ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 28 แก้ปัญหา

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 28 แก้ปัญหา

“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ฉันฟังเรื่องของผู้ใหญ่ได้ทุกเรื่อง ฉันโตแล้ว!” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดขึ้นทันทีด้วยความรำคาญ

“เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว? แต่ทำไมถึงไม่รู้จักสัมมาคารวะบ้าง แถมยังเรียกพี่สะใภ้สามของเธอด้วยชื่ออีก ใครสั่งสอนเธอแบบนั้นเหรอ?” เฝิงฟางฟางแค่นเสียง

“ในเมื่อเธอบอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พอเธอกลับมาบ้านแล้วได้กินของดี ๆ มากมายจากสะใภ้สาม เธอก็ไม่เคยไว้หน้าสะใภ้สามเลย แบบนี้เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วเหรอ? ทั้ง ๆ ที่ผู้ใหญ่พูดกันอยู่แท้ ๆ เธอก็ทะลุกลางปล้องแบบนี้” จี้มู่ตานเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้าจี้อวิ๋นอวิ๋นเช่นกัน ก็แค่เด็กสาววัยกระเตาะคนหนึ่ง คิดว่าจะเป็นพญาหงส์ทองได้เพียงแค่ได้เรียนโรงเรียนมัธยมปลายอย่างนั้นเหรอ?

ไหน ๆ ในอนาคตครอบครัวพวกหล่อนก็ไม่ได้รับผลประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นแล้วพวกหล่อนจะสุภาพด้วยทำไมล่ะ?

ในเวลานี้เองที่ซูตานหงก็ได้เห็นฤทธิ์ของภรรยาทั้งสอง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ จึงไม่แปลกหากจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

จี้อวิ๋นอวิ๋นโกรธมากจนถลึงมองซูตานหง ต้นเหตุของเรื่องถูกผิดทั้งหมดเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้!

ซูตานหงจ้องกลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน อ้อ นี่คิดว่าเธอเป็นลูกพลับนิ่มงั้นเหรอ? สู้พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองไม่ได้ก็เลยพาลมาลงกับเธอเสียอย่างนั้น?

ขณะที่ซูตานหงเตรียมถกแขนเสื้อพร้อมสู้ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็กวาดสายตามองจี้อวิ๋นอวิ๋นและเอ่ยเสียงเรียบ “อวิ๋นอวิ๋น แกกำลังใช้สายตาแบบนี้มองใครอยู่?”

“พี่สามเข้าข้างหล่อนแล้วรังแกฉัน!” หลังจากที่จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดจบ หล่อนก็สะบัดหน้ากลับเข้าห้องไปด้วยความโมโห

จี้เจี้ยนอวิ๋นย่นคิ้ว ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมซูตานหงถึงใจแข็งเหลือเกินในการไม่อยากยุ่งกับน้องสาวของเขาไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม

จากที่เขาเห็น ผู้เป็นภรรยาไม่ได้พูดหรือทำอะไรสักอย่าง แต่ทำไมอวิ๋นอวิ๋นถึงพาลมาโกรธตานหงของเขา!

“ที่ดินด้านหลังภูเขาผืนนั้นเป็นยังไงเหรอคะ?” ซูตานหงถามพ่อแม่สามีด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“ตานหง เธออย่าคิดถึงมันเลย มันเป็นที่ดินที่แห้งแล้งธุรกันดารเหลือเกิน!” เฝิงฟางฟางรีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าซูตานหงเปลี่ยนมาคุยประเด็นนี้

ซูตานหงจึงหันไปทางจี้เจี้ยนอวิ๋น เธอแต่งมาอยู่ในสกุลจี้เพียง 2 ปีจึงไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก

จี้เจี้ยนอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จาระไนความเป็นมาของที่ดินด้านหลังภูเขาให้ฟัง

จริง ๆ แล้วคำว่าที่ดินด้านหลังภูเขานั้นเป็นคำเรียกโดยทั่วไป ความเป็นจริงก็คือในอดีตคุณพ่อจี้ได้ซื้อที่ดินด้านหลังภูเขาทั้งหมดมาพร้อมกับการอาศัยในหมู่บ้าน ไม่ใช่ว่าช่วงปีแรก ๆ มันเพิ่งมีระบบสัญญาเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในครัวเรือนหรอกหรือ?

คุณพ่อจี้ไม่รู้ว่าตนเองจับจุดพลาดตรงไหน พอเขาเห็นว่าที่ดินด้านหลังภูเขามีราคาถูก เขาก็ลงสัญญาขอเช่าในทันที เขาคิดว่าถ้าตนพยายามปรับปรุงที่ดินตรงนั้นแล้ว มันก็คงจะใช้ปลูกผลหมากรากไม้ได้ หากรดน้ำทุกวันแล้วมันก็จะใช้ปลูกพืชได้ แต่ในที่สุดเขาก็พบว่าที่ดินผืนนั้นทุรกันดารเกินกว่าจะใช้ปลูกพืชเสียอีก

แต่คุณพ่อจี้ทำสัญญาเช่าที่ดินไว้ 70 ปี ซึ่งค่าเช่า 70 ปีนับว่าถูกมาก จ่ายเพียง 100 หยวนเท่านั้น

ซึ่งแน่นอนว่าราคา 100 หยวนในสมัยนั้นถือเป็นเงินมหาศาลเลยทีเดียว!

เอกสารที่ดินของเขาได้รับอนุมัติอย่างรวดเร็วพร้อมกับประทับตราของทางการ จากนั้นที่ดินหลังภูเขาก็กลายเป็นของตระกูลจี้

ในปีแรก ๆ คุณพ่อและคุณแม่จี้เดินทางไปที่ภูเขาทุกวันและปลูกต้นไม้ผลไว้เป็นจำนวนมาก

แต่ต้องบอกว่าพวกเขาสูญเสียไปหมดทุกสิ่ง

หลายคนในหมู่บ้านพากันหัวเราะเยาะตระกูลจี้ที่อุตส่าห์ทุ่มเงินมหาศาลทำสัญญาเช่าที่ดินตรงภูเขาลูกนั้น เวลา 2 ปีที่ผ่านมาภูเขาลูกนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งร้าง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นคุณพ่อกับคุณแม่จี้ก็ไม่อยากจะทิ้งมัน

ซูตานหงขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าหากใช้น้ำพุวิเศษรดแล้วจะสามารถปลูกพืชขึ้นหรือไม่ พวกมันจะเติบโตมีชีวิตรอดได้ไหมนะ?

“นอกจากที่ดินผืนนั้น พ่อกับแม่ก็ไม่มีเงินแล้ว ถ้าพวกแกต้องการก็สามารถนำไปแบ่งกันได้ เพราะนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเรามีแล้ว” คุณแม่จี้พูดด้วยสีหน้าว่างเปล่า

นางเสียใจมากจนพูดอะไรไม่ออก วันนี้เป็นวันปีใหม่วันแรกแท้ ๆ กลับมาทะเลาะกันเรื่องเงินเสียได้ ถ้าคนภายนอกรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะหัวเราะเยาะใครกันเล่า?

“ที่ดินผืนนั้นจะมีประโยชน์อะไรกันคะ!” เฝิงฟางฟางพูดอย่างอารมณ์เสีย

“ใช่แล้ว เป็นแบบนี้ให้เงินเรามาเลยจะดีกว่า ไม่ต้องถึงห้าร้อย ขอแค่สองร้อยก็พอ!” จี้มู่ตานพูด

“ใช่ ฉันเองก็ไม่ได้อยากได้มาก แค่ 200 หยวนก็พอ!” เฝิงฟางฟางพูดในทันที

คุณพ่อจี้สูบบุหรี่โดยไม่ได้พูดอะไรอีก ส่วนคุณแม่จี้ก็เงียบไปเช่นกัน

ถ้าพวกหล่อนต้องการเงินในตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีเงินจะให้เช่นกัน เพราะทั้งสองเอาเงินทั้งหมดไปซื้อบ้านให้ครอบครัวสี่หมดแล้ว

เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ของตนถูกบีบบังคับเช่นนี้ จี้เจี้ยนเหวินก็อยากจะพูดอะไรออกมาด้วยสีหน้าดำคล้ำ แต่อวิ๋นลี่ลี่ดึงตัวไว้ให้เขาจ้องหน้าหล่อน

พวกเขาได้เงินไปแล้วก็อย่าหวังจะคายมันออกมาเลยแม้แต่เหมาเดียว แน่นอนว่าอวิ๋นลี่ลี่รู้ว่าสามีของหล่อนจะทำอะไร อย่าคิดที่จะขายบ้านทิ้งเพื่อยุติปัญหาเชียว!

ตอนนี้ราคาบ้านกำลังดีดตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว อย่าคิดว่าจะซื้อบ้าน 80 ตารางฟุตได้ในราคาก่อนหน้านี้เลย!

ถ้าหล่อนไม่มีบ้านแล้วหล่อนจะไปอาศัยอยู่ที่ไหน? จะไปเช่าบ้านอยู่งั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอก!

ขณะที่คนอื่น ๆ พากันเงียบกริบกันทั้งหมด ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เอาอย่างนี้ไหมคะ มอบภูเขาลูกนั้นให้กับฉัน แล้วฉันจะให้เงินกับพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองคนละ 200 หยวนเพื่อให้เรื่องนี้จบลง ตกลงไหมคะ? แต่แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนชื่อที่ดินในสัญญาเช่าเป็นชื่อของเจี้ยนอวิ๋นเท่านั้น”

ทันทีที่เธอเอ่ยเช่นนี้ ทุกคนก็มองมาทางเธอเป็นตาเดียว

จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็อึ้งไปเช่นกัน และเอ่ยกับเธอ “ตานหง เราจะมีเงินมากขนาดนั้นเหรอ?”

จี้เจี้ยนอวิ๋นส่งเงินเบี้ยเลี้ยงกลับมาเท่าไรเขาย่อมรู้ดี แต่ด้วยพฤติกรรมใช้จ่ายจำนวนมากของซูตานหง อย่างเช่นการซื้อเนื้อ ผ้าม่านสวย ๆ ผ้าปูเตียง และของอื่น ๆ ที่มาแทนของเก่าทั้งหมดนี้ ต่อให้เขาไม่ปริปากถาม เขาก็รู้ว่ามันเป็นเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน

มีเงินเหลือติดบ้านไว้ 200 หยวนก็ถือว่าดีแล้ว

“น้องสามไม่รู้อะไร ตานหงปักผ้าเป็นนะ ผ้าปักของหล่อนขายได้ราคา 100 หยวนในทุกครั้ง มากกว่าที่เราเก็บออมมาครึ่งชีวิตเสียอีก งั้นก็ยกที่ดินให้ตานหงไป แต่ในฐานะสะใภ้ใหญ่ของบ้านแล้วฉันต้องขอเตือนไว้ว่าถ้าให้เงินกับฉันแล้ว อย่าคิดที่จะทวงคืนเด็ดขาด” เฝิงฟางฟางพูดขณะมองซูตานหง

ส่วนจี้มู่ตานไม่ได้พูดอะไรสักคำ เพราะนี่คือสิ่งที่หล่อนคิดเช่นกัน

“พวกพี่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้แล้วใช่ไหมคะ?” ซูตานหงถาม แล้วหันไปที่พ่อสามี “คุณพ่อเห็นด้วยกับฉันไหมคะ”

“แต่ที่ดินหลังภูเขามันกันดารจริง ๆ นะ…” คุณพ่อจี้เอ่ยพลางย่นคิ้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะให้เงิน เพื่อที่ทุกคนจะได้มีปีใหม่ที่ดี แต่ในวันนี้ถ้าฉันให้เงินแล้ว คุณพ่อต้องพาเจี้ยนอวิ๋นไปลงนามในสัญญา เมื่อเป็นเช่นนี้ที่ดินด้านหลังภูเขาจะเป็นของฉันกับเจี้ยนอวิ๋น ไม่ใช่ที่ดินของคุณพ่ออีก ถ้าให้พูดตาม…อะไรนะ?…อ้อใช่ กฎหมาย ก็คือที่ดินนี้จะเป็นของเราสองคนและแบ่งให้ใครไม่ได้! พี่ใหญ่พี่รอง น้องสี่ พวกคุณมีความเห็นไหมคะ” ซูตานหงมองไปที่ชายทั้งสามคน

“ฉันไม่ขัดข้อง!”

“ฉันไม่คัดค้าน!”

“ผมก็ไม่คัดค้าน!”

ทั้งสามพยักหน้า ซูตานหงขอให้จีเจี้ยนหยุนอยู่ที่นี่ก่อน เธอเดินตรงกลับไปที่บ้านเพื่อหยิบเงิน 400 หยวนกลับมา

ซูตานหงมอบเงิน 400 หยวนให้เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานแล้วเธอก็หันมาพูดกับจี้เจี้ยนอวิ๋น “เอาล่ะ เจี้ยนอวิ๋น คุณไปเปลี่ยนชื่อในเอกสารกับคุณพ่อนะ แล้วให้พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง น้องชายสี่ไปเป็นพยานด้วย”

เธอกำลังตัดปัญหาทั้งหมดที่พอจะเป็นไปได้ออก แทนที่จะตัดแบบขอไปที เธอกลับตัดอย่างไม่เหลือหนามหน่อให้มันเกิดขึ้นในอนาคตได้

ถ้าพ่อกับลูกชายไปด้วยกัน มันก็คงไม่มีปัญหา!

“ต้องไปถึงขนาดนี้เลยเหรอ?” คุุณแม่จี้พูด

“ไปเถอะ ทุกคนไปด้วยกัน เรื่องนี้จะได้ไม่มีปัญหาในอนาคต!” คุณพ่อจี้พูดขึ้น

เมื่อผู้เป็นพ่อออกคำสั่งแล้ว ทั้งห้าคนพ่อลูกจึงไปที่หมู่บ้านเพื่อตามหากรรมการหมู่บ้านด้วยกัน

………………………………

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท