เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูเก่ออวิ๋นกับฮูหยินจูเก่อก็งุนงงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย นางยังคงถือถ้วยชาอยู่ในมือ แม้จะอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย แต่นางก็ยังคงดูไม่สะทกสะท้านราวกับสุภาพบุรุษที่แท้จริง
ฮูหยินจูเก่อก้มหน้าลงทันที แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งและอ่อนน้อมว่า “ขอบคุณความช่วยเหลือที่ท่านทั้งสองมีให้ต่อตระกูลจูเก่อ แต่ข้าคงไม่สามารถให้พวกท่านเข้าร่วมการแข่งขันแทนพวกข้าได้ ตระกูลหนีมีอิทธิพลอย่างมากในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย พวกข้าทำให้พวกท่านต้องมาลำบากเพราะปัญหาของตระกูลมากพอแล้ว การเข้าไปในสุสานหลวงเป็นภารกิจที่แตกต่างจากภารกิจอื่น พวกข้าคงจะปล่อยให้ท่านทั้งสองต้องแบกรับความเสี่ยงอันมหาศาลเช่นนั้นไม่ได้!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าฮูหยินจูเก่อเป็นห่วง ดังนั้นเพื่อเกลี้ยกล่อมนาง นางจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเปิดเผยกับนางว่า “อันที่จริงนั้นจุดประสงค์ที่พวกข้ามาเยี่ยมเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันนี้ พวกข้ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับตระกูลไหนดี ยิ่งกว่านั้นพวกข้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เช่นกัน ถ้าพวกข้าไม่ลงมือทำร้ายนายน้อยหนีอย่างกะทันหันเช่นนั้น ตระกูลหนีก็คงไม่ตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรงถึงเพียงนี้ พวกเขาต้องรู้แล้วอย่างแน่นอนว่าหนีหู่ถูกพวกข้าอัดเข้า พวกเขาก็เลยต้องการแก้แค้นให้กับเขา ในเมื่อพวกข้าเป็นคนก่อเรื่อง พวกข้าก็ควรมีส่วนในการจัดการเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงข้าจะไม่มีพลังวิญญาณ แต่ข้าก็มีประสบการณ์ในการขับไล่วิญญาณร้าย ดังนั้นย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ส่วนคู่หูของข้า นายน้อยอวิ๋นคงได้เห็นฝีมือของเขาแล้ว เขาดูแลตัวเองได้”
จูเก่ออวิ๋นนึกไม่ถึงเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะยอมเข้าร่วมกับตระกูลจูเก่อ ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินมาว่าตระกูลอื่นเองก็กำลังตามหาตัวผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากนอกเมืองเข้ามาเพิ่มโอกาสในการเอาชนะให้กับตัวเองเช่นกัน
สองคนนี้เอาชนะหนีหู่ได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
ถึงเขาจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของทั้งสอง แต่จูเก่ออวิ๋นก็รู้ว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือที่หาตัวจับได้ยาก
เขาคิดอยู่แล้วว่ายอดฝีมืออย่างพวกเขาคงจะมาที่นี่เพราะการแข่งขันนี้ แต่คิดว่าพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกับตระกูลอื่น
เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้ยินว่าพวกเขาต้องการที่จะร่วมมือกับตระกูลของตัวเอง
“ท่านทั้งสองจะร่วมมือกับตระกูลจูเก่อของพวกข้าจริงๆ หรือ” จูเก่ออวิ๋นยังคงไม่มั่นใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้เขาเล็กน้อย แล้วพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า “จริงสิ ต่อให้ไม่มีเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้น พวกข้าก็จะยังร่วมมือกับตระกูลของเจ้าในการแข่งขันนี้อยู่ดี ตราบใดที่เจ้าตกลงล่ะก็นะ”
“ทำไมล่ะขอรับ” ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นไหววูบ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วจึงฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับเสริมว่า “ในเมื่อท่านมาที่นี่เพราะการแข่งขันนี้ ท่านก็คงได้ศึกษาข้อมูลมาแล้วมิใช่หรือขอรับ ตระกูลหนีมีโอกาสชนะมากที่สุด ส่วนตระกูลจูเก่อก็อย่างที่ท่านเห็น แค่คนที่พอจะสู้เป็นเราก็ยังมีไม่พอเลยด้วยซ้ำ ตระกูลอื่นยังดีกว่าตระกูลของพวกข้าอีก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ นางทำเพียงแค่หมุนถ้วยชาในมือเท่านั้น
ตลอดเวลานั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงนั่งเงียบอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่เขากลับแผ่บรรยากาศอันน่าเกรงขามออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แม้เขาจะทำเพียงนั่งเท้าคางอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ และเกียจคร้าน แต่เขาก็ยังสามารถดึงดูดความสนใจจากคนอื่นได้อย่างง่ายดาย ยิ่งเมื่อดวงตาลึกล้ำของเขาจับจ้องอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง ทุกคนต่างก็พลันสัมผัสได้ถึงความกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากตัวเขาได้
จูเก่ออวิ๋นรีบอธิบายว่า “อย่าได้ใส่ใจคำถามของข้านักเลย ข้าเพียงแค่สงสัยจากใจจริงเท่านั้นว่าทำไมท่านถึงได้เลือกตระกูลของพวกข้า ในเมื่อข้างนอกนั่นยังมีตัวเลือกดีๆ อยู่อีกมากมาย”
“เพราะเจ้าหล่อกว่าน่ะสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มแล้วตอบ “นายน้อยอวิ๋น คำตอบนี้พอที่จะทำให้เจ้าพอใจได้หรือยัง”
คำตอบของนางทำให้ใบหน้าของจูเก่ออวิ๋นขึ้นสีแดงจัด
เฮ่อเหลียนเวยเวยลุกขึ้น ดวงตาของนางกระจ่างใสราวกับแก้ว จากนั้นนางจึงกล่าวว่า “เพราะเจ้าเป็นคนเดียวที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมต่างหาก ทุกคนรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะตระกูลหนีทรงอำนาจอย่างมากในเมืองนี้ แต่เจ้ากลับเป็นคนเดียวที่ยืนหยัดต่อต้านพวกเขา ยิ่งกว่านั้นตระกูลของเจ้าก็ยังไม่เลวทีเดียว ติดที่เจ้ายังเด็กเกินไปเท่านั้น”
พอพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ชี้มือไปที่เด็กๆ ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฝึกอาคมกันอยู่ด้านนอก แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “สิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ อีกสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ[1] สักวันเจ้าก็จะแข็งแกร่งกว่าตระกูลหนีมิใช่หรือ”
จูเก่ออวิ๋นไม่เคยได้รับคำพูดเช่นนี้จากใครมาก่อน
นอกจากท่านแม่ของเขาแล้ว ก็ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะสามารถทำให้ตระกูลจูเก่อกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
ตั้งแต่ท่านพ่อเสียไป ทุกวันของเขาก็มีแต่สายตาสงสารและเยาะเย้ยจากคนอื่นๆ เขาทำได้เพียงกัดฟันอดทนและผลักดันให้ตัวเองต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
การตายของท่านพ่อมีความไม่ชอบมาพากลอยู่หลายประการ เขาคิดไม่ออกเลยว่าคนที่จะสามารถทำอันตรายให้กับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เก่งกาจอย่างท่านพ่อของเขาได้จะเป็นใคร
แต่เขาจำได้เป็นอย่างดีว่าสองสามวันก่อนที่ท่านพ่อของเขาจะสิ้นใจ ท่านพ่อมักจะกำชับเขาอยู่เสมอว่าห้ามให้ใครใช้พระสรีระในการทำพิธีฟื้นคืนชีพคนตายขึ้นมาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นโลกจะพลิกกลับตาลปัตร และโลกมนุษย์จะจมลงสู่เพลิงแห่งนรก
หลังจากการตายของท่านพ่อทำให้เขาได้เห็นนิสัยที่แท้จริงของมนุษย์
ตอนที่เราสบายดี คนอื่นมักจะเกิดความอิจฉาและมักเข้ามาประจบเอาใจตลอดเวลา
แต่ตอนที่เราเดือดร้อน คนอื่นก็พร้อมที่จะเหยียบย่ำเราเสมอ
’สิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ อีกสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ’ นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินคำพูดทำนองนี้จากใครสักคน
จูเก่ออวิ๋นรู้สึกได้ถึงเลือดในร่างกายที่ปะทุขึ้นด้วยความฮึกเหิม เขามองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างลังเล แต่ฮูหยินจูเก่อกลับตอบว่า “ตกลง”
มันเป็นเพียงคำพูดอันเรียบง่าย แต่ก็ทำให้ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง เขาคิดว่าท่านแม่จะไม่เห็นด้วยเพราะเขารู้ว่านางเป็นคนรอบคอบและมีคุณธรรมมาก ไม่เหมือนเขาที่ต้องการเพียงก้าวไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบเท่านั้น
ฮูหยินจูเก่อเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาของบุตรชาย แล้วยิ้มพร้อมกับบอกว่า “ในฐานะแม่ แน่นอนว่าข้าย่อมสามารถบอกได้ว่าเจ้าไม่อยากยอมแพ้ในการแข่งขันนี้ เจ้ามีความสามารถ และฝีมือการขับไล่วิญญาณร้ายของเจ้าก็โดดเด่นที่สุดในหมู่เด็กรุ่นเดียวกัน ในเมื่อผู้มีพระคุณทั้งสองคิดว่าตระกูลของพวกเราดีพอสำหรับพวกเขา เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง!”
“ขอรับ!” จูเก่ออวิ๋นพยักหน้าอย่างแรง
ฮูหยินจูเก่อหันหน้ากลับมา แล้วค้อมศีรษะให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ดวงตาของนางเปล่งประกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“พวกเขาคล้อยตามคำพูดของท่านแม่” ทารกที่โตกว่าในท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยฟังเสียงจากด้านนอก แล้วขยับตัว จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นว่า “ประโยคสุดท้ายที่ท่านแม่พูดทำให้ฮูหยินจูเก่อเปิดใจได้”
ทารกที่ตัวเล็กกว่าขยับตัวเล็กน้อยเช่นกัน และพูดขึ้นเบาๆ อย่างมีชีวิตชีวาว่า “ท่านแม่ฉลาดมากจริงๆ”
“แถมยังเป็นคนที่น่ารักด้วย ไม่เหมือนท่านพ่อที่รู้จักแต่ข่มขู่คนอื่น” ทารกที่โตกว่ากอดทารกที่ตัวเล็กกว่าแล้วจูบศีรษะของน้องตัวเอง ก่อนจะบอกว่า “ในอนาคตเจ้าห้ามเป็นอย่างท่านพ่อล่ะ เข้าใจไหม”
ทารกที่ตัวเล็กกว่า : … คนที่เหมือนท่านพ่อของพวกเราอย่างเห็นได้ชัดก็คือท่านมากกว่านะ
[1] อุปมาว่า เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำล้วนไม่แน่นอน