ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 159 ค่าปรับสิบเท่า

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 159 ค่าปรับสิบเท่า

  

“พี่หงอยู่ที่นี่หรอกเหรอคะ?” ซูตานหงยิ้ม “ถ้ารู้ว่าพี่อยู่ ฉันน่าจะเอางานปักจากที่บ้านมาให้ด้วย”

เจินเหมียวหงไม่คาดคิดว่าเธอจะมาหาในวันนี้ หล่อนทักทายทั้งแม่และลูกชายด้วยรอยยิ้ม “พี่เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้เอง กำลังจะเก็บของแล้วไปหาเหรินเหริน อยากไปเก็บสตรอเบอรี่สด ๆ ด้วยน่ะ ได้ยินเสี่ยวซุ่ยบอกว่าสตรอเบอรี่ที่เธอเอามาฝากครั้งก่อนรสชาติดีมาก แต่พี่ยังไม่ได้กินเลย”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ยุ่งอยู่รึเปล่าคะ? ถ้างานไม่ยุ่งมากไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันที่บ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวตอนกลับฉันจะขอให้เจี้ยนอวิ๋นมาส่งพี่เอง” ซูตานหงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ดีเหมือนกัน พี่ก็ไม่อยากทำอาหารกินคนเดียว” เจินเหมียวหงกล่าว

เมื่อส่งต่อร้านให้เสี่ยวซุ่ยเป็นคนจัดการ เจินเหมียวหงกับซูตานหงจึงกลับไปที่บ้าน ระหว่างทางก็พูดคุยกันถึงเรื่องที่เข้ามาในเมืองวันนี้

ซูตานหงบอกเล่าด้วยรอยยิ้ม “เจี้ยนอวิ๋นยังทำสัญญาซื้อภูเขาของคุณลุงที่อยู่ข้างกันอีกนะคะ”

“ภูเขาที่เธอให้พี่ดูครั้งก่อนน่ะเหรอ? ดินตรงนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พี่เดาว่าคงปลูกผลไม้ไม่ขึ้นใช่ไหม?” เจินเหมียวหงกล่าว

หล่อนเคยไปที่นั่น ตอนนั้นซูตานหงก็บอกเองว่าดินตรงนั้นคุณภาพไม่ค่อยดี

แม้เจินเหมียวหงจะไม่เคยทำไร่ไถนา แต่ก็พอมีความรู้อยู่บ้าง

“มันปลูกไม่ขึ้นค่ะ เลยเปลี่ยนมือมาให้เจี้ยนอวิ๋นดูแลแทน” ซูตานหงบอก

เจินเหมียวหงขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วเจี้ยนอวิ๋นไปตกลงได้ยังไง? ถึงแม้ว่าจะเป็นลุงของเขา แต่ภูเขาลูกนี้ดินไม่ดี เขาไม่รับมาไม่ได้เหรอ?” แม้ราคาจะไม่แพง แต่ก็ไม่จำเป็นไม่ใช่เหรอ?

“คนอื่นอาจจะทำไม่สำเร็จ แต่ถ้าเป็นฝีมือของเจี้ยนอวิ๋นอาจจะปลูกผลไม้ขึ้นก็ได้นะคะ” ซูตานหงยิ้ม

เจินเหมียวหงยังคงไม่เห็นด้วย ปัญหาหลักของภูเขานี้อยู่ที่คุณภาพของดิน ไม่ใช่ปัญหาในด้านการจัดการ

“ต่อให้จะปลูกได้หรือไม่ได้ ตอนนี้ก็ลงต้นกล้าผลไม้ไปเกือบหมดแล้วค่ะ แถมยังมีแผนจะทำเล้าไก่เพื่อเลี้ยงไก่เพิ่มด้วยนะคะ” ซูตานหงกล่าว

“จะเลี้ยงเพิ่มเหรอ? แล้วจะขายมันด้วยรึเปล่า?” เจินเหมียวหงถาม

หล่อนเคยไปเยี่ยมสวนผลไม้ของซูตานหง ที่นั่นมีโรงเรือนสำหรับเลี้ยงไก่อยู่แล้ว ทั้งยังเลี้ยงไก่ไว้หลายร้อยตัว ได้ยินว่าช่วงฤดูหนาวปีที่แล้วมีการสร้างโรงเลี้ยงไก่ขึ้นใหม่และเลี้ยงเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเยอะมาก

อาศัยร้านของซูจิ้นตั๋งในเมืองเพียงร้านเดียวคงขายได้ไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังเคยได้ยินถึงความสามารถในการออกไข่ของไก่บนภูเขา โดยพื้นฐานแล้วแม่ไก่ 1 ตัวจะออกไข่ได้ 1 ฟองต่อวัน แต่แม่ไก่บางตัวสามารถออกไข่ได้ถึง 2 ฟองต่อวันเลยทีเดียว

จะไปขายไข่ไก่จำนวนมากขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน?

