ตอนที่ 176 ประทับใจในตัวว่าที่ลูกเขย
“จะเลือกสามีให้ลูกทั้งทีก็ต้องผ่านตาแม่ยายก่อนอยู่แล้วสิ” น้าไช่รู้ได้ทันทีว่าคุณแม่จี้ยอมเปิดใจแล้ว ก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ฉันจัดการให้เอง รอสักสี่วันแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันจะกลับมาช่วงสุดสัปดาห์”
“ได้สิ ช่วงนี้เราไปมาหาสู่กันบ่อย ฝากเรื่องนี้ด้วยแล้วกันนะ” คุณแม่จี้เอ่ย
น้าไช่พยักหน้ารับก่อนจะเริ่มเล่าประวัติว่าที่ลูกเขย “รายได้ไม่แย่เลยนะ นับรวมกับเงินพิเศษก็ได้ถึง 20 หยวนต่อเดือนเลย แถมพี่พักกับอาหารทางโรงเรียนก็มีให้ เรียกได้ว่าเก็บเงินได้เยอะเลยแหละ แล้วอาชีพอาจารย์ก็มั่นคงดีด้วย ต่อไปก็คงไม่ลำบากแน่ ๆ ลูกคนเล็กของเธอก็ทำอาชีพนี้ไม่ใช่เหรอ? เธอก็น่าจะรู้ดีนี่”
คุณแม่จี้พยักหน้า
“ฉันลองถามเขาดูว่าเก็บเงินไว้เองหรือให้พ่อแม่ เขาก็บอกว่าถึงจะเก็บไว้เองบ้างแต่ก็สำนึกในบุญคุณของพวกท่าน เขาเองก็รู้ดีว่าต้องเก็บเงินไว้ยามที่มีครอบครัวเป็นของตัวเอง” น้าไช่บอกต่อ
คุณแม่จี้พอใจที่ได้ยินเช่นนั้นเสียจนแทบอยากจะเรียกลูกสาวกลับมาในตอนนี้
หากแต่นางก็ยังเก็บสีหน้าให้สงบนิ่งไว้ได้ และส่งยิ้มให้อีกฝ่าย “ถ้าดีอย่างที่เธอพูดจริง ฉันจะตอบแทนให้อย่างงามเลย”
“ตอบแทนอะไรกันล่ะ? ฉันเห็นอวิ๋นอวิ๋นมาตั้งแต่เด็ก ต้องอยากให้เธอมีอนาคตสดใสอยู่แล้ว” น้าไช่เอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
คุณแม่จี้เองก็ยินดีที่ได้ยินเช่นนั้น
แม้จะมีแค่น้าไช่กับผู้ช่วยอีก 2 คน แต่ก็ทำลูกพลับแห้งเสร็จในเวลาไม่นาน
ตอนนี้เหลือเพียงรอให้ลูกพลับคายน้ำและแห้งลงเท่านั้น
ซูตานหงรู้เพียงว่าน้าไช่คุยเรื่องลูกเขยกับแม่สามี แต่ไม่รู้ว่านางจะไปพบเขาวันนี้ เธอไม่ได้ออกความเห็นอะไรแต่ก็เห็นว่านางกระตือรือร้นมาก ส่วนจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน
เธอเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง เมื่อน้าไช่กับคุณแม่จี้ออกจากบ้านไป
จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม “ลูกคนเล็กของตระกูลคนขายเนื้อหลี่ที่หมู่บ้านต้าวานเหรอครับ?”
“ค่ะ” เธอถามกลับ “รู้จักเหรอคะ?”
“เคยเจออยู่บ้างครับ” เขาบอก “ผมก็พอดูออกนะว่าเขาเป็นคนดี ถ้าทนอยู่กับอวิ๋นอวิ๋นได้ก็คงดี”
บ้านตระกลูหลี่ก็ดีมากเช่นกัน เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กว่าคนขายเนื้อหลี่เชี่ยวชาญเรื่องการชำแหละหมู แม้ตอนนั้นจะยังไม่รู้ความ แต่ก็ชื่มชมในความเก่งไม่น้อย พอโตมาจึงมีโอกาสได้หาวิชาความรู้เรื่องเชือดหมูจากอีกฝ่าย
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ต้องเข้าประจำการทหาร
ที่พอจะจำได้จากสมัยเด็ก ๆ ก็มีเพียงเท่านี้
ซูตานหงเอ่ย “อวิ๋นอวิ๋นจะชอบเขาไหมคะ?”
“ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วล่ะ บ้านคนขายเนื้อหลี่เป็นคนดี ไม่อย่างนั้นน้าไช่ไม่แนะนำให้หรอกครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ
เธอพยักหน้ารับรู้
หากจี้อวิ๋นอวิ๋นมีอนาคตสดใส พ่อแม่สามีของเธอก็คงจะเบาใจได้เช่นกัน แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับน้องสามี แต่ก็ไม่ถึงขั้นแช่งชักหักกระดูกให้ล่มจม
คุณแม่จี้กับน้าไช่ออกไปตั้งแต่เช้าก่อนกลับมาในตอนเที่ยง ซูตานหงเห็นสีหน้าปลาบปลื้มของนางแล้วก็ยิ้มตาม “คุณแม่คะ เป็นยังไงบ้าง?”
“ถ้าไม่มีปัญหาอะไร อวิ๋นอวิ๋นก็ถือว่าโชคดีมากเลยล่ะ” นางบอกพร้อมรอยยิ้ม
หากเป็นคนอื่นนางคงจะเก็บอาการไว้บ้าง แต่กับลูกสะใภ้คนสนิทแล้วนั้นไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีก
นางพึงพอใจในตัวชายหนุ่มคนนี้มาก เขาสูงผอม แม้ไม่กำยำมากแต่ก็ดูดีทีเดียว จริงอย่างที่น้าไช่บอกว่าสูสีกับเจี้ยนอวิ๋น ที่ต่างออกไปก็คือดูมีการศึกษาสูง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นครูบาอาจารย์
เขาทั้งมีความรู้และสอนหนังสือในระดับชั้นสูงสุดคือระดับมัธยม แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่โรงเรียนไว้วางใจ เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มอนาคตไกลเชียวหละ
นอกจากนี้ครอบครัวคนขายเนื้อหลี่ก็มีทั้งหมู ไก่ และที่ดินอีกมาก
โดยรวมแล้วนับว่าชาติตระกูลดี ชนิดที่ทุกวันนี้หาตัวจับได้ยาก
คนขายเนื้อหลี่กับภรรยาก็ยังอายุไม่มาก แค่ 50 ต้น ๆ เท่านั้นเอง
อีกทั้งครอบครัวของเขายังใจกว้าง ถึงขนาดบอกออกมาเองว่าถ้าลูกชายคนเล็กแต่งภรรยาเข้าบ้าน ก็ไม่ได้หวังให้ลูกสะใภ้ทำอะไรให้
แม้คุณแม่จี้จะตกลงปลงใจกับว่าที่ลูกเขยคนนี้ แต่ก็ต้องการเจอหน้าก่อน และนางก็พบว่าคิดเห็นตรงกันกับครอบครัวหลี่ไม่ใช่เหรอ?
เมื่อเป็นดังนี้นางจึงมีท่าทียินดีไม่น้อย
“อวิ๋นอวิ๋นน่าจะกลับมาช่วงปีใหม่ ตรงกับวันหยุดหน้าหนาวของเขาพอดี ให้เขาแวะมาหาหล่อนที่บ้านสิคะ” ซูตานหงเห็นแม่สามีมีความสุขก็อดยิ้มตามไม่ได้
“ได้สิ!” คุณแม่จี้พยักหน้ารับ “เดี๋ยวฉันจะไปโทรศัพท์ที่ที่ทำการหมู่บ้านก่อนแล้วกัน”
ซูตานหงรู้ว่านางคงจะไปโทรหาจี้เจี้ยนเหวิน เพราะจี้อวิ๋นอวิ๋นมักจะแวะไปบ้านพี่สี่ที่เจียงสุ่ยอยู่เสมอ
และจี้อวิ๋นอวิ๋นก็อยู่ที่เมืองเจียงสุ่ยตามที่เธอคาดไว้จริง ๆ
พี่สี่ซื้อบ้านที่ทั้งทิวทัศน์ดี พื้นที่กว้างขวางกว่า 80 ตารางเมตร มี 2 ห้องนอน มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำอย่างละห้อง พร้อมระเบียงสวย ๆ
คนที่ซื้อบ้านที่นี่ต่างก็มีฐานะกันทั้งนั้น อย่างตอนที่พี่สี่ซื้อบ้านหลังนี้ ถึงจะยืมเงินจากพ่อแม่แต่ก็ใช่ว่าจะไม่คืนเสียหน่อย แต่ก็ยังมีใครบางคนโวยวายเรื่องนี้อยู่ได้
ดูสิว่าตอนนี้ราคาขึ้นมากขนาดไหน? เพียงแค่ 2 ถึง 3 ปีก็เพิ่มมากว่าครึ่งแล้ว!
พี่สี่กับพี่สะใภ้สี่ช่างมองการณ์ไกล ตอนนี้ก็มาตั้งรกรากกันที่เมืองเจียงสุ่ย พอเยียนเอ๋อร์โตไปก็จะมีแต่คนอิจฉา ไม่เหมือนพี่สาม ถึงแม้จะมีเงินทองมากแต่ก็อ่านเขียนไม่คล่อง วิสัยทัศน์ก็คับแคบ เอาแต่คิดว่าจะทำมาหากินในบ้านเกิด แล้วจะไปมีอนาคตได้อย่างไรกัน?
“อวิ๋นอวิ๋น” จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่ตะโกนเรียกเมื่อเห็นหล่อนเดินไปมาอยู่ชั้นล่าง
“พี่สี่กับพี่สะใภ้นี่เอง!” จี้อวิ๋นอวิ๋นฉีกยิ้มกว้างทักทายพวกเขา
“กินข้าวหรือยังล่ะ?” จี้เจี้ยนเหวินถาม
“กินแล้วค่ะ หนูออกไปกินเกี๊ยวแล้วก็เดินเล่นมา แล้วพวกพี่กินมาจากโรงเรียนแล้วใช่ไหมคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นถามกลับ
“อืม” จี้เจี้ยนเหวินตอบ
อวิ๋นลี่ลี่เอ่ย “คุณแม่โทรมาหาด้วยนะ”
“แม่บอกว่าอะไรเหรอคะ?” ทั้งสามพูดคุยกันระหว่างเดินขึ้นบันได
“ไม่ได้บอกอะไรหรอก แค่บอกให้อยู่ที่นี่แล้วก็กลับไปบ้านตอนวันปีใหม่กับเราเฉย ๆ” จี้เจี้ยนเหวินบอก
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเรากลับไปวันปีใหม่กัน” จี้อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้ารับรู้
“แล้วเรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง? ทำไมไม่ไปเรียน? ไม่อยากเรียบจบหรือยังไงกัน?” จี้เจี้ยนเหวินเตือนน้อง
“ไม่เห็นต้องสนใจเรื่องวุฒิอะไรนั่นเลยค่ะ ไม่มีประโยชน์สักนิด แถมโรงเรียนก็น่าเบื่อด้วย หนูไม่เห็นจะอยากไปเลย” หล่อนทำหน้างอ
“ใครบอกว่าการเรียนเป็นเรื่องง่ายกันล่ะ อย่างนั้นก็คงอ่านไปสอบเองได้แล้วสิ” ทำอย่างไรจี้เจี้ยนเหวินก็ไม่ชินกับเรื่องนี้สักที
“พี่เลิกพูดเรื่องนี้กับหนูเถอะ สอนหนังสือมาทั้งวันแล้ว พักบ้างเถอะค่ะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นตัดบท
อันที่จริงจี้เจี้ยนเหวินก็เหนื่อยใจ แต่เมื่อนึกถึงที่แม่บอกว่าจะพาน้องไปเจอว่าที่ลูกเขย ก็ไม่คิดเคี่ยวเข็ญเธอเรื่องนี้อีก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขนาดพี่สี่ยังเหนื่อยกับนิสัยเธอเลยอวิ๋นอวิ๋น ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย เป็นกรรมของบ้านหลี่หรือเปล่านะที่จะได้ว่าที่สะใภ้แบบเธอ
ไหหม่า(海馬)