ตอนที่ 215 หล่อนต้องการหย่า!
ว่าจบหล่อนก็ไปเก็บข้าวของในห้องก่อนออกจากบ้านไป!
“นี่ ภรรยาเจี้ยนเหอ เธอจะไปไหนน่ะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นหล่อน
ถึงจะยิ้มให้ หากแต่มันกลับเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
ทุกคนต่างรู้ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นคอยช่วยเหลือญาติอยู่ตลอด ถึงให้น้ำยาฆ่าเชื้อกับลุงจี้มา 1 ขวด ในขณะที่หยางอ้ายเซินกันสวี่เจี้ยนกั๋วได้เพียงครึ่งขวด
เป็นป้าหลี่เองที่ไม่เห็นคุณค่า นางถือตัว คิดว่าหมูกับไก่ของตัวเองได้รับการดูแลอย่างดี ไม่จำเป็นต้องใช้ของแบบนี้ จึงยกให้คนอื่นแทน
ตอนนี้ทั้งหมูและไก่ล้มตายหมดแล้ว
ชาวบ้านรู้กันทั่วว่าไม่นานมานี้ซูเจวียนทะเลาะกับแม่สามีด้วยเรื่องแบ่งหมู หล่อนจึงกระฟัดกระเฟียดกลับบ้านพ่อแม่ไป จนในท้ายที่สุดนางก็ยอมยกให้ตัวหนึ่ง
นับตั้งแต่นั้นซูเจวียนก็คอยดูแลนาง เพราะได้เงินส่วนแบ่งมาไม่น้อย
ตอนนี้อีกฝ่ายไม่เหลืออะไรแล้ว ก็อย่ามาโทษที่หล่อนเก็บข้าวของกลับบ้านแล้วกัน!
“ถ้าจะมาเยาะเย้ยกัน เอาเวลาไปดูไก่ที่บ้านว่าตายหรือยังดีกว่าไหมคะ? เห็นว่าโรคมันติดต่อง่ายซะด้วย!” ซูเจวียนไม่คิดต่อปากต่อคำด้วย ทำเพียงตอกกลับ และกลับบ้านเกิดโดยไม่ชายตามองแม่สามีแม้แต่น้อย
“อะไรกัน เธอจะไปไหนน่ะ?” ป้าหลี่เรียกรั้งหล่อนเอาไว้
หากแต่หล่อนกลับไม่เหลียวแลสักนิด และถึงขั้นคิดจะหย่าเสียให้จบ ๆ ไปด้วย!
ส่วนจี้เจี้ยนเหอก็ช่างไม่เอาไหน แม้พี่ชายของเขาจะไม่เก่งเท่าจี้เจี้ยนอวิ๋น แต่ก็ยังตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง แล้วเขาล่ะ? มีปัญญาทำอะไรได้บ้าง?
ก่อนหน้านี้หล่อนได้ยินว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นเพิ่งจะจ้างคนงานจากหมู่บ้านอื่น 2 คนมาเป็นคนงานและส่งให้ไปเรียนขับรถ ซ้ำยังออกค่าเรียนให้อีกด้วย
พวกเขามาจากต่างหมู่บ้านแท้ ๆ แล้วจี้เจี้ยนเหอล่ะ?
ทั้งที่เป็นญาติกันแต่เขาเคยได้รับโอกาสดี ๆ บ้างหรือเปล่า? แม้แต่งานคนเฝ้าอ่างเก็บน้ำก็ยังตกมาไม่ถึงมือเขาด้วยซ้ำ!
หล่อนหวังว่าเขาจะได้เป็นคนงานที่สวน แต่ตอนนี้ก็มีคนมากพอแล้ว ไม่รู้ว่าจะขาดคนอีกเมื่อไร? หรือต่อให้ขาดคนก็ไม่แน่ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นจะรับเขาทำงานหรือไม่!
สำหรับคนนิสัยอย่างจี้เจี้ยนเหอ แม้เคี่ยวเข็ญให้ไปทำงานแค่ไหนก็คงเปล่าประโยชน์!
หล่อนกลับมาที่บ้านเกิดด้วยความเดือดดาล แม่ของหล่อนรีบยกไก่ต้มมาให้กินด้วยหวังว่าหล่อนจะใจเย็นลงได้บ้าง นางเองก็เลี้ยงไก่ไว้ไม่น้อยเช่นกัน
“แม่คะ แม่ว่าฉันหย่ากับจี้เจี้ยนเหอดีไหมคะ?” ซูเจวียนกล่าวเข้าเรื่องทันที
คุณแม่เจวียนถึงกับชะงัก “เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“แม่ ฉันกับจี้เจี้ยนเหอไปกันไม่รอดหรอกค่ะ ฉันทนอยู่กับตาโง่อย่างเขาไม่ไหวแล้วนะ!”
คุณแม่เจวียนเอ็ดขึ้น “แกคิดจะหย่าเพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ มีผู้หญิงตั้งเยอะที่ยังขึ้นคาน แกเองก็ไม่ได้สะสวยอะไร คิดว่าหย่าไปแล้วจะหาคนที่ดีกว่าเขาได้หรือยังไง? ถึงยังไงเขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องจี้เจี้ยนอวิ๋น สนิทสนมกันอยู่ เป็นแบบนี้แล้วแกห้ามหย่าเด็ดขาด!”
ซูเจวียนท้วง “แต่ฉันทนไม่ไหวแล้วนี่คะ อุตส่าห์เลี้ยงหมู 2 ตัวนั้นมาตั้งนานเท่าไหร่? แต่กลับต้องล้มตายไปหมดเพราะนังแก่นั่น แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะคะ?”
“ก็แยกกันอยู่ซะสิ!” คุณแม่เจวียนว่าขึ้นอย่างหงุดหงิด “บอกให้แยกบ้านมาตั้งนานแล้ว ทำไมแกไม่ทำล่ะ?”
“ต่อให้จี้เจี้ยนเหอแยกบ้านออกมา ฉันก็ยังต้องเลี้ยงหมูอยู่ดีไม่ใช่เหรอคะ?” หล่อนบอก
“งั้นก็แล้วแต่แกเลย เขาน่าจะยังรักแกอยู่ ถ้าโวยวายใส่สักหน่อยเขาต้องเกรงใจแกแน่ รู้จักซูจิ้นจวินใช่ไหมล่ะ?” คุณแม่เจวียนเอ่ย
“รู้สิคะ พี่ชายคนโตของซูตานหงไง” ซูเจวียนกล่าวเสียงแข็ง
“ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาขี้เกียจตัวเป็นขน แต่ดูตอนนี้สิ? เขาไปทำงานทุกวัน แถมเลิกงานตรงเวลาตลอดเลย ได้ยินว่ากำลังจะสร้างบ้านด้วยนะ!” คุณแม่เจวียนบอก
“สร้างบ้านเนี่ยนะ?” ซูเจวียนถึงกับอึ้งไป “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ!”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? เขาทำงานมาเกือบ 2 ปี แถมได้เงินเดือนตั้งเยอะ เห็นว่าคุณแม่ซูไม่ได้แบ่งเงินค่าแรงออกไปแล้ว สะใภ้ใหญ่ซูเลยเก็บเงินได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คิดดูสิว่าจะมีเงินมากขนาดไหน?” คุณแม่เจวียนกล่าวค้าน
“พวกเขาไม่ต้องเสียเงินค่าอาหารกับที่พักด้วยนี่” ซูเจวียนกล่าว
จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนกตัญญูขนาดไหนกันล่ะ? เขามักจะส่งของไปให้แม่ยายอยู่เนือง ๆ แถมส่งข้าวกระสอบใหญ่หนักกว่า 12 ชั่งที่เพิ่งสีไปไม่นานมานี้มาให้นางอีก
เรื่องนี้ต่อให้ไม่บอก ใคร ๆ ก็รู้ได้
ผลพลอยได้ย่อมตกกับครอบครัวซูจิ้นจวิน เพราะพวกเขากินข้าวหม้อเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้พวกเขาถึงเก็บเงินได้มาก อีกทั้งปีนี้ยังได้ขึ้นเงินเดือนเป็น 35 หยวน ตอนนี้ย่างเข้าเดือนเจ็ดแล้ว คิดรวมได้ถึง 275 หยวน และยังมีค่าแรงที่ภรรยาเขาไปรับจ้างเก็บผลไม้หน้าฤดูกาล นับแล้วคงได้ราว 300 หยวน บวกกับรายได้เมื่อปีก่อนประมาณ 200 ถึง 300 หยวน รวมทั้งหมดได้ถึง 600 ถึง 700 หยวน
“เมื่อก่อนพวกเขาตัวเปล่าเล่าเปลือยแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับตั้งตัวกันได้แล้ว!” ซูเจวียนว่าขึ้นอย่างหมั่นไส้
ด้วยเป็นคนหมู่บ้านซูเจี่ยเหมือนกัน หล่อนจะไม่รู้พื้นเพครอบครัวซูจิ้นจวินได้อย่างไร?
หากแต่เมื่อเห็นพวกเขาในตอนนี้ กลับนึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะเคยตกต่ำขนาดนั้น
ซูเจวียนอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ก็เพราะว่ามีจี้เจี้ยนอวิ๋นช่วยไว้ไม่ใช่เหรอ? ขนาดพี่ชายภรรยายังช่วยขนาดนี้ จี้เจี้ยนเหอเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องเขาเอง ยังไงก็ใกล้ชิดกว่าอยู่แล้ว!” คุณแม่เจวียนเอ่ย
“ให้ตายเถอะ โถ่ แม่ไม่รู้หรอกค่ะว่านังแก่นั่นสร้างศัตรูไปทั่วขนาดไหน เมื่อก่อนก็เคยเอาจี้เจี้ยนอวิ๋นไปนินทา บอกว่าที่สวนงอกงามมาได้เพราะตัวเองดูแลมาก่อนไม่งั้นคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ ชาวบ้านก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้นแหละค่ะ!”
หล่อนรู้สึกว่าเหตุที่จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ยอมรับจี้เจี้ยนเหอเข้าทำงานเป็นคนเฝ้าอ่างเก็บน้ำเพราะยังไม่พอใจเรื่องที่แม่สามีหล่อนเที่ยวไปพูดจาไร้สาระแบบนั้น ทั้งที่เป็นงานเฝ้าอ่างเก็บน้ำเป็นง่าย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมให้โอกาส!
“นังแก่นั่นนี่ก็เหลือเกินจริง ๆ ถ้าหล่อนทำเองได้จริงจะขายต่อทำไมล่ะ?” คุณแม่เจวียนกล่าวเย้ย “เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดมากไปกว่านี้แล้ว ตอนนี้หมูก็ตายไปแล้ว แกอยู่ที่นี่อีกหน่อยแล้วกัน ช่วงนี้ก็พยายามข่มสามีหน่อย ไม่อย่างนั้นตอนกลับไปคงได้อยู่ไม่สุขแน่!”
“ฉันว่าจะพาเขาไปหย่า!” หล่อนบอก
“ไม่ได้!” คุณแม่เจวียนค้านหัวชนฝา อุตส่าห์ได้แต่งกับญาติจี้เจี้ยนอวิ๋นทั้งที จะหย่าไม่ได้เด็ดขาด!
“ฉันแค่จะขู่เขาเฉย ๆ ต่างหาก เขาไม่ยอมหย่าอยู่แล้วค่ะ ไม่อย่างนั้นจะมีใครตาบอดมาแต่งกับเขาอีกล่ะ?” ซูเจวียนเอ่ย
ผ่านไป 3 วัน ซูเจวียนก็กลับมาหลังสองแม่ลูกจัดการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในบ้าน ครั้งนี้หล่อนหาเรื่องทะเลาะกับสามีและแม่สามี ก่อนยึดทะเบียนบ้านไว้ หล่อนเอามาเพียงทะเบียนบ้านแต่ไม่ได้เอาทะเบียนสมรสมาด้วย พร้อมข่มขู่ว่าจะหย่าให้ได้!