ตอนที่ 8 แสดงฝีมือเล็กๆน้อยๆ
ในตัวเมืองมีร้านผ้าปักอยู่เพียงร้านเดียว ซึ่งคุณแม่จี้เคยเห็นผ้าปักอยู่เหมือนกันในตอนที่ผ่านไปที่นั่น มันดูประณีตงดงามมาก และคนที่ปักได้ถึงขนาดนี้มีเพียงผู้หญิงในยุคโบราณเท่านั้น
“นับเป็นความสามารถแค่เล็กน้อยไม่ใช่หรือคะ? ฉันแอบเรียนแบบเงียบๆ มานานมากแล้วค่ะ เพราะกลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะถ้าทำได้ไม่ดี วันนี้ฉันเลยกล้าไปหาพี่หงเพื่อที่จะลองทำดูค่ะ” ซูตานหงพูดอย่างระมัดระวัง “ฉันอยากจะช่วยเจี้ยนหยุนด้วยค่ะคุณแม่ ฉันไม่สามารถเอาแต่กินข้าวอยู่ที่บ้านสบายๆ ได้ พวกเราเป็นครอบครัวใหญ่และยังมีคุณแม่ที่ต้องดูแลด้วยค่ะ”
คุณแม่จี้ได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็รู้สึกสบายใจและหายสงสัย แต่นางยังคงมองไปที่สามีของนาง
ไม่ว่าจะสามารถหาเงินมาเจือจุนครอบครัวได้หรือไม่ แต่ความกระตือรือร้นของสะใภ้สามก็เป็นเรื่องที่ดี
“เธอต้องการขนาดใหญ่แค่ไหนล่ะ?” คุณพ่อจี้เอ่ยถาม
“ไม่จำเป็นต้องใหญ่มากนักหรอกค่ะ ขนาดประมาณเท่าโต๊ะก็พอ” ซูตานหงบอก เธอต้องการผลิตงานปักที่โดดเด่นกว่านี้เหมือนกัน แต่ค่อยๆ ทำในตอนหลังได้
“ฉันจะทำให้เธอในตอนบ่าย” คุณพ่อจี้ตอบ สะดึงปักผ้าอันใหญ่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรสำหรับเขา แถมที่บ้านก็ยังมีไม้อยู่
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะคุณพ่อ ค่อยทำตอนที่มีเวลาก็ได้ค่ะ” ซูตานหงบอก
นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกไว้ แต่คุณพ่อจี้ยังจดจำในใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่สะใภ้บ้านสามต้องการทำอะไรเกื้อหนุนเจี้ยนหยุน ไม่ว่าจะมันจะสามารถขายได้หรือไม่ก็อย่าราดน้ำเย็นใส่เธอ
เมื่อซูตานหงกินเสร็จจนกลับไปแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่จี้จึงเพิ่งได้หยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นกับสะใภ้บ้านสามกันนี่? ดูหล่อนสิหลังจากที่กินข้าวไปไม่กี่คำหล่อนก็พูดว่าอิ่มแล้ว?”
ลดน้ำหนักอะไรกัน?
แต่ก่อนนี้สะใภ้สามกินจุพอๆ กับเจี้ยนหยุนเลย ของอะไรที่อร่อยเธอก็จะกินไม่หยุด มีชีวิตราวกับปีศาจหิวโหย แต่วันนี้กลับนำอาหารจานเนื้อสองจานนี้มาให้ เธอกินตะเกียบสามคู่(1)เข้าไปหรือ?
คุณพ่อจี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาและกินอย่างเงียบๆ
“คุณเหลือไว้ให้ฉันด้วย”
เมื่อเห็นว่าคุณพ่อจี้กินแบบไม่เกรงใจ คุณแม่จี้จึงคีบไข่และหมูใส่ลงในชามและหยุดคุยทันที ไม่ต้องบอกเลยว่านางไม่เคยรู้มาก่อนว่าสะใภ้บ้านสามจะทำอาหารได้รสชาติดีมากและยังเต็มใจทำมาให้กินด้วย เธอใส่ไข่และหมูลงไปไม่น้อยเลย
คุณพ่อจี้ออกมาทำสะดึงปักผ้าให้หลังจากที่กินอิ่มแล้ว สะดึงช่างดูเรียบง่ายมากแต่คุณพ่อจี้ใช้เวลาทำอยู่นานเพื่อให้มันออกมาสมบูรณ์แบบ
เมื่อทำเสร็จแล้วคุณแม่จี้ก็เป็นคนนำมาให้ซูตานหง เมื่อคุณแม่จี้บอกว่าคืนนี้นางจะทำแป้งย่าง(2) ซูตานหงจึงบอกคุณแม่จี้ให้ทำเผื่อเธอด้วยหนึ่งแผ่น คุณแม่จี้ตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม และนางก็ยังไม่กลับออกไป
ซูตานหงรู้ว่านางจะอยู่รอดูว่าเธอสามารถปักผ้าได้จริงหรือไม่ เธอจึงไม่คิดปิดบัง และนำเส้นด้ายกับเข็มปักผ้าที่ได้มาจากร้านของหงเจี่ยออกมาทั้งหมด
ของจำนวนมากมายหลายสีกองอยู่เต็มโต๊ะ โดยเฉพาะด้ายปักที่คุณแม่จี้มองจนตาลายไปหมด แต่ซูตานหงเอามาจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นเธอก็นั่งขัดสมาธิลงในคอกที่นั่งและเริ่มลงมือปักผ้า
คุณแม่จี้มองดูเธอปักผ้าในแต่ละฝีเข็มอย่างระมัดระวังและไม่รบกวนเธอ นางหายใจแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องพูดถึงว่าสะใภ้สามที่นั่งอยู่หน้าสะดึงก็ดูเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน!
ซูตานหงนั่งปักผ้าจนลืมเวลา ครั้งนี้เธอปักผ้าลายเทพเจ้านกกระเรียนที่อวยพรให้อายุยืนยาว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงเธอก็สามารถปักรูปหัวนกกระเรียนได้สองหัว หัวนกกระเรียนที่เหมือนมีชีวิตนี้ทำให้คุณแม่จี้มองนิ่งงันไปราวกับคนไร้สติ
“ตานหง เธอปักผ้าได้จริงๆ หรือนี่?” คุณแม่จี้ที่มองดูหัวนกกระเรียนคู่เอ่ยด้วยความตกใจ นางมองกลับไปที่หัวนกกระเรียน และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น!
นางไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าสะใภ้สามจะมีความสามารถเช่นนี้!
“ฉันแค่พอทำได้เท่านั้นเองค่ะ ยังต้องฝึกอีกเยอะ ฉันจะทำงานไปด้วยและเรียนรู้มันไปด้วยค่ะ” ซูตานหงนวดต้นคอและกล่าวอย่างถ่อมตัว
ในใจของคุณแม่จี้เห็นด้วยกับคำพูดของซูตานหง เมื่อเห็นว่าสะใภ้สามเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ในช่วงไม่กี่วันมานี้มันก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ
คุณแม่จี้ยังนั่งดูอยู่ด้วยอีกครู่หนึ่ง จากนั้นพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอปักผ้าต่อเถอะ แม่จะกลับก่อน”
“ฉันจะเดินไปส่งคุณแม่นะคะ” ซูตานหงรีบลุกขึ้นมาและเดินไปส่งคุณแม่จี้ที่ประตู
เมื่อกลับมาถึง คุณแม่จี้ก็ยังใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตอนนี้สะใภ้สามกลายเป็นคนช่างเกรงใจไปแล้วหรือ?
ร่างใหญ่นั้นดูคล้ายกับเป็นเงาของหญิงสูงศักดิ์ในสมัยก่อน?
ตอนที่นางกลับมาถึงนั้นคุณพ่อจี้กำลังทำงานไม้ เขาเพิ่งจะรับงานมาและกำลังทำตู้อยู่
“แล้วเธอพอใจงานปักของสะใภ้สามหรือเปล่าล่ะ?” คุณพ่อจี้ชำเลืองมองภรรยาของเขาและเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของนาง
คุณแม่จี้ได้สติก็กลับมามีท่าทางกระตือรือร้น และบอกว่า “นี่คือสิ่งที่คุณไม่ได้รับรู้ สะใภ้สามทำได้ดีจริงๆ!” คุณแม่จี้พูดพร้อมกับยกนิ้วขึ้น
เมื่อคุณพ่อจี้เห็นท่าทางภรรยา เขาจึงถามกลับ “ปักผ้าได้จริงๆ น่ะหรือ?”
“ก็ปักได้จริง ๆ น่ะสิ คุณไม่ได้เห็นหัวนกกระเรียนคู่ที่หล่อนปัก มันดูมีชีวิตชีวามากแทบไม่ต่างจากของจริง ฉันนั่งดูหล่อนปักในแต่ละฝีเข็ม!” คุณแม่จี้บอก
คุณพ่อจี้พยักหน้าแล้วหันกลับไปทำงานต่อ
คุณแม่จี้เห็นแล้วจึงกล่าวต่อ “ตาเฒ่า บางทีสะใภ้สามอาจจะสามารถหาเงินจากตรงนี้ได้จริง ๆ นะ”
“นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา คุณไม่ต้องเข้าไปยุ่งวุ่นวายหรอก” พ่อจี้ย้ำบอกนาง
“เข้าไปยุ่งอะไร? ถึงฉันอยากจะเข้าไปยุ่งก็ยุ่งไม่ได้” คุณแม่จี้เอ่ยอย่างแง่งอน นางอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ทำไมสะใภ้สามถึงทำงานออกมาได้ดีถึงขนาดนี้นะ? มีทั้งเข็มทั้งด้ายมากมายเต็มไปหมด และแต่ละฝีเข็มก็ดูสลับซับซ้อน หลังจากที่ไปนั่งดูมาเกือบหนึ่งชั่วโมง นางไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้เลย
คุณพ่อจี้ไม่สนใจและยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง
คุณแม่จี้นึกขึ้นมาได้จึงเล่าเรื่องที่ซูตานหงเดินออกมาส่งเธอให้ฟัง “ทำไมตอนนี้สะใภ้สามถึงได้ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกันนะคุณว่าไหม?”
ถ้าไม่ได้เป็นสะใภ้ของเอง นางคงจะคิดว่าเธอถูกอะไรเข้าสิงไปแล้ว?
คุณพ่อจี้พูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “คุณไม่พอใจหรือที่อะไรๆ มันดีขึ้น หล่อนสามารถใช้ชีวิตกับเจี้ยนหยุนได้อย่างดีก็พอแล้ว คุณจะสนใจไปทำไม?”
“ฉันไม่ได้ไม่พอใจ ฉันพอใจต่างหากล่ะ ถ้าหล่อนยังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันก็จะดูแลหล่อนหลังคลอดให้!”คุณแม่จี้เอ่ย
คุณพ่อจี้ได้ยินก็พูดขึ้น “ถ้าคุณไปดูแลสะใภ้สามหลังคลอดแล้วละก็ บ้านใหญ่สามารถมาจับคุณไปฝังจนตายได้เลยนะ”
เนื่องจากในตอนที่หลานชายของบ้านใหญ่เกิด ภรรยาของเขาไม่ได้ไปช่วยดูแล
“มันจะเหมือนกันได้อย่างไรล่ะ? หมอดูบอกว่าชะตาของบ้านสามจะมั่งคั่งร่ำรวยและในวันข้างหน้าพวกเขาจะมีหลานชายที่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยให้เรา!” ตอนนี้คุณแม่จี้เริ่มเชื่อในสิ่งที่หมอดูทำนายไว้เมื่อสามปีก่อนขึ้นมาแล้ว
ย้อนกลับไปตอนนั้น ทันทีที่นางได้ยินหมอดูทำนายว่าลูกสาวบ้านซูมีชะตาชีวิตที่ดีเลิศ ตอนนั้นเองพวกเขาก็ใช้สินสอดจำนวนมากไปแต่งเธอเป็นภรรยาให้กับเจี้ยนอวิ๋น
แต่งภรรยากลับมาเพื่อเป็นอะไรล่ะ?
ตลอดระยะเวลา 3 ปีมีแต่เรื่องโต้เถียงกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกวันและมีเรื่องทะเลาะกันใหญ่โตได้ทุก 5 วัน 3 ปีที่ผ่านมานางเกือบจะถูกสะใภ้บ้านสามฆ่าตายด้วยความโกรธ เธอทั้งใจคอคับแคบและขี้งกขนาดไม่ยอมดึงขนออกมาสักเส้น แถมหมอดูยังทำนายไว้อีกว่าในอนาคตนางและสามีจะได้พึ่งพาอาศัยอยู่กับครอบครัวบ้านสาม
ในครั้งนั้นคุณพ่อจี้ได้ฟังคำทำนายด้วยนี้เหมือนกัน ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้จริงจังอะไรกับเรื่องนี้นัก แต่เขายังคงฟังคำพูดที่ว่าบ้านสามจะทำให้เขาได้มีหลานชายที่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย
บ้านเดิมของครอบครัวจี้ยังไม่เคยมีคนเรียนในมหาวิทยาลัยเลย ลูกคนที่สี่ที่สอนหนังสืออยู่ในเมืองเจียงสุ่ยในปีนั้นก็จบแค่ระดับมัธยมปลายเท่านั้น ถ้าเขาสามารถมีหลานชายที่ได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย มันคงจะเป็นเกียรติภูมิกับบรรพบุรุษของบ้านจี้
ซูตานหงผู้กำลังนั่งปักนกกระเรียนอยู่ที่บ้านไม่รู้ตัวเลยว่าร่างกายของเธอจะมีภารกิจที่สำคัญเช่นนี้ เธอปักผ้าอวยพรรูปเทพเจ้านกกระเรียนต่อจากนั้นไปอีกสองสามวัน
……………………………………………………