วันที่5 เดือนที่ 4 ณ งานเลี้ยงเต้นรำ ในงานจบการศึกษา
[เอฟีเรีย ไคน์ ข้าขอประกาศถอนหมั่นกับเจ้า]
[…คะ?]
[ข้ามีคนที่ข้าชอบอยู่แล้ว แถมนางยังเป็นคนที่เจ้ารู้จักดี อลิสยังไงล่ะ]
..อลิสไหนว่ะคะ?
เอฟีเรียทำหน้ามึนงง ขณะที่พยายามยืนมือจะไปหยิบเค็กจากโต๊ะใกล้ๆ
[…อย่าทำเป็นไขสือนะ…เจ้าน่ะทั้งรังแกและกลั่นแกล้งนาง อีกทั้งยังว่าเสียๆหายๆกับนางอีก]
[ใช่ค่ะองค์ชายไชน์ทาย [กระซิกๆ]]
[ขออภัยนะคะองค์ชาย..แต่อย่าว่าแต่กลั่นแกล้งเลย ดิฉันยังไม่รู้จักนางด้วยซ้ำ]
หลังจากจบคำพูด ผู้คนในห้องจัดเลี้ยง ตกอยู่ในอาการสับสนกันทั่วทั้งห้อง
ถึงจะช้าไปหน่อย แต่สวัสดีค่ะ ตอนนี้ฉันเอฟีเรียป็นลูกสาวของดยุกของประเทศอันเซ็งซวยประเทศนี้ กำลังถูกถอนหมั่นโดนองค์ชายรัชทายาทไชน์ทาย ที่ยืนกอดกลมกับ..ใครซักคนที่ชื่ออลิสเจ้าค่ะ. ตอนนี้เจ้าชายกำลังหน้าเหวออยู่ นี่ฉันพึ่งทำงานเอกสารกองโตเสร็จ ต้องมาเจออะไรอีกเนี่ย..แต่ว่าอลิสไหนว่ะเจ้าคะ?
[นี่เจ้ากล้าพูดว่าไม่รู้จักอลิสงั้นเรอะ ทั้งๆที่อลิสมีธาตุแสงอยู่ในตัวคนเดียวในโรงเรียนนี้เนี่ยนะ นี่เจ้า!]
ฉันครุ่นคิดซักครู่..ก็อ้อลูกสาวขุนนางใหม่ที่มีธาตุแสงอ่ะนะ เคยเห็นผ่านๆตาอยู่หรอกนี่ดังขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย?
[เหมือนว่าจะนึกออกแล้วสินะ]
[ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ดิฉันก็ไม่เคยคุยกับนางเลยซักครั้งเลยนะคะ]
หลังจากพูดไป ฉันก็ตักเค้กเข้าปาก รสชาติมันก็ อืม..หวานไปหน่อยนะเนี่ย ทำให้ใครกินกันนะ?
[เอฟีเรีย นี่เจ้า..เจ้ายังกล้าโกหกอยู่อีกอย่างนั้นรึ น่าไม่อายจริงๆ]
[ใช่แล้ว นี่เจ้ายังทำเป็นไม่รู้เรื่องแบบนี้อยู่อีกหรอ?]
สิ้นเสียงทันใดนั้นก็มีผู้ชายหัวสีน้ำตาลแดงก็มาจับที่ข้อมือฉัน ที่กำลังตักเค้กอีกช้อนเข้าปาก อ่ะเค้กตกไปแล้วอ่ะ แม่บ้านคะ เราไม่ได้ตั้งใจทำตกนะ ไอ้หมอนี่มันดึงมือเราแล้วมันตกเองเราไม่ผิดน่ะ ไปโทษมันนู่น
[ปล่อยนะคะอาเธอร์ นี่ดิฉันเจ็บนะ]
[กับผู้หญิงหน้าไม่อายอย่างเจ้า ยังรู้สึกเจ็บได้อยู่อีกหรือเนี่ย?]
จากนั้นฉันก็สะบัดจนหลุด
เอาจริงๆนะอย่าว่าแต่กลั่นแกล้งเลย เวลาว่างนี่แถบไม่มี ถ้ามีเวลาไปกลั่นแกล้งล่ะก็ สู้เอาไปนอนยังดีกว่า วันๆก็อยู่กับเอกสารของประเทศห่วยๆแบบนี้ กับการเรียนการขึ้นเป็นราชินีบ้าบอไรเนี่ย ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำและ เงิน มันดีล่ะก็…กมันต้องกินต้องใช้นะ โถ่ว ช่างมันล่ะกัน ตอนนี้ก็…. อ่ะ..เดี่ยวก่อนนะถ้าถอนหมั่นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องแล้วอะดิ แถมพวกราขากับขุนนางก็อ้างไม่ได้แล้ว ว่าฝึกเพื่อคอยช่วยเหลือไอ้ชายท้ายนี่ ตอนขึ้นเป็นราชินี เยี่ยมไปเลยจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ไม่สิไม่ทำอะไรเลยน่าจะดีกว่า และถ้าโดนเนรเทศด้วยนี่เยี่ยมเลยจะได้หนีออกจากประเทศบ้าๆกับไอ้พ่อดยุกเซ็งซวยนี่ได้ซักที
คุณหนูชื่ออลิสทำท่าร้องไห้เข้าไปซุกองค์ชายพับพาย่า เอาไงดีนะตอนนี้?
[นี่ เจ้าทำอลิสร้องไห้อีกแล้วนะ บอกให้ทุกคนรู้สิว่านางทำอะไรเจ้าบ้าง..]
[กระซิก นางทั้ง ว่าข้าว่าไม่เหมาะกับที่นี่ที่มีแต่ขุนนางชั้นสูง น่าจะออกๆไปซะ อีกทั้งยังเอาน้ำมาสาดใส่หน้าข้าอีก แถมยังเคยเอาของๆข้าไปซ่อนอีกและบางครั้งก็เคยส่งคนมาขู่ข้าด้วย แงงงง]
ฉันไปทำเรื่องอย่างนั้นตอนไหนหว่า?
[โอ้อลิสที่รักอย่าร้องนะ ดูสิ่งที่เจ้าทำกับอลิสสิเอฟีเรีย เจ้ายังกล้า..]
[นั่นเป็นคำโกหกเจ้าค่ะ ไม่มีใครเห็นว่าข้าเคยเข้าใกล้นางด้วยซ้ำ ไม่มีหลักฐานอะไรเลย วันๆข้าก็อยู่กับกองเอกสารเห็นหน้าพวกมันบ่อยกว่าหน้าท่านอีกนะคะ]
มันเยอะไปมั่ง โห่ว ว่างเหลือเกินนะตัวฉัน องค์ชายโง่นี่ยังเชื่อเรื่องแบบนี้ได้ ฉันล่ะเพลีย เห้อ ฉันเบื่อนะรู้ไหม พระผู้เป็นเจ้าท่านคะ ท่านได้สร้างสิ่งเล็กที่เรียกว่าสติในสมองให้กับมนุษย์ผู้นี้หรือไม่เจ้าค่ะ
[หลักฐานงั้นเหรอ… ฮึฮึ มีสิ นี่ไง]
จากนั้นเจ้าชายก็หยิบกระดาษที่มีลายดอกไม้สลักอยู่ออกมา มันเป็นลายที่ฉันใช้ประจำ อย่าบอกนะว่าหลักฐานแค่นี้ เอาจริงดิ!?
[จดหมายนี้เป็นของที่เจ้าใช้ประจำใช่ไหมล่ะอีกทั้งลายนี้ก็มีเพียงเจ้าใช้คนเดียวในโรงเรียนนี้ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้ว]
…เอาจริงดิ ถ้าแค่จดหมายอย่างเดียวทุกคนก็เป็นฉันได้แล้วสินะ ขายค่ะ คำพูดการบุตรีดยุกค่ะ แผ่นล่ะ3ทองสนไหมคะ เห้อ..เล่นงี้เลย ได้สิ!!
[ถ้าท่านจะคิดอย่างนั้นล่ะก็…แต่ดิฉันขอยืนยันก่อนนะว่าท่านยอมที่จะสละบัลลังก์เพื่อความรักของท่านได้?]
[แน่นอนเรื่องบังลังก์ยกให้พี่ชายข้าจัดการไปสิ เรื่องแค่นั้นะไม่อาจพลาดความรักของข้่กับอลิาได้หรอก]
[เอ่ะ!]
อลิสสะดุ้งกับคำพูดเมื่อกี้เล็กน้อย จากนั้นนางก็ทำหน้าเจือนๆ
[นี่ท่านโกหกใช่ไหมคะ?]
[ไม่หรอกจริงแท้แน่นอน แต่เรื่องแค่นี้เองเจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้ารักเจ้า ไม่มีอะไรมาขวางเราได้]
[แบบนั้นมันเล…ร้า.. ไม่สิข้าหมายถึง ข้ารักท่านแต่ว่าข้าก็อยากเห็นท่านที่สง่างามเวลาขึ้นครองราชนะคะ]
[ถ้าอย่างนั้นข้าคุยกับท่านพ่อเอง ท่านพ่อใจอ่อนกับข้าอยู่แล้วไม่ต้องห่วงนะอลิส]
[ค่ะ..เกือบแล้วไง]
[นี่เจ้าพูดอะไรหรือเปล่า?]
[เอ่ย..ไม่ค่ะ คือว่าข้าบอกว่าท่านดูสง่างามมากเวลาท่านมั่นใจนะค่ะ]
[งั้นเองหรอ ขอบคุณนะ]
น้ำเน่าชิบหายเลยเจ้าค่ะ เน่าพอกับพอน้ำทิ้งข้างโรงฟอกสีผ้าเลยค่ะ
[แต่ตัวข้าก็ไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น ถ้าเป็นไปได้อยากให้ท่านเอฟีเรียช่วย ข้าจะเป็นแค่ในนานก็พอ]
[โอ้ว! นั้นเป็นความคิดที่ดีเลย เอฟีเรียถึงเจ้าจะทำอลิสไว้ขนาดนี่แต่นางยังใจดีช่วยเจ้าไว้ นางนี่ช่างใจบุญจริงๆ]
ดีกับผีดิ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว นี่ยังคิดจะใช้เป็นทาสอีก ตัวเองนั่งๆนอนๆและยังจะขโมยผลงานอีกทุเรศชิบหาย เอาแล้วไง เอาตัวรอดไงดีว่ะเจ้าคะ เออ…
[ขอปฏิเสธเจ้าค่ะ]
[นี่เจ้า กล้าปฏิเสธงั้นเรอะ!!อลิสอุส่าใจดีกับเจ้าแล้วแท้ๆ]
[ถึงเราจะพึ่งรู้จักกันวันนี้ แต่ฉันไม่ชอบท่านนี้แล้วค่ะ ข้าไม่อยากพบหน้านางอีกเลยเจ้าค่ะ]
[นี่เจ้า!! ถ้าเจ้าไม่อยากเห็นหน้านาง ข้าก็ไม่อยากเห็นหน้าเจ้าเช่นกัน อาเธอร์เอานางไปประหาร]
ห่ะ? ตายแล้ว ประหารเลยเร้อ ยังไม่ได้กินเค้กดีๆเลยอ่ะ เค้กก้อนเมื่อก็โดนไอลุงตาลแดงนี่ทำตก
[แต่ท่านคะ ถึงอย่างนั้นนางก็เป็นถึงดยุค ถ้าทำอย่างนั้นล่ะก็ผู้คนคงมองท่านทางไม่ดีแน่ๆ เพราะงั้นช..]
[อลิสเจ้าห่วงข้าเสมอเลยก็ได้เห็นแก่อลิส ข้าขอเนรเทศเจ้า ไปซะอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก]
[ถ้า..นางร้าย..ล่ะก็..ไม่..]
[อลิสเจ้าพูดอะไรหรือเปล่า?]
[ขะ..ข้าว่าท่านเท่มากเลยค่ะองค์ชาย]
[งั้นหรอ ขอบคุณนะ]
โอ้ว ขอบคุณนะคุณหนู ถึงจะพึ่งรู้จักกันแถมยังใส่ร้ายเรา แต่ช่วยเราด้วยหรอ ควรขอบคุณสินะ..ไม่อ่ะ เราไม่ชอบเธอ อีองค์ชายก็ด้วย ไม่ชอบเลย ก่อนหน้านั่นเราต้องทำให้แน่ใจ ตอกให้มิด ไม่ให้มากวนเราอีกเป็นครั้งที่สองเลยล่ะกัน
ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าคำปฏิญาณอยู่ค่ะ คำพูดที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูง โบสถ์บอกอย่างนั้นเราก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ โดยเป็นการปล่อยถ้อยคำด้วยมีเหล่าภูติเป็นพยานล่ะ ผู้ผิดคำสัญญาณจะมีอันเป็นไปได้เลยนะ เห็นเขาบอกอย่างนั้น เอาจริงๆเราเคยเห็นแค่ตอนเหล่านักรบใช้กับราชา ตอนพิธีครบรอบก่อตั้งของประเทศล่ะ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..
[ข้าเอฟีเรีย ไคน์ ขอปฏิญาณ..]
แสงสีทองประหนึ่งฟ้าวันใหม่เกิดขึ้นรอบตัวเอฟีเรีย ผู้คนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดเหตุวุ่นวายไปทั่ว ใครซักคนพูดว่า มันสว่างกว่าตอนนักรบปฏิญาณกับองค์ราชาอีกนะ บางคนถึงกับอ้าปากค้างทั้งที่เคี้ยวของหวานอยู่ มีเสียงวุ่นวายและจานตกแตกไปทั่ว แม้แต่อาเธอร์ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก็ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว
โอ้ย! สว่างไปไหม? แสบตานะเนี่ย รีบพูดให้จบๆไปล่ะกัน
[สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันได้พบคุณหนูอลิส วันๆหลังจากเรียนเสร็จก็กกตัวอยู่ในห้องเอกสารเพื่อช่วยงานท่านรัฐมนตรีการเงินตลอด มิเคยกลั่นแกล้งดั่งที่ท่านพูดมา แต่กลับถูกใส่ร้าย กล่าวหา ทั้งที่ไม่ได้ทำ ข้าให้คำปฏิญาณ ว่าจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก และประเทศนี้อีกหลังจากออกไป ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าหากข้ากลับมาด้วยความต้องการของตัวข้าเองขอให้เปลวใจหล่อหลอมข้าให้เป็นเถ้าธุลี แต่ถ้าหากกลับมาด้วยเหตุผลอื่นขอให้เหล่าภูติที่สถิตอยู่นะที่นี้เป็นดั่งกำแพงค่อยสะกัดกลั่นมิให้ข้าเข้าประเทศนี้ได้ รวมทั้งลิขสิทธิ์โครงสร้างข้าขอยืดคืน]
พูดยาวไปเหนื่อยอ่ะ แต่ดีแฮะ ที่นี้ก็ไปพูดกับอีดยุกพ่อบ้านั่น แล้วก็บายบายประเทศเสร็งเค้ง
อลิสทำหน้าตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิด เจ้าหน้าที่กระทรวงการเงินบางคนที่มาร่วมเหตุการณ์นี้ได้เอ่ยคำพูดอันหน้ากลัวขึ้น ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจากนี้ไปประเทศนี้จะเป็นยังไง แต่หาใช่สิ่งที่ต้องสนใจไม่ จากนั้นเอฟีเรียก็เดินออกจากห้องเต้นรำไป พร้อมกับจกเค้กไปด้วยสามชิ้นก่อนขึ้นรถม้าไป
เสียเวลาจริงๆ…แต่คุ้มค่า เหลือบอสด่านสุดท้าย แต่ก็ว่าเถอะจากนี้ไปทำไรดีนะ หน้าที่ก็ไม่มีแล้วที่เหลือแค่ทางบ้านแต่ก็ไม่ต้องกังวลเท่าไหร่ จะไปไหนดีขึ้นเหนือดีไหมนะ หรือลงไปประเทศทางใต้ดี อีคุณหนูอลิสนั่นพูดว่าอะไรนะ..นางร้ายหรอ..อืม..ช่างมันเถอะก่อนหน้านั้นต้องจัดการกับเค้กนี่ก่อน…อ่ะหวานชิบหายเลย หน้าจะหยิบอีกหน้ามา!
–
–
สวัสดีครับคนแต่งเอง เรื่องนี้คือหนึ่งในเรื่องที่ผมเคยแต่งในนายท่านสองตอน ตอนนี้คิดบทได้เรื่อยๆเลยเอามาปัดฝุ่นต่อยอดครับ รบกวนด้วยนะครับ