ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 127 คุณแม่ซู

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 127 คุณแม่ซู

เพียงแค่พูดถึง ซูจิ้นตั๋งก็ขับรถมาหา

เมื่อเห็นเขาแล้ว คุณแม่จี้ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จิ้นตั๋ง กินอะไรมาแล้วหรือยังจ๊ะ? ถ้ายังไม่ได้กินก็นั่งลงก่อนเถอะแล้วให้ตานหงทำบะหมี่มาให้กินสักชาม อากาศหนาวแบบนี้เธอต้องกินให้อิ่มท้องนะ”

“ขอบคุณครับคุณอา แต่ผมกินมาแล้วครับ” ซูจิ้นตั๋งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ดีแล้วจ้ะ วันนี้เธออยากได้ไข่เท่าไหร่เหรอ?” คุณแม่จี้ถาม

“ยังเป็นสองตะกร้าเหมือนเดิมครับ” ซูจิ้นตั๋งตอบ

“งั้นเธอก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ ฉันจัดใส่ตะกร้าไว้ให้แล้วตอนที่ยังว่าง ๆ เธอแค่เดินไปหยิบมาชั่งได้เลย” คุณแม่จี้บอก

“ตกลงครับ” ซูจิ้นตั๋งพยักหน้า

หลังชั่งน้ำหนักแล้วเขาก็นับจำนวนจากสมุดบันทึกข้างกาย จากนั้นก็จดลงบนสมุดที่ติดตัวไว้เช่นกัน ไม่นานนักเขาจะนำสิ่งที่จดได้ไปคำนวณบัญชี และคำนวณออกมาเป็นข้อมูลรายเดือน ซึ่งเดือนหนึ่งเขาจะคำนวณบัญชีครั้งหนึ่ง เป็นการประหยัดเวลาที่จะต้องทำบัญชีทุกวันไปได้

ดังนั้นการมีสมุดสองเล่มจะทำให้คิดบัญชีได้ง่ายขึ้นเมื่อถึงเวลานั้น

ซูจิ้นตั๋งขนไข่ขึ้นรถแล้วขับจากไป คุณแม่จี้มองสมุดแล้วก็เอ่ยขึ้น “จิ้นตั๋งนี่ทำอะไรต่าง ๆ เป็นหมดเลยนะ”

ปกตินางจะจัดเรียงไข่ไว้แล้ว เว้นแต่ว่าพวกเขาจะยุ่งเกินไปจนไม่มีเวลามาจัด และเมื่อจัดเสร็จแล้ว คุณแม่จี้ก็จะยังไม่ลงบัญชีสินค้าไว้ก่อน แต่จะรอให้ซูจิ้นตั๋งมานับอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ไม่มีอะไรผิดพลาด

“ถ้าจิ้นตั๋งไม่มีความสามารถขนาดนี้ เจี้ยนอวิ๋นก็คงไม่ชวนเขามาทำงานกับพาไปขายสินค้าในเมืองมหาวิทยาลัยหรอก” คุณพ่อจี้บอกด้วยอาการสงบ

เขาเชื่อใจคนอย่างซูจิ้นตั๋งได้ เป็นภรรยาของเขาเองที่จุกจิกระแวดระวังไปเสียทุกอย่าง แต่นี่ก็เป็นปกติของผู้หญิงแทบทุกคนแหละ

คุณแม่จี้ถอนหายใจเช่นกัน “ฉันรู้หรอกว่าตาแก่อย่างคุณอยากจะพูดอะไร มันจะไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นใช่ไหมถ้าต่อไปฉันไม่ได้ก้าวก่ายเจี้ยนอวิ๋น?”

แน่นอนว่านางเข้าใจสิ่งที่สามีต้องการจะสื่อดี คราวที่แล้วที่เจี้ยนอวิ๋นขอให้พี่ชายรองภรรยาอย่างซูจิ้นตั๋งมาเปิดร้านค้าในเมืองนั้น เขาไม่ได้ขอให้พี่ชายตัวเองมาทำเรื่องนี้หรือชวนไปขายของในเมืองมหาวิทยาลัยเลย พ่อของเขาไปด้วยไม่ได้ เขาก็ไม่เรียกพี่ชายของตัวเอง กลับเรียกจิ้นตั๋งที่เป็นพี่รองของภรรยาไปช่วยแทนโดยที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวอะไรกับพี่ชายของเขาเองสักนิด

เหนืออื่นใดนั้น ตอนที่สวนผลไม้บนภูเขามีงานมากมาย เขาถึงเรียกพวกเขามาช่วยงานแล้วคำนวณค่าแรงให้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นเจี้ยนอวิ๋นไม่เคยขอให้เหล่าพี่ชายของเขาเองมายุ่งเกี่ยวด้วยเลย

คุณแม่จี้ก็มีความคิดในเรื่องนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้นางยังมองไม่ไกลนัก ในความคิดของนางแล้ว พวกเขาเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ส่วนคน ๆ นั้นเป็นพี่ชายของภรรยา ต่อให้จะสนิทกันมาก อย่างไรก็ไม่อาจสู้พี่น้องของตัวเองได้หรอกถูกไหม?

เขาเลือกที่จะไม่ขอความช่วยเหลือจากพี่น้องตัวเอง แต่กลับขอความช่วยเหลือจากคนนอกเนี่ยนะ?

แต่ตอนนี้นางรู้แจ้งแล้ว

เจี้ยนอวิ๋นทำถูกแล้วจริง ๆ ทั้งลูกคนโตกับลูกคนรองล้วนเป็นหมาป่าตาขาว ขนาดภรรยาตัวเองยังควบคุมไม่ได้ แล้วจะให้พวกเขาทำอะไรได้?

ถึงเจี้ยนอวิ๋นจะทำดีต่อพวกเขา แต่ดูจากนิสัยของพวกเขาแล้ว ถ้าเรื่องมันเป็นไปด้วยดีก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น ก็เป็นเขาเองที่จะถูกตำหนิและกลายเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ

ถึงจะมีพี่น้องดีแค่ไหน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจให้ทำด้วยได้

ซึ่งคุณแม่จี้เองก็ยอมรับว่าลูกคนโตกับลูกคนรองนั้นด้อยกว่าซูจิ้นตั๋งเสียอีก

แต่โชคดีที่นางยังมีลูกคนเล็กผู้รักษาสัจจะ เจี้ยนเหวินเองก็เป็นคนดี มีหน้าที่การงานมั่นคงและยังซื้อบ้านอยู่ในเมือง แบบนี้นางคงจะไม่ถูกตระกูลซูเยาะเย้ยแน่นอน

ฝ่ายคุณแม่ซูที่ไม่รู้ว่าเป็นเป้าความคิดของคุณแม่จี้ก็กำลังต้อนรับลูกชายคนรองอยู่ ซึ่งซูจิ้นตั๋งนำเนื้อชิ้นหนึ่งกับเนื้อซี่โครงขนาดใหญ่สองแพมาให้แล้วก็เอ่ยขึ้น “แม่ครับ นี่เป็นของที่แม่ของสือโถวเอามาให้แม่บำรุงร่างกาย แม่กินให้หมดเลยนะครับไม่ต้องเก็บไว้ กินหมดแล้วเราค่อยซื้อใหม่ก็ได้”

คุณแม่ซูรู้สึกปวดใจนักเมื่อเห็นเนื้อมากขนาดนี้ นางพูดขึ้น “แกนี่ชอบใช้จ่ายเงินเสียจริง ๆ กลัวว่าไม่มีเนื้อแล้วฉันจะกินข้าวไม่ได้เหรอ?”

เนื้อนี่มันราคาเท่าไรกันล่ะ?

นางรู้ว่าตอนนี้ลูกชายคนรองกับลูกสะใภ้ยืมเงินมากว่า 1,000 หยวนเพื่อซื้อบ้านในเมือง ตอนนี้ก็เป็นหนี้อยู่ไม่น้อย แต่ทำไมถึงซื้อเนื้อมาให้อีก?

“ซื้อมาทั้งทีก็กินเสียเถอะครับ” ซูจิ้นตั๋งพูด “ผมยังไม่ได้บอกแม่เลยสินะครับว่าผมสะสมฟักทองกับฟักเขียวไว้ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ผมก็คงไม่ได้ขายของแล้ว”

“ไปเถอะ ขับรถระวังด้วยล่ะ” คุณแม่ซูไล่

ซูจิ้นตั๋งจึงขับรถจากไป ส่วนไข่นั้นไม่จำเป็นต้องนำมาให้ แม่ของเขาเลี้ยงไก่อยู่กว่า 10 ตัว นางไม่มีทางขาดแคลนไข่หรอก ดังนั้นเขาจะแวะมารับไปขายเป็นระยะก็แล้วกัน

“คุณแม่คะ น้องรองเอาเนื้อมาให้อีกแล้วเหรอคะ?” สะใภ้ใหญ่ซูเปิดประตูเดินออกมา และหล่อนก็ยิ้มในทันทีที่เห็นเนื้อกับเนื้อซี่โครง

“อืม เย็นนี้กินเนื้อซี่โครงกันเถอะ ส่วนเนื้อนั่นเก็บไว้กินวันปีใหม่” คุณแม่ซูผู้มีชีวิตที่ดีพูดกลับ

สะใภ้ใหญ่ซูพยักหน้ารับ “ดีแล้วค่ะ แต่ถึงตอนนั้นน้องเขยก็คงจะนำเนื้อมาให้อีก ทำไมไม่กินในขณะที่กำลังมาใหม่ ๆ ในช่วงนี้ก่อนล่ะคะ?”

“เธอนี่มันตะกละจริง ๆ!” คุณแม่ซูเอ่ยเสียงขุ่น

นางเมินหล่อนและเดินเข้าไปในครัว ก่อนหยิบเกลือมาละเลงบนเนื้อ กะว่าจะเก็บไว้กินช้า ๆ

สะใภ้ใหญ่ซูเม้มปาก แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ดีใจที่ได้เห็นซี่โครงสองแพนี้

ทั้งครอบครัวมีความสุขกับการกินข้าวหน้าซี่โครงหมูน้ำแดงในเย็นนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะหอมอร่อยขนาดไหนเลย

นี่คือสิ่งที่ลูกชายคนรองตอบแทนกับนาง แม้ยายเฒ่าจี้นั่นจะมีลูกชายอย่างเจี้ยนอวิ๋นที่พอจะเชิดหน้าชูตาได้ แต่นางก็มีคนหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องอิจฉาอีกฝ่ายเลย

แม้แม่เฒ่าทั้งสองจะปล่อยวางความกินแหนงแคลงใจแต่ก่อนเก่าและคืนดีกันแล้ว แต่ลึก ๆ แล้วพวกนางก็ยังแข่งประชันกันอยู่โดยไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร

“พอถึงสิ้นปีแล้ว ฉันจะไปหาจิ้นตั๋งสัก 2-3 วัน พวกเธออยู่ดูแลไก่ที่บ้านด้วย ไก่พวกนั้นฉันเป็นคนดูแลมาโดยตลอด ถ้าเกิดฉันเห็นว่าพวกเธอขี้เกียจ ก็อย่าหวังว่าปีนี้จะได้กินอะไรดี ๆ เลย ได้ยินไหม?” คุณแม่จี้พูดขณะจ้องมองซูจิ้นจวินลูกชายคนโตและสะใภ้ใหญ่ซู

“แม่ไปช่วยงานเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่บ้านหรอกครับ” ซูจิ้นจวินเอ่ยทันที

สะใภ้ใหญ่ซูเองก็รู้เช่นกันว่าถ้าพวกเขาดูแลบ้านกันดี ๆ สิ้นปีนี้พวกเขาจะได้กินของดี หล่อนจึงพูดว่า “คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีไม่ให้คุณแม่ผิดหวังเลยค่ะ!”

คุณแม่ซูพยักหน้าขณะคิดถึงเรื่องที่ลูกคนรองของนางติดหนี้พี่เขยอยู่มากมาย นางไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนั้นมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ดังนั้นนางจึงจะไปช่วยงานเขา เพื่อที่จิ้นตั๋งจะได้มีเวลาไปรวบรวมหัวไชเท้ากับผักกาดขาวมาขาย เช่นเดียวกับฟักเขียว ฟักทอง เห็ดและของแห้งอื่น ๆ ที่ชาวบ้านเก็บเตรียมไว้ให้ในบ้าน

แม้มันจะเป็นสิ้นปีแล้ว แต่ในวันต่อมาคุณแม่ซูก็มาหาลูกคนรองพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า

ซูจิ้นตั๋งย่อมดีใจเมื่อเห็นแม่ของเขามาหา ตอนนี้สะใภ้รองซูมีชีวิตที่ดีมากแล้ว แม้จะเคยเกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นในอดีต แต่ในคราวที่แล้วที่ซูจิ้นตั๋งไปช่วยจี้เจี้ยนอวิ๋นขายของที่เมืองมหาวิทยาลัย คุณแม่ซูก็ได้มาช่วยงานอย่างดีที่สุดเช่นกัน และนั่นก็ทำให้สะใภ้รองซูถึงกับโล่งอก เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องดูแลหลานหรือขายของในร้าน คุณแม่ซูก็ทำได้ดีทั้งหมด

ยิ่งกว่านั้นต่อให้มีความรู้สึกระแวงอยู่ในใจบ้าง แต่ตอนนี้หล่อนมีชีวิตดีแบบนี้ได้ก็เพราะอะไรล่ะ? ต้องขอบคุณลูกสาวของนาง ที่หล่อนซื้อบ้านหลังนี้ได้ก็เพราะยืมเงินมาจากน้องสามีเช่นกัน

ด้วยอารมณ์และเหตุผลต่าง ๆ แล้ว สะใภ้รองซูก็ไม่คัดค้านอะไร

นอกจากนี้หล่อนยังยุ่งมากด้วย สะใภ้รองซูจึงได้แต่ต้อนรับคุณแม่ซูเข้าบ้าน

“ฉันอยู่ไม่นานหรอก เสร็จงานครั้งนี้แล้วฉันก็จะกลับ” คุณแม่ซูยืนกราน

………………………………

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท