ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 104 ช่วงนี้ภรรยาของเขากินอาหารไม่ลง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 104 ช่วงนี้ภรรยาของเขากินอาหารไม่ลง

หลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่ราว 7 หรือ 8วัน เชอร์รี่ทั้งหมดก็ถูกขายหมดเกลี้ยงสวน

ทุกคนต่างเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก จี้เจี้ยนอวิ๋นแบ่งค่าแรงให้กับพี่ชายและพี่สะใภ้ทั้งสอง ส่วนซูจิ้นตั๋งที่เขามีความสัมพันธ์ที่ดีมากกว่าพี่ชายทั้งสองนั้นเขาคิดค่าแรงแตกต่างจากทั้งสอง ไม่อย่างนั้นซูจิ้นตั๋งคงไม่มีทางยอมรับ

เขาจึงให้เชอร์รี่ถุงหนึ่งไปกับซูจิ้นตั๋งเพื่อนำกลับไปให้สะใภ้รองซู ส่วนของคุณแม่ซูนั้นไม่ต้องเป็นกังวลเลย เขาได้เตรียมส่วนหนึ่งไว้ให้แม่ยายแล้ว เขาไม่อาจปฏิบัติแย่ ๆ กับแม่ยายของเขาได้หรอก ส่วนของเจินเหมียวหงนั้นก็ได้เตรียมไว้ให้แล้วราวไม่กี่ชั่ง

ซูจิ้นตั๋งยิ้มและหิ้วถุงเชอร์รี่กลับไปที่บ้าน และช่วยขนเชอร์รี่กลับไปที่บ้านแม่ของตน

คุณแม่ซูเห็นถุงเชอร์รี่ขนาดใหญ่แล้วก็ชอบใจ นางชอบกินผลไม้ชนิดนี้มาก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจี้ยนอวิ๋นช่างมีน้ำใจเหลือเกิน เชอร์รี่นี่เป็นของดีขนาดนี้ทำไมไม่ขายให้แต่กลับให้มาเฉย ๆ เป็นถุงใหญ่ขนาดนี้ล่ะ?”

นางเคยขอให้ลูกชายนำสตรอเบอรี่กลับมาให้กิน คราวนี้เป็นเชอร์รี่ถุงใหญ่ขนาดนี้อีก ดูแล้วก็น่าจะหนักประมาณ 10 ชั่งได้ถูกไหม?

“เจี้ยนอวิ๋นก็กตัญญูรู้คุณแบบนี้แหละครับ แม่เก็บไว้กินเถอะ ผมกลับก่อนนะครับ” ซูจิ้นตั๋งยิ้ม

คุณแม่ซูจึงบอกให้เขากลับไป ส่วนนางเองก็หยิบถุงเชอร์รี่เข้าบ้าน ทั้งหลานชายหลานสาวของนางต่างชอบกินกันทั้งหมด นางจึงแบ่งบางส่วนให้พวกเขา แล้วก็เก็บส่วนของตัวเองไว้ในตู้กับข้าวเพื่อเอาออกมาทยอยกินช้า ๆ

ผ่านไปหลายวัน จี้เจี้ยนอวิ๋นกับเหล่าฉินก็ดูคล้ำลง แต่เหล่าฉินเป็นคนผิวคล้ำอยู่แล้วจึงไม่เห็นความแตกต่างมากนัก ต่างจากจี้เจี้ยนอวิ๋นที่ดูคล้ำลงอย่างชัดเจน

“คุณได้จ่ายค่าแรงให้เหล่าฉินหรือยังคะ?” ซูตานหงถาม

“เรียบร้อย ผมจ่ายให้เขาแล้ว 30 หยวน” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ

จริงอยู่ที่หลายวันมานี้เหล่าฉินเหน็ดเหนื่อยมาก แต่เงิน 30 หยวนนี้ก็ไม่ใช่เงินน้อย ๆ เช่นกัน แถมเขายังออกค่าน้ำมันให้ไปแล้วด้วย แค่เหล่าฉินรับจ้างขนสินค้าไปขายไม่กี่วันก็ได้เงินมา 30 หยวนแล้ว ขนาดเงินเดือนของจี้เจี้ยนเหวินยังไม่สูงขนาดนี้เลย

“ภรรยาครับ คราวนี้เราเก็บเงินได้เท่าไหร่กันแล้ว?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามด้วยรอยยิ้มหลังล้างหน้าล้างตาเสร็จ

“หลังหักต้นทุนไปแล้วก็ได้มากกว่า 400 หยวนแล้วล่ะค่ะ” ซูตานหงบอก

“เยอะขนาดนั้นเชียว?” จี้เจี้ยนอวิ๋นชะงักและอุทานอย่างประหลาดใจ

ความที่เขาเป็นคนเก็บเงินทุกวัน เขาก็รู้ว่ามันจะต้องมาก แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะได้เยอะขนาดนี้!

“ค่ะ นี่แหละเป็นรายได้ที่คุณทำได้” ซูตานหงเอ่ยอย่างขบขันเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้

เงินมากกว่า 400 หยวนนี้เป็นแค่ส่วนน้อยเมื่อเทียบกับเงินจากงานปักผ้าของเธอ แต่สำหรับจี้เจี้ยนอวิ๋นของเธอแล้วมันเป็นรายได้มหาศาลโดยแท้

แต่ในความคิดของซูตานหงแล้ว เชอร์รี่ในสวนของเธอจะขายดีก็ต่อเมื่อขายในราคาถูกเท่านั้น มันอร่อยขนาดไหนกันล่ะ? พวกมันทั้งหวานมากทั้งมีสารอาหารสูง ซึ่งเธอเองก็ชอบกินมาก ในตู้เย็นยังมีบางส่วนเก็บไว้ทยอยกินอยู่เลย

แต่เมื่อคิดถึงราคาในท้องตลาดของเชอร์รี่ตอนนี้แล้ว ต่อให้มันจะมีรสชาติอร่อยขนาดไหน มันก็ยังขายในราคาเดียวกัน ดังนั้นต่อให้รู้สึกว่าขาดทุนไปบ้าง ซูตานหงก็ไม่รู้สึกอะไร

จี้เจี้ยนอวิ๋นเริ่มคำนวณค่าแรงให้พี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองของเขา ซึ่งทั้งคู่ได้ค่าแรงรวมกัน 20 หยวน ส่วนของคุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้นั้นได้ไป 20 หยวน รวมเป็น 40 หยวน บวกกับค่าจ้างที่ต้องให้เหล่าฉินอีก 30 หยวน พร้อมกับค่าน้ำมันและค่าจิปาถะอื่น ๆ ก็เท่ากับเกือบ 100 หยวนแล้ว

ดังนั้นรายได้ในครั้งนี้จึงอยู่ที่ 500 หยวนกว่า ๆ

แน่นอนว่ามีรายได้จากการขายผ่านร้านที่ซูจิ้นตั๋งดูแลอยู่อีกจำนวนหนึ่งด้วย

“ปีหน้าเราคงต้องขึ้นราคาเชอร์รี่แล้วล่ะค่ะ” ซูตานหงบอกขณะรดน้ำไม้ดอกกระถาง

“อืม ไว้ค่อยว่ากันปีหน้าแล้วกันครับ คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่มาซื้อไปเมื่อวานถึงกับมาซื้อวันนี้อีกรอบ แล้วแต่ละคนก็มาซื้อกันไปเป็นตะกร้าใหญ่ ๆ บอกว่าจะเอาไปให้ที่ทำงานด้วยน่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

ปีนี้เชอร์รี่มีรสชาติอร่อยทั้งยังราคาไม่แพง พวกเขาจึงขายดี

ซูตานหงคิดในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะยิ่งเหนื่อยแล้วก็ยิ่งมีกำลังใจ เธอก็เกรงว่าเขาคงทำรายได้ไม่มากขนาดนี้หรอก สำหรับผู้ชายแล้วต้องให้เขามีพื้นที่ส่วนตัวของเขาบ้าง ไม่สามารถไปขัดเขาได้หรอก เพราะไม่ว่าเขาจะเหนื่อยแค่ไหนเขาก็ทนได้

ถ้าเขาทนไม่ไหว เขาก็คงไม่มีเวลามาจับเธอพลิกไปพลิกมาหลังกลับมาถึงบ้านตอนกลางคืนหรอก แต่เห็นได้ชัดว่าเขาจับเธอพลิกอย่างไม่รู้จักเหนื่อยเลย

หลังขายเชอร์รี่ออกไปแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็มีเวลาว่าง เนื่องจากได้ลิ้มรสหวานไปแล้ว เขาจึงชวนจี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งไปตัดแต่งทรงพุ่มเชอร์รี่ในสวน เพราะตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องพักฟื้นฟูต้นเชอร์รี่แล้ว จากนั้นเขาก็ไปขนน้ำมารด

แต่สวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินทำงานนี้แล้ว นี่เป็นงานของพวกเขา จี้เจี้ยนอวิ๋นจะมาทำได้อย่างไรล่ะ?

แม้พวกเขาจะไม่ได้เงินจากการมาทำงานในช่วงนี้ แต่พวกเขาก็ได้เชอร์รี่กลับบ้านไปคนละไม่กี่ชั่งหลังงานเก็บเกี่ยววันสุดท้าย ซึ่งนั่นเป็นงานที่หนักมาก แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นพนักงานประจำอยู่แล้ว งานนี้จึงรวมอยู่ในงานหลักที่ต้องทำ ต่อให้พวกเขาจะยุ่งมากก็ไม่สามารถแย้งอะไรได้

เพราะนี่เป็นโอกาสหายากที่จะได้ช่วยงานตระกูลจี้ ไม่ต้องพูดถึงเชอร์รี่ในครั้งนี้ที่ภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขาจะได้กินเลย แค่คราวที่แล้วที่สตรอเบอรี่ของคุณแม่จี้สุกแก่พร้อมเก็บเกี่ยว พวกเขาก็ได้ขนกลับไปกินราวชั่งสองชั่งเหมือนกัน

เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นสวัสดิการพนักงานทั้งนั้น

หลังจากเข้าสู่เดือนหก อากาศก็ทวีความร้อนระอุขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสิ้นเดือนหกจะถึงเดือนเจ็ด ซูตานหงก็อ่อนล้าไม่มีแรง เธอจึงอุ้มเหรินเหรินน้อยที่ดูหงอยลงกว่าเดิมเพราะความร้อนมาที่สวนหลังบ้าน โดยมีเยียนเอ๋อร์เดินตามมาด้วย

“แม่ กินแตงโม” เยียนเอ๋อร์บอก

ซูตานหงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “งั้นดูก่อนนะว่ามีลูกไหนกินได้บ้าง”

ในตอนนี้เธอกินอะไรไม่ค่อยลง จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเป็นคนดูแลแตงโมในสวนหลังบ้านแทน ซึ่งซูตานหงไม่ค่อยได้มาดูเป็นหลายวันแล้ว

แต่เยียนเอ๋อร์นั้นได้มาที่สวนหลังบ้านกับคุณลุงสามบ่อย ๆ แล้วก็ร้องอยากกินแตงโมทุกวัน

แตงโมในสวนหลังบ้านนั้นโตดีมาก มีหลายลูกที่มีขนาดใหญ่มากแล้ว กะประมาณทางสายตาก็น่าจะกินได้ในอีกไม่กี่วัน

“กินแตงโม” เยียนเอ๋อร์มองแตงโมลูกใหญ่แล้วเอ่ยด้วยความอยาก

“ยังไม่สุกเลยจ้ะ ต้องรออีกหลายวันอยู่” ซูตานหงบอกด้วยรอยยิ้ม

ไม่นานมานี้ต้นไม้บนภูเขาพากันออกดอกกันหมดแล้ว และหลายวันก่อนหน้านี้จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ได้ไปเรียนรู้การเลี้ยงผึ้งมาจากเหล่าฉิน ใช่แล้ว เหล่าฉินน่ะมีความรู้มากมายและรู้ในทุกเรื่อง แต่คนเลี้ยงผึ้งไม่ใช่ตัวเหล่าฉินเอง แต่เป็นพ่อของเหล่าฉินที่เลี้ยงไว้

พ่อของเหล่าฉินนั้นอายุมากกว่าพ่อของเขา และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงผึ้งมาหลายทศวรรษ ชายชรามีความประทับใจที่ดีต่อจี้เจี้ยนอวิ๋น ดังนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงได้เรียนเรื่องเลี้ยงผึ้งกับเขา ซึ่งเขาก็ถ่ายทอดความรู้ทุกอย่างให้ และเมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นเรียนจบ เขาก็มอบกล่องเลี้ยงผึ้งให้สองกล่องเพื่อนำไปเลี้ยงในสวน

จี้เจี้ยนอวิ๋นรับมาอย่างไม่เกรงใจ เขารับกล่องเลี้ยงผึ้งทั้งสองกล่องมาไว้บนภูเขาหลังจากที่กลับมาบ้าน และยังสร้างรวงให้พวกมันทำรังอยู่ด้วย

พวกผึ้งไม่ค่อยสร้างรังในที่เดียวนัก แต่เห็นชัดว่าพวกมันชอบสภาพของภูเขาแห่งนี้ และเมื่อรู้ว่าจะได้อยู่อาศัยอย่างปลอดภัยในรังที่สร้างขึ้น พวกมันก็รวมตัวกันทำรังภายในวันเดียว จากนั้นก็บินออกจากรังไปหาน้ำหวานจากดอกไม้กลับมาสร้างเป็นน้ำผึ้งในรังอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากในสวนแห่งนี้มีดอกไม้บานเป็นจำนวนมาก จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเก็บน้ำผึ้งได้หลายชั่งภายในเวลาไม่กี่วัน แล้วก็ให้คุณพ่อกับคุณแม่จี้นำไปแช่ในบ่อน้ำโหลหนึ่ง ส่วนตัวเขานั้นนำน้ำผึ้งที่เหลือกลับบ้าน หมู่นี้ภรรยาของเขากินข้าวไม่ค่อยลง ดังนั้นเธอควรจะได้กินน้ำผสมน้ำผึ้ง

………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท