างพร้อมเพียงและพากันยืนขึ้น
ไม่มีใครพูดคุยอะไร มีเพียงเสียงปรบมือดังก้องในโรงภาพยนตร์ และเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
จนกระทั่งลู่เฉินนำทีมสร้างหลักทั้งหมดมาปรากฏตัวบนเวที
เดิมทีพิธีฉายรอบปฐมทัศน์ของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ในวันนี้ ควรจะเป็นผู้กำกับเฉินกั๋วจื้อนำทีมขึ้นมาบนเวทีถึงจะถูก แต่น่าเสียดายที่ผู้กำกับใหญ่คนนี้ไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์แห่งหนึ่งที่ยุโรปในฐานะกรรมการผู้ตัดสิน ดังนั้นจึงตามมาไม่ทัน
นอกจากนี้หลิวกั่งเซิงและถานหงก็ไม่ได้มา คนหน้ามีงานอื่น ในขณะที่คนหลังหลังจากได้รับเชิญมาแสดงใน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่บ้าน ไม่อยากเป็นจุดสนใจอีกต่อไป
มีแค่ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะลู่เฉิน เขาไม่เพียงแต่เป็นนักแสดงนำชายของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้กำกับแอกชัน ผู้เขียนบท ผู้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ และอีกมากมาย เขาเป็นจิตวิญญาณที่แท้จริงของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่เขา และเสียงปรบมือก็ดังยิ่งขึ้น
เสียงปรบมือเป็นการยอมรับ เป็นการสรรเสริญ เป็นการแสดงความเคารพ และเป็นการขอบคุณในเวลาเดียวกัน
ขอบคุณลู่เฉินและขอบคุณทีมงานทั้งหมดของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ที่สร้างภาพยนตร์ดีๆ ให้กับทุกคน!
เสียงปรบมือของพวกเขา อบอุ่นและจริงใจ!
ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มให้กันอย่างเคย นักแสดงหลักและทีมสร้างหลักคนอื่นๆ ต่างก็ขอบตาแดงรื้น หรือมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ ตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนกลั้นไว้ไม่อยู่
มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์จนถึงรอบปฐมทัศน์ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ในวันนี้ รวมๆ แล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ทีมงานเดินทางไปยังที่ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อถ่ายทำ และทำงานล่วงเวลาเพื่อให้ทันกับตารางงาน เรียกได้ว่าทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างมาก
แต่ทว่าในวงการรวมไปถึงบนอินเทอร์เน็ต มีเสียงวิจารณ์ในแง่ลบมากมายเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าฉายอย่างเป็นทางการเสียด้วยซ้ำ และยังคิดว่า ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ จะกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเฉินเฟยมีเดียที่ล้มเหลว แม้กระทั่งไม่ได้ต้นทุนคืน
เจอคำพูดพวกนี้เข้าไป ภายในใจของทีมงานคนไหนจะมีความสุขบ้าง โดยเฉพาะนักแสดงหลายคนที่ต้องลำบากมามากเพื่อการถ่ายทำฉากแอกชันดีๆ ได้แต่อดกลั้นอารมณ์คุกรุ่นและความกรุ่นโกรธไว้ภายในใจตลอดมา
ในที่สุดตอนนี้ความพยายามของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์แล้ว แม้ว่าเสียงปรบมือในตอนนี้ไม่ใช่ตัวแทนของผู้ชมส่วนใหญ่ก็ตาม และไม่สามารถตัดสินความสำเร็จหรือความล้มเหลวของยอดจำหน่ายตั๋วได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการทำงานหนักมากมายไม่ได้ไร้ประโยชน์!
“ขอบคุณครับ…”
ลู่เฉินประสานมือค้อมตัวลง “ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของทุกคน!”
เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันเป็นเวลาสองนาทีเต็มก็สงบลง โรงภาพยนตร์กลับสู่ความเงียบอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ลู่เฉินถือไมโครโฟนและเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ผู้กำกับเฉินกั๋วจื้อ ผู้กำกับ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ อยู่ที่สเปน ไม่สามารถมาร่วมพิธีฉายรอบปฐมทัศน์ในวันนี้ได้ แต่ผมจะเอาเสียงปรบมือของทุกคนไปมอบให้ผู้กำกับเฉินอย่างแน่นอน!
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ลู่เฉินยิ้มและเอ่ยว่า “ช่างอบอุ่นจริงๆ ผมรู้สึกว่าเวลานี้ตอนนี้ผู้กำกับเฉินที่อยู่ในยุโรปคงได้ยินแล้วละ!”
ในเสียงปรบมือมีเสียงหัวเราะเพิ่มขึ้นมา
ลู่เฉินเอ่ยต่อ “‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองที่ผมเข้าร่วม และยังเป็นผลงานภาพยนตร์ซีรีส์แนวกำลังภายในเรื่องแรกของเฉินเฟยมีเดีย ผมสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมาว่า ผมและทีมงานของเฉินเฟยมีเดียทุกคนต่างก็ตั้งความหวังไว้สูงสำหรับ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ และหวังว่ามันจะเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผู้ชม หรือแม้กระทั่งออกไปสู่ทั่วโลกได้!”
เขาพูดถึงความทะเยอทะยานของเขาอย่างไม่ปิดบัง หากพูดไว้ก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉายละก็ คนส่วนใหญ่คงจะตอบรับอย่างสุภาพเพียงไม่กี่คำ กระทั่งแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
แต่หลังจากดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบ หลายคนถึงกับเปลี่ยนความคิด หลายคนถึงกับตกใจราวกับได้ค้นพบโลกใบใหม่อย่างไม่ทันตั้งตัว คำพูดนี้มีความเป็นไปได้มากทีเดียว
ตรงที่นั่งมีมืออาชีพตัวจริงอยู่ไม่น้อย ตามเกณฑ์การตัดสินของพวกเขา ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ คงได้ต้นทุนคืนแน่นอนแล้ว และการที่ยอดจำหน่ายตั๋วจะสร้างผลกำไรมหาศาลนั้นก็เป็นเรื่องปกติมาก เพียงแต่ยอดจำหน่ายตั๋วในท้ายที่สุดจะได้เท่าไรนั้นยังไม่อาจจะทราบได้
พวกเขาเคยดูภาพยนตร์เรื่อง ‘เด็กหนุ่มท่องยุทธภพ’ และ ‘เจ็ดผู้กล้าห้าผู้ทรงธรรม’ มาก่อน หลังจากที่ทำการเปรียบเทียบแล้ว ถึงได้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ และผลงานที่ทำตามกระแสเหล่านี้
ความแตกต่างพื้นฐานนี้ เป็นศักยภาพที่จะทำให้ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย!
เมิ่งเซ่าถังที่นั่งทางด้านขวาของแถวที่สามในโรงภาพยนตร์ เป็นมืออาชีพคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เขามองลู่เฉินที่ยืนอยู่บนเวทีอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ยังคงนึกถึงฉากที่ยอดเยี่ยมในภาพยนตร์เรื่องนี้ในใจของเขา
ในขณะเดียวกัน เขาขีดเขียนตามอารมณ์ลงบนสมุดเล่มเล็กในมือของเขา ทิ้งรอยขีดไร้ความหมายเอาไว้
เมิ่งเซ่าถังไม่ชอบใช้แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก หรือโทรศัพท์มือถือเพื่อบันทึกสิ่งที่ได้จากการชมภาพยนตร์ แตกต่างจากนักข่าวจากสื่อต่างๆ และนักวิจารณ์ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ เขาชอบใช้ปากกาและกระดาษเขียนความรู้สึกของตัวเองมากกว่า เพราะความรู้สึกยามที่ปลายปากกาสัมผัสกับกระดาษนั้น อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีใดๆ ก็ไม่สามารถมาแทนที่ได้
มองจากมุมนี้ เมิ่งเซ่าถังเป็นนักเขียนอิสระที่มีอารมณ์สุนทรีย์ บทความวิจารณ์ภาพยนตร์ของเขามักเต็มไปด้วยคำพูดที่สื่อถึงอารมณ์ บางทีสไตล์การเขียนอาจจะอยู่นอกกรอบไปหน่อย แต่นั่นก็ทำให้การเขียนของเขาต่างจากเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ ที่มีสไตล์การเขียนคล้ายคลึงกันไปหมด
ความรู้สึกที่ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ มอบให้เขานั้น ต่างกันคนละขั้วกับ ‘เด็กหนุ่มท่องยุทธภพ’
ตอนที่เข้าร่วมรอบปฐมทัศน์ของ ‘เด็กหนุ่มท่องยุทธภพ’ ในครั้งก่อน เมิ่งเซ่าถังเขียนอะไรไม่ออกเลย เพราะเขารู้สึกแย่เอามากๆ
แต่ทว่าในตอนนี้ อารมณ์ของเขามีมากเกินไป กลับกลายเป็นว่าไม่รู้จะระบายออกมาอย่างไรดี!
…………………………………………………………………