ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 27 ห้าร้อยหยวนหมดเกลี้ยงในพริบตา

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 27 ห้าร้อยหยวนหมดเกลี้ยงในพริบตา

เขามีลางสังหรณ์มาโดยตลอด ว่าคราวนี้เธอจะต้องท้องอย่างแน่นอน!

“ฉันก็ไม่กล้าหวังมากหรอกค่ะ ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา” เมื่อเห็นว่าเขาพูดเหมือนมั่นใจมากขนาดนี้ ซูตานหงก็ไม่ใส่ใจนัก

หากไม่มีน้ำพุวิเศษช่วยเธอก็ยังกังวลอยู่บ้าง แต่ด้วยสรรพคุณของน้ำพุวิเศษแล้ว มันก็ทำให้เธอมั่นใจว่าสภาพร่างกายของเธอต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน แน่ล่ะ มันดีขึ้นก็เพราะได้ดื่มน้ำพุวิเศษนี่โดยแท้!

การจะมีเด็กหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น…

หากเขาได้กลับมาที่บ้านเพียงหนึ่งหรือสองครั้งต่อปี โอกาสที่จะชนะเดิมพันก็จะมีไม่สูงนัก ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ปัญหาของเธอ ไม่เห็นเหรอว่าคุณแม่จี้ไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเจ้าของร่างเดิมเลย?

“ที่รัก คุณไม่อยากมีลูกเหรอ” จี้เจี้ยนอวิ๋นละล่ำละลักเมื่อตกใจกับน้ำเสียงราวกับไม่เต็มใจของเธอ

“ฉันแค่คิดน่ะค่ะ” ซูตานหงมองสามีด้วยแววตาประหลาดใจ คนผู้นี้ไปได้ยินมาจากไหนว่าเธอไม่อยากมีลูกนะ?

“คุณไม่ได้คิดแบบนั้นจริง ๆ ใช่ไหมครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม

“เรื่องนี้เราไม่สามารถที่จะบังคับได้ ถ้าครั้งนี้ฉันไม่สามารถท้องได้แต่อนาคตฉันก็ยังท้องได้นี่คะ” ซูตานหงเอ่ยแล้วลุกขึ้น

จี้เจี้ยนอวิ๋นกังวลใจเล็กน้อย ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาคิดว่าภรรยาของเขายังไม่อยากมีลูกมากนัก ตอนนี้ภรรยาของเขาสวยขึ้นมาก แต่เขากลับไม่ได้อยู่ที่บ้านตลอดเวลา

ไม่ใช่ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่เชื่อใจซูตานหงหรอก แต่มันจะดีกว่าหากซูตานหงมีลูกให้เขาสักคนหนึ่ง

ซูตานหงลุกขึ้นไปล้างเนื้อล้างตัวและแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่ซื้อมาจากในเมือง เธอคิดว่าชีวิตตอนนี้สะดวกสบายกว่าก่อนหน้านี้มาก

ยกตัวอย่างเช่นทุกเดือนที่มีรอบเดือน ของที่ใช้ล้วนสะอาดและถูกสุขอนามัย และการแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันและยาสีฟันก็สะดวกมากอีกด้วย

หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเสร็จแล้วซูตานหงก็มาที่บ้านตระกูลจี้พร้อมกับจี้เจี้ยนอวิ๋นที่ยังกังวลใจ

วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ ทุกคนจึงต้องมาทานอาหารเช้ารสหวาน เป็นนัยว่าให้ชีวิตหลังจากนี้มีแต่ความหวานชื่นตลอดทั้งปี

ซูตานหงมีความอยากอาหารไม่มากนัก หลังกินไปได้หนึ่งชามเธอก็รู้สึกอิ่ม

หลังกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ทุกคนก็มานั่งคุยกันเรื่องข่าวสารบ้านเมืองประจำวันกันต่อ และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร พวกเขาก็คุยกันเรื่องราคาบ้านในเมืองเจียงสุ่ยแล้ว

“ทุกอย่างแสดงให้เห็นว่าราคาบ้านจะสูงขึ้นอีกในปีนี้ โชคดีที่พวกเราซื้อไว้ก่อน” จี้เจี้ยนเหวินพูดขึ้น

เฝิงฟางฟางเป็นคนแรกที่หัวเราะและเอ่ยขึ้น “น้องชายสี่ต้องใช้เงินจำนวนมากเลยใช่ไหมจ๊ะ? คุณพ่อกับคุณแม่ให้เงินนายเท่าไหร่เหรอ?”

ทันทีที่ประโยคนี้ดังขึ้น ทั้งโถงก็เงียบสงัดไปในทันที

จี้มู่ตานได้ยินก็เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน “ใช่แล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ถึงกับต้องจ่ายค่าบ้านให้เลยใช่ไหมจ๊ะ? ที่เราพูดไม่ได้มีความหมายแอบแฝงอะไรนะคะ แค่อยากรู้เฉยๆ”

ใบหน้าของคุณแม่จี้กับคุณพ่อจี้ดูไม่ค่อยดีนักหลังจากได้ยินคำถาม

อวิ๋นลี่ลี่รู้ดีว่าบ้านสี่ของหล่อนเอาเปรียบพี่น้องคนอื่นในเรื่องนี้ แต่แล้วมันเป็นเรื่องผิดตรงไหนกัน? ถ้าได้ซื้อบ้านในเมืองเจียงสุ่ยสักหลังแล้ว พวกเขาจะได้หน้ามากขนาดไหนกันล่ะ?

ดีกว่าสร้างบ้านหลังหนึ่งในชนบทนี่อีก!

จี้เจี้ยนเหวินได้ยินดังนั้นก็หยุดพูดไปเช่นกัน

“วันนี้ปีใหม่ใหญ่ คุณจะพูดเรื่องนี้เพื่ออะไร?” จี้เจี้ยนกั๋วพี่ชายคนโตของบ้านมองเฝิงฟางฟางภรรยาของตนด้วยสายตาไม่พอใจ

ส่วนจี้เจี้ยนเยี่ยพี่ชายคนรองก็ถลึงมองจี้มู่ตานเช่นกัน ทว่าเพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าพวกเขาทั้งสองต่างรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเช่นกันที่พ่อแม่ให้เงินน้องชายคนเล็กไปซื้อบ้าน

“เอาล่ะ ๆ ฉันเข้าใจแล้วว่าพวกเธอกำลังจะหมายถึงอะไร พวกเธอคงแค่อยากรู้ว่าฉันให้เงินบ้านสี่ไปเท่าไหร่ใช่ไหม? บ้านหลังนั้นราคา 1,500 หยวน แล้วฉันกับพ่อของพวกแกก็ให้เงินเจี้ยนเหวินไป 500 หยวน!” คุณแม่จี้พูดขึ้น นางรู้ว่าถึงอย่างไรก็ต้องพูดเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้อยู่ดี

“ให้ไป 500 หยวน?” เฝิงฟางฟางผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ร้องเสียงหลงก่อนกวาดสายตามองไปทางสะใภ้สี่อย่างเย้ยหยัน “สะใภ้สี่ช่างเป็นคนดีจริง ๆ เพิ่งแต่งเข้าบ้านได้ 2 ปี คุณพ่อกับคุณแม่ก็ให้เงินไปแล้ว 500 หยวน เงินจำนวนนี้แทบจะเป็นเงินเก็บทั้งหมดของพวกท่านเชียวนะ เธอช่างกล้า!”

“เงิน 500 หยวนไม่นับว่าน้อย คนส่วนใหญ่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถเก็บเงินจำนวนนี้ น้องสี่เก่งมากจริง ๆ ที่ทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ควักเงินทั้งหมดจ่ายให้จนเกือบหมดตัวในขณะที่พวกเธอหลบหน้าอยู่ในเมือง แล้วนับจากนี้คุณพ่อกับคุณแม่จะอยู่ยังไง เป็นพวกเราใช่ไหมที่ต้องดูแลพวกท่าน?” จี้มู่ตานเริ่มผสมโรงเช่นกัน

ตอนนี้หล่อนรู้สึกโกรธมาก เงิน 500 หยวน…หล่อนต้องเก็บอีกกี่ปีถึงจะได้เท่านี้? อย่างเก่งหล่อนเก็บเงินได้ 70-80 หยวนก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว

ครอบครัวของหล่อนบอกว่าไม่มีใครเก็บเงินเก่งเท่าหล่อนอีกแล้ว แม้แต่ครอบครัวของเฝิงฟางฟางยังเก็บเงินไม่ได้เท่านี้เลย

แต่พออวิ๋นลี่ลี่ซื้อบ้านในครั้งนี้ หล่อนก็ได้เงินจากผู้เฒ่าทั้งสองไปทีเดียว 500 หยวน เช่นนี้จะไม่ให้จี้มู่ตานเป็นเดือดเป็นแค้นได้อย่างไร?

“พี่สะใภ้รองอย่าเข้าใจผมผิดนะครับ เงินจำนวนนี้ผมแค่ยืมจากพ่อแม่” จี้เจี้ยนเหวินกล่าวด้วยสีหน้าน่าเกลียดเล็กน้อย

“ยืมหรือ? ยืมแบบไหน นายบอกว่ายืมก็คือยืมงั้นเหรอ!” เฝิงฟางฟางไม่ฟังและยังสาดคำพูดกลับ

หล่อนเป็นคนแรกที่แต่งเข้ามาในบ้านสกุลจี้ ตอนนั้นจี้เจี้ยนเหวินยังคงเรียนอยู่ด้วยซ้ำในขณะที่หล่อนแต่งเข้ามา ตอนนั้นสมาชิกแต่ละคนในบ้านกำลังหาเงินให้แก่เขา แม้ว่าเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้แต่ก็ได้แต่งงานกับอวิ๋นลี่ลี่ที่เป็นคนในเมืองเจียงสุ่ย และเขาก็ได้เข้าสอนในโรงเรียนประถมของรัฐแห่งหนึ่งในเมืองเจียงสุ่ย

แต่ยิ่งคิดเฝิงฟางฟางก็ยิ่งโมโห ในตอนแรกทั้งครอบครัวหาเงินให้แก่เขา แม้แต่เงินเดือนของจี้เจี้ยนอวิ๋นที่เป็นทหารก็ยังถูกนำมาใช้กับเขาทั้งหมด หล่อนคิดว่าสุดท้ายแล้วจะได้เสพสุขสักหน่อย จึงอุตส่าห์กล้ำกลืนโทสะทั้งหมดลงไป

สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรล่ะ?

สุดท้ายแล้วหล่อนก็ไม่ได้อะไรสักอย่าง ในขณะที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ได้แต่งงานและอาศัยอยู่ในเมืองเจียงสุ่ย อีกทั้งไม่ได้ส่งเงินกลับมาทุกเดือนเลยแม้แต่เหมาเดียว แถมอวิ๋นลี่ลี่ยังเป็นคนถือเงินทั้งหมดในมืออีกต่างหาก

พูดถึงเรื่องนี้ หล่อนก็รู้สึกฉุนขึ้นมาหน่อย ๆ แล้ว

“ช่างมีความสามารถกันจริง ๆ ในตอนที่หลิงหลิงของฉันป่วยมีไข้ขึ้นสูง ฉันมาขอยืมเงินคุณแม่สักหยวนเพื่อพาหลิงหลิงไปสถานพยาบาล แต่คุณแม่กลับไม่ให้ฉันยืมด้วยซ้ำ ทว่าน้องสี่กลับได้เงินไป 500 หยวนเปล่า ๆ อย่างง่ายดาย!” จี้มู่ตานแค่นเสียง

สะใภ้ทั้งสองต่างรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก อย่าว่าแต่พวกหล่อนเลย ขนาดจี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยก็ไม่ได้พูดอะไร

จี้เจี้ยนอวิ๋นหันไปทางพ่อแม่ของเขาที่เหมือนว่าจะพูดอะไรสักสองสามคำ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะแก้ได้เลย

ซูตานหงเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

โดยปกติแล้วจี้เจี้ยนเหวินและอวิ๋นลี่ลี่ต้องออกมาชี้แจงเรื่องนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าสองสามีภรรยาไม่อยากแสดงความเห็นใด ๆ เช่นนั้นเธอจะพูดอะไรได้?

“ที่ดินผืนที่อยู่หลังภูเขา พวกแกสามคนเอามาแบ่งกันได้” คุณพ่อจี้พูดขึ้น

“คุณพ่ออย่าล้อเล่นเลยค่ะ ที่ดินแห้งแล้วธุรกันดารผืนนั้นขนาดหญ้ายังขึ้นไม่ได้เลย แล้วจะปลูกอะไรได้ล่ะคะ!” เฝิงฟางฟางแค่นเสียง

เหตุเพราะเงิน 500 หยวน หล่อนจึงขึ้นเสียงกับพ่อสามีโดยไม่เกรงใจ เพราะเชื่อว่าพวกท่านทั้งสองเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

“น้องสี่ นายไม่มีอะไรจะพูดหน่อยเหรอ?” จี้มู่ตานแค่นเสียงอย่างเย็นชา

“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง ตอนนี้พวกเราซื้อบ้านในเมืองแล้ว พวกพี่ยังต้องการให้เราขายบ้านอีกเหรอคะ? พ่อแม่สามีจ่ายเงินมา 500 หยวนก็จริง แต่พ่อแม่ของฉันก็จ่ายมาให้ 500 หยวนเช่นกัน รวมกันเป็น 1,000 หยวน ทั้งหมดนั่นเป็นเงินมัดจำบ้าน ซึ่งตอนนี้เงินเดือนของพวกเราก็ต้องนำมาผ่อนชำระค่าบ้านในทุกเดือน แล้วพวกเราก็แทบไม่มีเงินเหลือเลยค่ะ” เมื่อเห็นว่าสามีไม่พูดอะไร อวิ๋นลี่ลี่จึงพูดกับเฝิงฟางฟางและจี้มู่ตานแทนเขา

“ใช่ ก็แค่ยืมเงินไปซื้อบ้านไม่ถูกเหรอคะ ไม่ได้ยืมไปแล้วจะไม่คืนเลยสักหน่อย พี่สะใภ้ทั้งสองเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ!” จึ้อวิ๋นอวิ๋นทนไม่ไหวอีกต่อไปและเอ่ยขึ้น

เฝิงฟางฟางเหลือบมองหล่อนและแค่นเสียง “เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เธอไม่ต้องมายุ่ง”

หล่อนไม่สนใจน้องสามีเลยแม้แต่น้อย

_____________

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท