ตอนที่ 174 ที่ดิน 30 หมู่
แม้ว่าจะตกลงเช่าเป็นเวลา 70 ปี แต่เมื่อนำเงินมาชำระ ณ ที่ว่าการกลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้
“ให้เช่าได้แค่ 30 ปีเท่านั้นแหละครับ เช่า 70 ปีได้ที่ไหนกันล่ะ? ไม่ใช่ที่บนเขาสักหน่อย” นายอำเภอบอก
ผู้ใหญ่บ้านเองก็ถึงกับแปลกใจ “เช่า 70 ปีไม่ได้เหรอครับ?”
“ไม่ได้หรอก” อีกฝ่ายยืนกราน
ดังนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงทำสัญญาเช่าที่ 30 ปี ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ความผิดของผู้ใหญ่บ้าน เพราะไม่เคยมีลูกบ้านคนไหนทำสัญญาเช่ายาวนานขนาดนี้ ส่วนใหญ่ชาวบ้านก็จะเช่ากันเพียง 10 ปีเท่านั้น
เมื่อทำเอกสารเสร็จ เขาก็มองคร่าว ๆ และคิดว่าค่อนข้างใกล้เคียงกับแผนที่วางไว้คร่าว ๆ เมื่อก่อนหน้านี้อย่างไม่คาดคิด
จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยตอบผู้ใหญ่บ้านที่มาขอโทษเขา “แค่ 30 ปีก็นานมากแล้วล่ะครับ”
ถึงอย่างไรเขาก็ต้องการที่ดิน อีกทั้งยังจ่ายค่าเช่าไปแล้วด้วย
ผู้ใหญ่บ้านพาเขากับคุณพ่อจี้ไปดูที่ดินที่หาเอาไว้ให้เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน
“ไม่เห็นจะดูพิเศษตรงไหนเลย” คุณพ่อจี้ว่าขึ้นอย่างไม่พอใจนักพลางสูบบุหรี่ไปด้วย
“พี่ชาย แต่เรายังไม่ทันได้ลงมือเลยไม่ใช่เหรอ? ที่ตรงนี้ดีที่สุดในหมู่บ้านเราแล้ว ถ้าไม่ใช่เจี้ยนอวิ๋นผมไม่ยกให้ใครหรอกนะ” ผู้ใหญ่บ้านบอก
เขาเองก็รุ่นราวคราวเดียวกับคุณพ่อจี้ แต่กลับมีภรรยาอายุพอ ๆ กับจี้เจี้ยนอวิ๋น หากคิดว่าต่อไปต้องมีการรื้อของเดิมและปรับปรุงที่ดินใหม่อยู่แล้ว ที่ดินผืนนี้ก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
คุณพ่อจี้บอก “ฉันรู้น่า แต่ที่ผืนนี้มันก็ไม่ได้ดีมากสักหน่อยนี่”
“ถ้าเป็นไม่กี่ปีก่อนก็คงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้นั่นแหละ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเจี้ยนอวิ๋นก็คงทำให้เจริญงอกงามได้อยู่แล้วหละ” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยพร้อมยิ้มกว้าง
จี้เจี้ยนอวิ๋นมีสวนอยู่สองแห่ง ที่แรกคุณพ่อจี้ก็คอยดูแลมาก่อนหน้าเขาจะมารับช่วงต่อตั้งหลายปี แต่ก็ไม่มีทีท่าจะว่าไปรอด
แต่หลังจากตกอยู่ในความดูแลของเขา ทุกคนก็ได้เห็นว่ามันให้ผลผลิตได้อย่างมหาศาลจนเห็นแล้วต้องตาลุกวาว ประมาณการได้ว่าคงทำเงินได้ถึง 1,000 ถึง 2,000 หยวนกระมัง?
