“ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรเลยล่ะ เจ้าอยากได้พลังวิญญาณอีกหรือ” แม้จะยังไม่ทันเกิด แต่ทารกที่โตกว่าก็ทำตัวเป็นพี่ชายเสียแล้ว ดวงตาสูงส่งและไม่แยแสของเขาช่างคล้ายกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ่งนักเขาอาจยังเด็กเกินกว่าจะรู้จักการใช้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ เหมือนกับผู้เป็นบิดา แต่ความเผด็จการและความห่วงใยที่มีให้กับผู้อื่นของเขากลับโดดเด่นอย่างมาก
ทารกที่ตัวเล็กกว่าส่ายหน้า แต่น้ำเสียงอ่อนแอกลับถ่ายทอดความคิดอย่างมีชั้นเชิงออกมาทันทีที่พูดว่า “พวกเราอยู่ในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย นี่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังวิญญาณ พี่ชายไม่จำเป็นต้องคิดถึงข้ามากกว่าตัวเองหรอก แต่ข้าคิดว่าช่วงสองวันนี้ท่านไม่ควรออกไปหาอาหาร ข้ากลัวว่าอาจมีใครสังเกตเห็นท่านเอาได้”
ทารกที่โตกว่าเข้าใจในสิ่งที่น้องต้องการสื่อ ในเวลานี้พวกเขายังไม่โตเต็มที่ ดังนั้นสายสัมพันธ์ของพวกเขาจึงใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าพี่น้องทั่วไป ปีศาจฝาแฝดก็เป็นเช่นนี้ นี่คือสัญชาตญาณพื้นฐานในการปกป้องและฆ่าฟันของพวกเขา…
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเป็นเรื่องของเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาจะไม่มีทางยอมให้ใครมาทำร้ายท่านแม่ของตัวเองเด็ดขาด ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นท่านพ่อของพวกเขาก็ตาม
แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น
ทารกทั้งสองเห็นตรงกันว่าพวกเขาจะปกป้องท่านแม่ไปตลอดชีวิต ส่วนท่านพ่อ พวกเขาเชื่อว่าเขาย่อมสามารถรับมือกับคนที่เสียมารยาทต่อเขาได้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว
ทารกทั้งสองรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่หนีหู่ไม่รู้
ตระกูลหนีทั้งตระกูลก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน
อันที่จริงพวกเขากำลังดื่มฉลองกันอยู่เลยด้วยซ้ำ พวกเขาทำราวกับว่าตัวเองชนะการแข่งขันนี้แล้วก็ไม่ปาน
หลังจากได้ข่าวเรื่องกติกาใหม่ในการแข่งขันนี้ หนีหู่ก็หัวเราะออกมาอย่างอวดดี แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อย่อมมีหนทางอยู่เสมอ ตระกูลจูเก่อคงไม่สามารถหาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีฝีมือถึงสามคนได้ ข้าว่าตอนนี้พวกเขาคงไม่กล้าเข้าร่วมการแข่งแล้วล่ะขอรับ พวกเขาคงไม่มีคนพอที่จะรับคำท้าพวกเราด้วยซ้ำ! พวกเขาต้องกำลังคิดที่จะสละสิทธิ์อยู่แน่ๆ!”
หนีเปียวชำเลืองมองเขา แล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เจ้าควรเอาเวลาไปฝึกฝีมือตัวเอง เลิกทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเราต้องแปดเปื้อนเพราะความไร้ความสามารถของเจ้าเสียที”
“ลูกเข้าใจขอรับ” หนีหู่ตอบด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ท่านพ่อ ท่านคงไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอย่างไร ข้าเกือบจะชนะอยู่แล้วเชียว และยังเกือบจะหักมือจูเก่ออวิ๋นได้อีกด้วยนะขอรับ นั่นจะต้องทำให้ตระกูลจูเก่อยอมเชื่อฟังเราอย่างสมบูรณ์แน่ แต่จู่ๆ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองสองคนนั้นก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ แล้วเข้ามาหาเรื่องเราขอรับ”
ใบหน้าของหนีเปียวดำทะมึนขึ้นทันทีที่เขาได้ยินเรื่องนี้ นานแล้วที่ไม่มีคนกล้าท้าทายตระกูลหนี ความโกรธปะทุขึ้นในดวงตาของเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้ แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสองคนนั้นมากนัก พวกเขาคงเป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งมาถึงที่นี่ ดังนั้นจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกฎของคนที่นี่
“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้าอย่าได้เอาสองคนนั้นมาใส่ใจ” เสียงของหนีเปียวยังคงเย็นชาขณะที่เขาพูดว่า “ท่านลุงของเจ้าตรวจสอบข้อมูลของพวกเขามาแล้ว ไม่มีใครในหมู่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเคยได้ยินชื่อของพวกเขามาก่อน พวกเขาคงเป็นแค่พวกมือใหม่ที่มั่นใจในฝีมือตัวเองมากเกินไปและกล้าเข้ามาก่อความวุ่นวายในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายด้วยความโง่เขลาเท่านั้น ก็แค่พวกขยะไร้ค่าธรรมดาที่ไม่ควรค่าให้กล่าวถึง”
หนีหู่ส่งเสียงตอบรับอย่างเห็นด้วย เขายกมือขึ้นกุมหน้าตัวเองด้วยความเจ็บปวด แล้วพูดว่า “หลังจากปรากฏตัวขึ้น เจ้าสองคนนั้นก็เข้าร่วมกับตระกูลจูเก่อ กระทั่งหลังจากข้าประกาศชื่อตัวเองออกไปแล้ว พวกเขาก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้เคารพตระกูลของพวกเราเลยนะขอรับ พวกเขาอาจจะยังหนุ่มและเพิ่งมาถึงเมืองนี้ แต่ท่านพ่อ พวกเราต้องสอนบทเรียนให้กับพวกเขาขอรับ พวกเขาจะได้รู้ซึ้งถึงกฎของเมืองนี้อย่างไรเล่า!”
“ถึงเจ้าไม่พูด ข้าก็จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว” เสียงของหนีเปียวลึกล้ำขึ้นขณะบอกว่า “ไม่ควรมีใครรอดไปได้อย่างปลอดภัยหลังจากทำร้ายลูกชายข้า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะลงมือ ทันทีที่เราได้พระสรีระมาไว้ในมือ ข้าจะให้พวกมันได้ชดใช้!”
สมดังคำโบราณว่าไว้ว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ความอวดดีของหนีหู่เหมือนกับความเย่อหยิ่งของหนีเปียว
ความแตกต่างเดียวที่มีก็คือหนีเปียวรับมือกับเรื่องต่างๆ ได้ฉลาดกว่าเขา
ยกตัวอย่างเช่นการที่เขาตัดสินใจมานานแล้วว่าจะต้องจัดการชายที่ไม่รู้จักเชื่อฟังคำสั่งอย่างจูเก่ออวิ๋นให้จงได้ แต่ไม่มีใครในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมองเจตนาของเขาออกแม้แต่คนเดียว เขามั่นใจว่าการจับมือเป็นพันธมิตรกับอีกสองตระกูลเพื่อขับไล่ตระกูลจูเก่อออกไปย่อมทำให้เจ้าเด็กอกตัญญูคนนั้นพ่ายแพ้ต่อแรงกดดันนี้ในเวลาเพียงแค่สองวัน
แต่นี่เป็นแค่ขั้นตอนแรกในแผนการของหนีเปียว เขาวางแผนที่จะยึดอำนาจของตระกูลใหญ่ทั้งหมดมาไว้ในมือ และปกครองเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายโดยสมบูรณ์
จากนั้นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนก็จะต้องทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น
แม้กระทั่งฮ่องเต้จากหลายๆ เมืองที่แผ่นดินใหญ่ก็จะต้องให้ความเคารพเขา
นี่คือสิ่งที่บุตรสาวคนโตของเขาที่เป็นพระชายากลับชาติมาเกิดบอกกับเขา
เขาไม่เคยเชื่อข่าวลือที่ว่าคนที่มีเด็กสาวที่เป็นพระชายาอยู่ด้วยจะได้ปกครองแผ่นดินนี้ แต่ตอนนี้เขากลับเชื่อมันอย่างสุดหัวใจ
แต่เขาต้องเอาพระสรีระมาไว้ในมือให้ได้เสียก่อน…
ระหว่างที่หนีเปียวกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เงียบๆ จู่ๆ เสียงสรวลเสเฮฮาในห้องโถงก็พลันเงียบลง ทุกคนหันไปมองที่ประตู และเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อคลุมสีขาว และหมวกขนสัตว์กำลังเดินเข้ามา
ทุกคนกลั้นหายใจตั้งแต่ที่นางก้าวเข้ามา
รูปโฉมของนางงดงามและดูนุ่มนวลอ่อนหวานอย่างยิ่ง ผิวขาวละเอียด และเครื่องหน้าอ่อนโยนนั้นทำให้นางค่อนข้างดูคล้ายกับเจ้าแม่กวนอินทีเดียว แม้กระทั่งแขนเสื้อที่ขยับอยู่นั้นก็ยังดูสูงส่ง นางดูบริสุทธิ์อย่างมาก ทุกก้าวย่างของนางล้วนแต่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันสูงศักดิ์ ริมฝีปากบางของนางแยกออกจากกันเล็กน้อย จากนั้นนางจึงเอ่ยเรียกเขาเบาๆ ว่า “ท่านพ่อ”
“นั่นคุณหนูใหญ่หนีเฟิ่งนี่นา!”
“นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ ว่ากันว่าคุณหนูหนีเฟิ่งไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนนานแล้วมิใช่หรือ คุ้มค่าแล้วที่เรามาที่นี่กันในวันนี้”
“เจ้าพูดถูก เจ้าสัมผัสถึงพลังวิญญาณที่ออกมาจากร่างของนางได้หรือเปล่า นางต้องเป็นพระชายามาเกิดใหม่อย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นนางถึงได้มีพลังวิญญาณมากถึงเพียงนี้!”
เมื่อได้ยินเสียงผู้คนชื่นชมบุตรสาว หนีเปียวก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก เขามองไปที่บุตรสาวสุดที่รักของเขา แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “มานั่งนี่สิ ห้องครัวเตรียมเกาลัดของโปรดไว้ให้เจ้าด้วย เจ้าชอบกินตอนหน้าหนาวนี่”
หนีเฟิ่งชำเลืองมองเกาลัดบนจาน แต่นางก็ไม่ได้หยิบมันขึ้นมา นางทำเพียงยิ้มแล้วตอบว่า “ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่ากติกาการแข่งขันออกมาแล้ว”
หนีเปียวจิบชาแล้วบอกว่า “ใช่ กติกาออกมาแล้ว ข้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินเช่นกัน เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นอย่าได้สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เลย ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้จะไม่มีใครสามารถหยุดตระกูลหนีของพวกเราได้ แม้กระทั่งเจ้าเด็กเมื่อวานซืนอย่างจูเก่ออวิ๋นก็จะไม่มาปรากฏตัวขึ้นที่การแข่งขันด้วยซ้ำ ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าเพียงต้องทำภารกิจของตัวเองให้สำเร็จ และรีบไปที่ทางเข้าสุสานหลวงให้เร็วที่สุด สำหรับคนอื่นแล้ว เรื่องนี้อาจถือว่าอันตราย แต่มันคงเป็นเรื่องง่ายราวกับปอกกล้วยสำหรับเจ้า อย่างไรการเดินทางไปยังที่แห่งนั้นก็ค่อนข้างอันตรายทีเดียว หลังจากนี้เจ้าควรพักผ่อนให้เพียงพอ”
“เจ้าค่ะ” หนีเฟิ่งไอออกมาเล็กน้อยราวกับตอบรับคำพูดของผู้เป็นบิดา แขนเสื้อของนางอบอวลไปด้วยกลิ่นของยาสมุนไพร
“เจ้าไออีกแล้วหรือ” หนีเปียวมองนางด้วยความเป็นห่วง
หนีเฟิ่งไม่ได้ตอบ แต่ทำเพียงใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวปิดปากตัวเอง นางทำท่าเหมือนกำลังดมอะไรบางอย่างอยู่…