บทที่ 50 ภรรยาผู้มีญาณทิพย์
เมื่อเห็นลูกชายทำหน้าไม่อยากเชื่อ คุณแม่จี้ก็มองค้อนใส่เขา “ทำไมล่ะ แกไม่เชื่อเหรอ?”
“แม่ เรื่องพวกนี้มันก็เรื่องที่ละเมอเพ้อพกกันขึ้นมาทั้งนั้นล่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยอย่างจนใจ
“จะเป็นเรื่องละเมอเพ้อพกได้ยังไงล่ะ? ไม่อย่างนั้นตอนที่ลงกล้าผลไม้ใหม่ หล่อนจะขึ้นเขาไปพร้อมกับบัวรดน้ำที่ใช้บังหน้าเหรอ? จริง ๆ หล่อนรดน้ำเสียที่ไหนล่ะ นี่แหละเป็นวิธีที่หล่อนใช้ แต่แกอย่าขึ้นไปเลย เพราะทันทีที่แกผ่านขึ้นไป ต้าเฮยจะเห่าเตือนทันที แล้วเซียนจิ้งจอกก็จะร่ายคาถาไม่ได้!” คุณแม่จี้พูด
ตอนที่ลูกชายของนางยังไม่กลับมา นางก็เคยขึ้นภูเขาไปกับซูตานหงเหมือนกัน แต่ซูตานหงก็ขอให้นางรออยู่ที่เชิงเขาและไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้นางคาดเดาไปต่าง ๆ นานา
คุณแม่จี้เองก็เดาแล้วเดาอีก ในที่สุดจึงได้ข้อสรุปดังกล่าวขึ้นมา
คนในหมู่บ้านบางคนก็พูดเหมือนกันว่าคุณแม่จี้เชื่อในเรื่องนี้ แต่พวกเขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรมาก ได้แต่เอ่ยชมว่าสะใภ้ของนางเป็นผู้เจริญและนำโชคดีมาให้นาง
หลังได้ยินคุณแม่จี้บอกอย่างนั้นบวกกับรูปร่างท่าทางของซูตานหงในตอนนี้แล้ว พวกเขาก็เห็นว่าเธอดูเหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์จากตระกูลขุนนางจริง ๆ ยิ่งมองเธอแล้วก็ยิ่งรู้สึกเจริญตา และในไม่ช้าทุกคนก็ยอมรับข้อสันนิษฐานนี้
แถมตอนนี้ซูตานหงยังจ้างคนมาทำงานโดยตรง ซึ่งนั่นนับเป็นความใจกว้างอย่างยิ่ง เธอถึงกับจ่ายเงินค่าจ้างให้แต่ละคนถึง 10 กว่าหยวน นี่ไม่ใช่สัญญาณแห่งความร่ำรวยฟุ้งเฟ้อหรอกหรือ?
เมื่อคุณแม่จี้คิดถึงเรื่องนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกพอใจ ก่อนมองลูกชายคนที่สามแล้วเอ่ยต่อ “แกต้องดูแลตานหงให้ดี ๆ ถ้าแกออกนอกลู่นอกทางไปเด็ดดอกไม้ใบหญ้าที่อื่น ฉันจะไม่ละเว้นแกแน่ เข้าใจไหม?”
“แม่ แม่พูดอะไรน่ะครับ ผมจะปฏิบัติแย่ ๆ กับภรรยาของผมเองได้ยังไง” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยอย่างอดไม่ได้
“แม่แค่อยากเตือนแกไว้ว่าเมื่อก่อนนี้ตานหงเคยทำตัวไม่ดีไปบ้าง แต่ตอนนั้นหล่อนก็ยังอายุน้อยอยู่ไม่ใช่เหรอ? พอแกไม่อยู่บ้านนานเข้า หล่อนเลยเริ่มคิดเล็กคิดน้อย แล้วหล่อนเองก็คงมีเรื่องอะไรในใจเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้หล่อนโตขึ้นแล้ว และมองอะไรได้ทะลุปรุโปร่งขึ้น แกดูสิ สิ่งที่แม่คิดไว้เป็นเรื่องดีขนาดไหน” คุณแม่จี้ยิ้ม
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มตอบ “แม่ทำอะไรไปก่อนนะครับ ผมไปรับตานหงแล้ว”
“ได้ แกแค่ไปรอตานหงอยู่ตรงเชิงเขาพอนะ รู้ไหม?” คุณแม่จี้ไม่ลืมที่จะขยายความ
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับ
เมื่อซูตานหงเดินลงมาจากภูเขา เธอก็เห็นจี้เจี้ยนอวิ๋น จากนั้นก็เลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้ม “เจี้ยนอวิ๋น คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”
“มารับคุณน่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นหยิบบัวรดน้ำมาถือไว้และยิ้มให้ ข้างในบัวรดน้ำนั้นว่างเปล่าไม่มีน้ำสักหยด
ซูตานหงรับความช่วยเหลือจากเขาและเดินกลับไป เธอมองสีหน้าของสามีแล้วก็รู้แจ้ง แต่ไม่พูดอะไรออกไป เรื่องน้ำพุวิเศษที่อยู่ในตัวเธอนั้นประหลาดพิสดารเสียจนไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหน และถ้าเธอเล่าเรื่องนี้ออกมาแล้ว เจี้ยนอวิ๋นจะปฏิบัติกับเธอเหมือนนางปีศาจหรือไม่?
เธอจึงไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ ในเมื่อคนในหมู่บ้านพากันบอกว่าเธอถูกเซียนจิ้งจอกเข้าสิง ดังนั้นปล่อยให้พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะเซียนจิ้งจอกไปก็แล้วกัน
“ภรรยา ต้นกล้าผลไม้ของเราจะโตไหมครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามด้วยรอยยิ้ม
เขาไม่เชื่อทฤษฎีบ้าบออะไรนั่นเลย เซียนจิ้งจอกอะไรกัน ในสายตาของเขาแล้วภรรยาของเขาก็แค่เบื่อที่ต้องอยู่กับบ้านเลยออกมาเดินดูนั่นดูนี่บนภูเขา อย่าว่าแต่ภรรยาของเขาเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็อยากผ่อนคลายจิตใจเหมือนกัน
“มันต้องโตสิคะ” ซูตานหงมองเขาและยิ้มออกมา
อีกมากกว่าครึ่งเดือนให้หลัง เหล่าฉินก็ส่งต้นกล้าผลไม้มาให้อีกชุดหนึ่ง เขาจึงปลูกพวกมันอีกครั้ง ตอนนี้ขาของเขากำลังฟื้นตัวเป็นปกติ จึงไม่อาจทำงานหนักได้ แต่ยังเป็นคนคอยควบคุมงานได้อยู่
หลังจากที่เหล่าฉินนำต้นกล้าผลไม้ชุดนี้มาส่ง เกือบทุกคนในหมู่บ้านก็ติดต่อสั่งกล้าไม้ผลกับเหล่าฉินบ้าง
เห็นชัดว่ามันเป็นเพราะพวกเขาได้เห็นสวนผลไม้ของตระกูลจี้ พวกเขาจึงอยากจะปลูกตามบ้าง
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ส่งผลต่อกิจการของจี้เจี้ยนอวิ๋นเลย ตราบใดที่เขามีความรู้ สวนของเขาก็ไปต่อได้
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงบ้าน จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เข้าครัวและทำเกี๊ยวกินเป็นอาหารเย็น เขาลงมือห่อเกี๊ยวตั้งแต่ตอนเที่ยง ซึ่งแต่ละลูกล้วนมีแป้งบางและมีไส้อัดแน่นอยู่เต็ม
ในไม่ช้า เกี๊ยวทั้งหมดก็สุกพร้อมรับประทาน
ตอนนี้ซูตานหงกินจุขึ้นมาก หลังกินเกี๊ยวไปได้ 13 ลูกแล้วเธอถึงจะรู้สึกอิ่ม
แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยังนั่งข้าง ๆ และเอ่ยคะยั้นคะยอ “นี่คุณกินเยอะแล้วเหรอ? กินอีกสิครับ”
เขาคะยั้นคะยอจนซูตานหงกินเกี๊ยวเพิ่มอีก 2 ลูก ต่อจากนั้นเธอก็กินไม่ไหวแล้ว เกี๊ยวที่เหลือจึงมาอยู่ในชามของจี้เจี้ยนอวิ๋นราชาแห่งการกินจุ
“เจี้ยนอวิ๋น คุณคิดออกหรือยังคะว่าจะรับมือกับคนในหมู่บ้านยังไง?” ซูตานหงที่กินอิ่มแล้วถามจี้เจี้ยนอวิ๋นที่กำลังกินเกี๊ยว
“รับมืออะไรเหรอ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ
ซูตานหงกระพริบตา ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ “พื้นที่แห่งนี้เหมาะสมต่อการปลูกไม้ผลไหมคะ?”
จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่เหมาะเลย”
ถึงถิ่นที่พวกเขาอยู่จะไม่ขาดแคลนน้ำนัก แต่ต้นไม้ทั้งหลายก็ล้วนถูกตัดจนเหลือแต่ตอ พื้นดินก็แห้งแตกระแหง ซึ่งบางส่วนเริ่มถูกปล่อยทิ้งร้าง อย่าว่าแต่ปลูกต้นไม้เลย แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นบนภูเขา
“ในเมื่อสวนของเราปลูกไม้ผลได้งอกงามขนาดนี้ คุณว่าถ้าพวกเขาเสียเงินขอเช่าที่ดินไปแล้วแต่กลับปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น พวกเขาจะมาหาคุณไหมล่ะคะ?” ซูตานหงเอ่ย
ส่วนเธอนั้นถูกถามมาหลายครั้งแล้ว
พอเธอเอ่ยเช่นนั้น จี้เจี้ยนอวิ๋นก็สะดุ้งใจพร้อมกับขมวดคิ้ว “แล้วผมต้องพูดว่าอะไรล่ะนี่?”
เขาไม่มีความลับในเรื่องนี้จริง ๆ
แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั้น จี้เจี้ยนอวิ๋นก็นึกถึงคำพูดที่แม่ของเขาพูดเมื่อตอนเย็นได้ เขามองภรรยาก่อนจะเอ่ยออกมา “ภรรยา คุณบอกผมได้ไหมว่าต้นไม้สวนเราเติบโตขึ้นมายังไง?”
“ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรคะ คนข้างนอกก็เอาแต่บอกว่าฉันเป็นผู้มีบุญญาธิการ เจี้ยนอวิ๋น คุณคิดว่าฉันมีท่าทางเหมือนฮูหยินในตระกูลขุนนางสมัยก่อนไหมคะ?” ซูตานหงบอกก่อนนั่งยืดตัวตรงแล้วเชิดหน้า
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มเมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ “เหมือนครับ!”
“ดีแล้วค่ะ ถ้าพวกเขามาถามเคล็ดลับ คุณก็บอกไปนะคะว่าคุณไม่รู้ คุณเพิ่งกลับมาจากกองทัพจะไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ซูตานหงเอ่ยเสียงเรียบ
“ตกลง ผมจะบอกตามที่คุณพูด” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
ในใจของซูตานหงคิดไปอีกอย่างหนึ่ง ว่าถ้าหากบางครอบครัวในหมู่บ้านไม่สามารถทำสวนของตัวเองได้ ถึงตอนนั้นเธอจะช่วยออกเงินสนับสนุนที่ดินบนภูเขาของพวกเขาเป็นการซื้อน้ำใจ ทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียเงินมหาศาล
แต่สวนแห่งนี้ของครอบครัวเธอต้องมาก่อน ไม่อย่างนั้นต่อให้ตั้งราคาไว้เท่าใดก็ไม่สามารถขายได้
เธอไม่จำเป็นต้องพูดประโยคนี้กับเจี้ยนอวิ๋นของเธอในตอนนี้หรอก มันคงไม่สายไปนักหากจะพูดกับเขาทีหลัง
คำกล่าวของซูตานหงแม่นยำดังคาด ไม่กี่วันต่อมาก็มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเชิญจี้เจี้ยนอวิ๋นไปร่วมโต๊ะอาหารเย็น
จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้จุดประสงค์ดี เขายอมไปที่นั่นพร้อมกับนำอาหารจานเนื้อไปจานหนึ่งด้วย ซึ่งไม่ได้เป็นการนำไปเปล่า ๆ
จากนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ถูกถามขณะอยู่ในวงสุรา
“เรื่องนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ครับ พวกคุณก็รู้ว่าผมเพิ่งออกจากกรมแล้วก็ได้รับบาดเจ็บจากภารกิจที่หัวหน้ามอบหมาย ถ้าจะถามถึงประสบการณ์ของผมล่ะก็ ผมก็ไม่มีเคล็ดลับอะไรจะบอกหรอกครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด
เขาพูดความจริงแล้ว แต่คนอื่น ๆ ก็ยังไม่เชื่อ
จากนั้นคุณลุงคนหนึ่งในตระกูลจี้ก็พูดขึ้น “เจี้ยนอวิ๋นเอ๋ย ประเทศของเรากำลังสนับสนุนคนบางกลุ่มให้รวยก่อน จากนั้นก็สนับสนุนให้คนอื่น ๆ ได้มีโอกาสรวยบ้าง เราก็ต้องทำตามที่ประเทศขอมาสิจริงไหม?”
…………………………………………
Related