เมื่อทุกคนเห็นอย่างนั้นแล้ว เจ้าของสวนบนภูเขาอีกหลายรายก็เข้ามาเสนอขายที่ให้เขา และด้วยความสามารถของเขาที่เลื่องลือไปทั่วอำเภอ ก็ทำให้เจ้าของที่จากหมู่บ้านใกล้เคียงมาเสนอขายที่ดินของพวกเขาด้วย
แต่แน่นอนว่าตอนนั้นนอกจากสวนที่รับช่วงต่อจากคุณพ่อกับคุณแม่จี้ เขาก็ไม่มีกำลังไปดูแลสวนอื่นอีก
จนกระทั่งลุงจี้ตัดสินใจขายสวนต่อให้เขาเพราะดูแลไม่ไหวอีกต่อไป กล้าพันธุ์เดิมถูกรื้อถอนออกก่อนจะแทนที่ด้วยกล้าพันธุ์ชุดใหม่
หลังจากนั้นก็จ้างหวังต้ากัง สวี่เจี้ยนกั๋ว และหยางอ้ายเซินมาคอยดูแล เมื่อวานเขาก็เพิ่งแวะมาดูและเห็นว่ากำลังเติบโตได้ดี
ทั้งหมู่บ้านต่างพูดถึงภรรยานำโชคของเขา ตอนแรกเขาเองก็ฟังเป็นเรื่องขำขัน แต่หลังจากได้เห็นผลผลิตในสวนตอนนี้ก็เริ่มจะเชื่อในเทพเซียนขึ้นมาบ้าง
แม้จะจ้างคนงานมาดูแล แต่ก็ยังมีเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่คุณลุงจี้คุณป้าหลี่และคนอื่น ๆ ทำสวนกันอย่างยากลำบากแล้ว พวกเขาก็เกิดความสงสัยว่าน้ำจากบ่อน้ำบ้านของเจี้ยนอวิ๋นคงจะเป็นน้ำวิเศษที่ทำให้เขาทำสวนได้ดีกว่าคนอื่น หลังจากรดน้ำไปได้ครึ่งเดือนมันก็ทำให้พืชผลของเขาเติบโตได้ดี ในขณะที่ต้นไม้ของพวกเขาไม่งอกงามเท่า
ตอนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงมีกิจการเป็นของตัวเองมากมาย
แล้วผู้คนจะคิดอย่างไรล่ะ? คงไม่พ้นบอกว่าเจี้ยนอวิ๋นร่ำรวย และการที่เขาร่ำรวยขึ้นมาได้ก็เพราะมีภรรยานำโชคมาให้ ถ้าเห็นก็จะรู้ได้ทันทีว่าหล่อนเป็นคนมีวาสนา ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ไม่มีวันขาดแคลนเงินทอง
ผู้ใหญ่บ้านถึงได้เชื่อมั่นในตัวจี้เจี้ยนอวิ๋นนัก หลังจากดูที่ดินเสร็จพวกเขาก็เดินทางกลับ
คุณพ่อจี้พ่นควันบุหรี่ก่อนถาม “ที่ดินตั้งกว้าง แกจะเอาไปปลูกอะไรล่ะเจี้ยนอวิ๋น? ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นเช่าที่ดินถึง 30 หมู่* เรียกได้ว่าค่อนข้างกว้างขวาง คุณพ่อจี้เองก็เคยเป็นแต่ช่างไม้และไม่ได้ถนัดด้านนี้มากแม้จะมีสวนที่บ้านอยู่ก็ตาม ส่วนคุณแม่จี้ก็งานยุ่งอยู่แล้ว
*หมู่ = หน่วยที่ดินของจีน โดย 1 หมู่เท่ากับ 660 ตารางเมตร
“ว่าจะปลูกพวกข้าว งา ถั่วลิสง ถั่วเหลืองอะไรพวกนี้น่ะครับ แล้วก็อาจจะมีมันหวานด้วย” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ
ที่วางแผนจะปลูกพืชพวกนี้ก็ด้วยตั้งใจให้ร้านในเมืองมหาวิทยาลัยมีสินค้าหลายหลายมากขึ้น ส่วนมันหวานก็ปลูกไว้กินเองล้วน ๆ เพราะภรรยาของเขาชอบกินมันหวานมาก ต่อให้พวกเขากินไม่ไหวก็ยังมีหมูบนภูเขาอยู่ ซึ่งหมูพวกนี้สามารถกินมันหวานได้
“ตอนนี้ถือว่าช้าไปแล้วล่ะ รีบให้คนมาปรับปรุงหน้าดินและลงปลูกปีหน้าได้แล้ว” คุณพ่อจี้แนะ
เพราะตอนนี้เข้าช่วงเดือนตุลาคมแล้วแต่ยังไม่ทันได้เตรียมอะไรไว้ปลูกเลย
“ตอนนี้งานในสวนก็ไม่ค่อยมีแล้ว ให้คนงานลงมาเตรียมดินไว้แล้วกันครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
คุณพ่อจี้เห็นด้วยเพราะตอนนี้ก็พ้นฤดูกาลผลไม้ไปแล้ว เหลือเพียงรอเก็บเกี่ยวลูกพลับซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ส่วนเรื่องทำความสะอาดเล้าไก่นั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงขึ้นมาประกาศกับคนงานว่าจะลงมือเตรียมดินในวันพรุ่งนี้ เสร็จงานนี้พวกเขาจะได้หยุดพัก 3 วัน แล้วฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็จะขึ้นเงินเดือนให้อีกด้วย!
พวกเขาได้ยินดังนั้นก็พากันตื่นเต้นดีใจ
คุณแม่จี้แอบลากตัวลูกชายมาคุย “นี่แกจะขึ้นเงินเดือนจริงเหรอ? แค่ 30 หยวนก็มากพอแล้วนะ!”
จี้เจี้ยนอวิ๋นอธิบาย “ผมวางแผนเอาไว้แล้วครับ ไม่ต้องห่วง ว่าแต่ช่วงนี้เยียนเอ๋อร์อยากได้หนังสือภาพนี่ครับ ซื้อมาให้เธอหน่อยสิครับ”
“เล่มเก่าที่ซื้อให้ยังอ่านไม่จบเลยนะ” นางท้วง
“เธอดูจนเบื่อแล้วล่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม เขาเคยชินกับการดูแลหลานสาวเหมือนลูกของตัวเองไปเสียแล้ว
ส่วนเรื่องการขึ้นเงินเดือนนั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เพราะที่ผ่านมากิจการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะร้านที่เมืองมหาวิทยาลัย ผู้คนในเมืองต่างก็ได้ขึ้นเงินเดือนกัน บางคนได้เดือนละ 40 หยวน บางโรงงานก็ให้เงินอย่างน้อยถึง 50 หยวน
เมื่อขายสินค้าได้แพงขึ้น รายได้ปีนี้ก็มากกว่าปีก่อนตามไปด้วย ดังนั้นการขึ้นเงินเดือนจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ที่สำคัญคือการที่คนงานตั้งใจทำงานต่างหาก
และเขาก็เลือกจ้างแต่คนที่ขยันขันแข็งมาทั้งนั้น
ในวันที่สามนี่เอง นอกจากจี้หงจวินที่ได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดเล้าไก่ที่สวนบนเขา คนอื่น ๆ รวมถึงซูจิ้นจวินต่างลงไปทำงานด้านล่างกัน
สวนอีกแห่งก็เหลือเพียงหวังต้ากังกับคุณลุงจี้อยู่ดูแลไก่และหมู ส่วนสวี่เจี้ยนกั๋วกับหยางอ้ายเซินก็ตามไปสมทบกับงานด้านล่าง
ในยามกลางคืนแม้สวนนี้จะมีรั้วรอบขอบชิด แต่สุนัข 3 ตัวที่เลี้ยงไว้เฝ้าสวนก็ยังเล็กอยู่ จึงยังต้องให้คุณลุงจี้อยู่ดูแลเป็นหลัก ส่วนหวังต้ากัง สวี่เจี้ยนกั๋ว และหยางอ้ายเซินก็จะสลับกันขึ้นมาเฝ้าเวร ไม่เหมือนสวนอีกที่ที่มีทั้งคุณพ่อคุณแม่จี้อยู่เฝ้ากับเยียนเอ๋อร์พร้อมสุนัขตัวใหญ่ถึง 3 ตัว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ที่ดินเกือบสองหมื่นตารางเมตรหรือสิบสองไร่กว่านี่ถือว่าเยอะมากเลยนะคะ ต้องใช้คนงานเยอะอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าไม่ใช้เครื่องจักรมาช่วย
อยากรวยบ้างจังค่ะ จะได้เอาเงินไปซื้อที่มาปลูกอะไรแบบนี้บ้าง
ไหหม่า(海馬)