“เมื่อวานนี้เจี้ยนอวิ๋นไปที่เมืองมหาวิทยาลัยเพื่อจัดตั้งร้านขายของ วันนี้ฉันเลยไปหาพี่เหอและขอให้หล่อนกับพี่ใหญ่ซุนเก็บของเพื่อไปดูร้านในเมืองมหาวิทยาลัยด้วยกันค่ะ” ซูตานหงกล่าวด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

เมื่อเจินเหมียวหงได้ยินอย่างนั้นจึงเข้าใจทะลุปรุโปร่งในทันทีและพลันยิ้มออกมา “ตกลงว่าพวกเธอสองคนไปเปิดร้านที่เมืองมหาวิทยาลัยโดยที่ฉันไม่ทันรู้ตัวสินะ”

“พวกเราจะเทียบกับพี่หงได้ยังไงล่ะคะ?” ซูตานหงยิ้ม

เจินเหมียวหงก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หล่อนหาเงินได้มากจริง ๆ อาจกล่าวได้ว่ารายได้ของหล่อนสูงกว่าเงินเดือนของสามีถึง 10 เท่าทีเดียว

“ตานหง พี่ได้ข่าววงในมาว่าตอนนี้เมืองของเรากำลังจะได้รับการพัฒนา ถ้าเธอกับเจี้ยนอวิ๋นยังพอมีเงินที่บ้าน ควรซื้อร้านค้าสำหรับทำธุรกิจในระยะยาวนะ อย่าเช่าจากคนอื่น ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาตามมามากมาย พวกเธออาจจะถูกขึ้นค่าเช่าทุก 3 ปี 5 ปี นั่นเป็นเรื่องที่น่ารำคาญมาก” เจินเหมียวหงบอก

“ฉันซื้อไปแล้วค่ะ” ซูตานหงพยักหน้า

“งั้นก็ดีแล้ว” เจินเหมียวหงไม่ได้ถามถึงราคาร้านที่ซื้อมา หล่อนรู้ดีว่าว่าร้านค้าขนาดเล็กในเมืองมหาวิทยาลัยนั้นมีราคามากกว่า 4,000 หยวน ส่วนขนาดใหญ่ราคามากกว่า 5,000 หยวนไม่เกินจากนี้

ทั้งสองต่างพูดคุยและหัวเราะกันตลอดทางที่กลับบ้าน

“เธอนี่มีฝีมือจริง ๆ ทำยังไงดอกเบญมาศพวกนี้ถึงได้งอกงามขนาดนี้นะ” ทันทีที่เข้าไปในบ้าน เจินเหมียวหงก็เห็นดอกเบญจมาศที่ปลูกอยู่ในสวน พวกมันทั้งหมดถูกจัดเรียงไว้เหมือนอย่างที่พบเห็นทั่ว ๆ ไป แต่พวกมันล้วนเจริญเติบโตดีมาก ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของกิ่งก้านดอกเบญจมาศได้ในทันที

ซูตานหงยิ้ม “ถ้าพี่ชอบ ฉันจะยกให้พี่สองกระถาง พี่ดูแลมันให้ดีนะคะ ดอกเบญจมาศพวกนี้จะบานสะพรั่งก่อนถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่เกรงใจเธอแล้วนะ พี่อยากได้สองกระถางนี้” แม้เจินเหมียวหงจะรู้ว่าซูตานหงเลี้ยงดอกเบญจมาศไว้ขายทำเงิน แต่หล่อนก็รู้ถึงพื้นฐานทางการเงินของครอบครัวสองสามีภรรยาคู่นี้อีกด้วย

ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่บ้านของพวกเขาตอนนี้ราคาเพิ่มขึ้นสูงมาก บ้านสามหลังที่พวกเขามีอยู่ รวมกันแล้วมีมูลค่ามากกว่า 10,000 หยวนเสียอีก

ตอนนี้มีแค่ไม่กี่ครอบครัวหรอก ที่มีเงินถึง 10,000 หยวน

อีกทั้งยังมีร้านค้าที่เพิ่งซื้อมาด้วย แม้เจินเหมียวหงจะไม่ทราบรายละเอียดที่แน่นอน แต่สถานการณ์ทางการเงินของทั้งคู่ไม่มีปัญหาอะไร

ดังนั้นหล่อนจึงไม่ปฏิเสธน้ำใจของซูตานหง ดอกเบญจมาศสองกระถางนี้สวยเตะตาเธอจริง ๆ ในกระถางมีดอกไม้อยู่มากกว่าสิบดอกขึ้นไป หล่อนจึงจึงมองเห็นมันทันทีที่เดินเข้ามา

ซูตานหงยิ้ม จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ฉีฉีและให้เขาดื่มนมจากอกของเธอ เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว เด็กน้อยก็นอนเล่นบนเตียงตามลำพังอย่างอารมณ์ดี

“ตอนนี้ชีวิตเธอสมบูรณ์แบบแล้ว มีลูกชายติดกันถึง 2 คน เป็นหน้าเป็นตาให้คนเป็นแม่จริง ๆ” เจินเหมียวหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฉันยังอยากมีลูกสาวอีกคนค่ะ” ซูตานหงบอก

“อยากมีลูกสาวเหรอ?” เจินเหมียวหงถามด้วยความงุนงง “ค่าปรับไม่เบาเลยนะ ลูกคนที่สามต้องจ่ายค่าปรับถึงสิบเท่าของคนที่สองเชียว”

“ฉันรู้ค่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก เงินที่หามาก็เพื่อใช้จ่ายให้ชีวิตสุขสบาย” ซูตานหงพูดอย่างไม่ใส่ใจ

ในตอนที่ฉีฉีเกิดเธอจ่ายค่าปรับไป 400 หยวน ถ้าเธออยากมีลูกคนที่ 3 เธอจะต้องจ่ายค่าปรับอีก 4,000 หยวน นี่เป็นเรื่องที่ยอมรับได้

นอกจากนี้เป็นเพราะสองสามีภรรยาไม่ได้ทำงานในหน่วยงานราชการ หากทำงานราชการพวกเขาจะไม่สามารถมีลูกคนที่สองได้เลยด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นคงต้องถูกให้ออกจากงาน

แม้ว่าตอนนี้เจินเหมียวหงจะร่ำรวยเป็นอย่างมาก แต่หล่อนก็รู้สึกประทับใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าเงินทองเป็นของนอกกาย

สำหรับเงิน 4,000 หยวนแล้ว แม้ตอนนี้ราคาบ้านจะสูงขึ้นกว่านี้มาก แต่เงินจำนวนนี้ยังสามารถซื้อห้องชุดได้อย่างสบาย

แต่เงินทั้งหมดได้กลายเป็นค่าปรับการมีลูกแล้ว หากเป็นหล่อนคงลำบากใจไม่น้อย

“พี่หงมาช่วยฉันหน่อยนะคะ ฉันจะทำอาหารเพิ่มอีกสัก 2-3 จานสำหรับมื้อเที่ยงนี้ค่ะ” ซูตานหงพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าฉีฉีหลับไปแล้ว

หงเจี่ยเดินเข้าไปในห้องครัวกับเธอ

ทั้งสองคุยกันพลางทำอาหาร หลังจากนั้นไม่นาน จี้เจี้ยนอวิ๋นก็อุ้มเหรินเหรินกลับมา

“โอ้ เหรินเหรินกลับมาแล้ว จำแม่ทูนหัวได้ไหมจ๊ะ?” เจินเหมียวหงกอดเหรินเหรินแล้วยิ้มออกมา

“สวัสดีครับแม่ทูนหัว ผมจำได้ครับ!” เหรินเหรินพยักหน้าอย่างจริงจัง “ผมเก็บสตรอเบอรี่กลับมาด้วย อยากกินไหมครับ?”

“กินสิ ขอบใจเหรินเหรินมากเลยนะ” เจินเหมียวหงแทบไม่อยากคลายอ้อมกอด หล่อนชอบลูกบุญธรรมคนนี้จริง ๆ เขาดูสง่างามและแข็งแรง เสียงที่เรียกแม่ทูนหัวนั้นนุ่มนวลราวกับน้ำนม หายากนักที่จะเห็นเด็กที่มีเสียงแบบนี้

“แม่ทูนหัวปล่อยผมก่อนนะครับ ผมจะไปล้างสตรอเบอรี่มาให้” เหรินเหรินพูด

“ได้จ้ะ” เจินเหมียวหงปล่อยตัวเขา

เหรินเหรินขอจานจากซูตานหง จากนั้นออกไปล้างสตรอเบอรี่ทีละลูกจนสะอาด แล้วถึงเอากลับเข้ามา

“ขอบใจจ้ะเหรินเหริน” เจินเหมียวหงยิ้มให้เขาด้วยความเอ็นดู

“ลูกนี้ครับ กินลูกนี้ ลูกนี้หวานที่สุด” เหรินเหรินชี้ให้หล่อนดู

“อืม หวานจริง ๆ ด้วย!” เจินเหมียวหงยิ้ม

เหรินเหรินเองก็ยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเอ่ยถาม “แม่ทูนหัวเห็นน้องชายรึยังครับ?”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ตานหงจะมีลูกสาวตอนไหนกันนะ อยากเห็นเลยค่ะ

เหรินเหรินน่ารักน่าเอ็นดูมาก โตขึ้นต้องเป็นคนหล่อทั้งหน้าตาและจิตใจแน่ๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท