ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 224 ไปเมืองหลวง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 224 ไปเมืองหลวง?

จี้เจี้ยนเหอที่ถูกจี้เจี้ยนอวิ๋นใช้เป็นวัวเป็นม้า ได้ขับรถสามล้อเพื่อไปส่งสินค้าและวางใบแจ้งชำระตามรายทาง

เมื่อนำเงินทั้งหมดมาให้แล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ออกคำสั่งต่อหน้าเขาอีกครั้ง แม้ว่าจี้เจี้ยนเหอจะเห็นแก่เงิน แต่กับจี้เจี้ยนอวิ๋นเขาก็ไม่กล้าคิดในเรื่องที่ไม่ควรคิด

“ต่อไปก็จัดการแค่เรื่องส่งของเถอะ หลังจากนี้ฉันจะจัดการบัญชีเอง” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด

“ได้” จี้เจี้ยนเหอย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง อย่างไรก็ตามเงินที่นำกลับมาให้ก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียของเขา แบบนี้ยังช่วยเขาได้ไม่น้อย

หลังจากจี้เจี้ยนเหอออกไป จี้เจี้ยนอวิ๋นก็นำเงินมาให้ภรรยาของเขา มันไม่ใช่เงินจำนวนมากนัก เพียงแค่ 80 หยวนเท่านั้น แต่ตอนนี้มีคนมารับสินค้าที่นี่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีของมากและจัดส่งไปได้ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้เสริมอีกทาง

“ปีนี้ราคาเนื้อหมูเพิ่มขึ้นมาก ปีหน้าทุกคนต้องไปเลี้ยงหมูกันหมดแน่เลยค่ะ” ซูตานหงเก็บเงินและพูดกับเขา

เมื่อเธอออกไปซื้อเนื้อหมู ก็พบว่าตอนนี้ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 3 หยวนแล้ว ราคานี้คืออะไรกัน? มันเป็นราคาที่สูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว! แบบนี้ทุกคนจะไม่หวั่นไหวจริงหรือ?

จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า “ปีหน้าราคาหมูจะลดลงแน่นอนครับ”

ในเมื่อทุกคนหันไปเลี้ยงหมูกันหมด แบบนั้นราคาจะไม่ตกได้เหรอ?

“ปีหน้าบ้านเราจะเลี้ยงหมูไหมคะ?” ซูตานหงเอ่ยถาม

“เลี้ยงไม่เยอะครับ สัก 10 ตัวก็พอ” เห็นได้ชัดว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นรู้ดีและวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว

ปีนี้หมูอ้วนตัวใหญ่ทำเงินได้ แต่ปีหน้าคงไม่มีตลาดที่ดีเช่นนี้ ส่วนการเลี้ยงหมูที่เก็บไว้ขายตามปกติถือว่ายังทำได้ เนื่องจากคอกหมูไม่ได้ใช้งานอยู่แล้ว

หมูที่เลี้ยงบนภูเขาตอนนี้อ้วนมาก พวกมันทั้งหมดมีน้ำหนักกว่า 300 ชั่ง หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้น ต้องชั่งน้ำหนักจริง ๆ ถึงจะรู้

หลังจากเข้าสู่เดือนสิบเอ็ด จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เริ่มมีเวลาว่าง แต่เนื่องจากมีกิจการมากมาย เขาจึงเทียวไปเทียวมาทุกวัน เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องให้ต้องทำหลายอย่าง

เหรินเหรินไปหาเยียนเอ๋อร์ที่ภูเขาเพื่ออ่านหนังสือภาพและระบายสี ส่วนฉีฉีก็อยู่เฉยไม่ได้และขึ้นรถไปกับพ่อของเขา

ขณะที่ซูตานหงปักผ้าอยู่ที่บ้านได้ครึ่งทาง เจินเหมียวหงก็มาหา

“ทำไมเธอถึงอยู่บ้านคนเดียว เหรินเหรินกับฉีฉีล่ะ?” เจินเหมียวหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เหรินเหรินไปที่ภูเขา ส่วนฉีฉีอยู่ว่างไม่ได้เลยตามพ่อออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกค่ะ” ซูตานหงหัวเราะพร้อมกับรินชาเก๋ากี้พุทราจีนให้หล่อน “ทำไมวันนี้พี่ถึงว่างได้ล่ะคะ?”

ช่วงนี้หงเจี่ยยุ่งมาก จึงไม่ค่อยได้มาที่นี่

“นี่ใกล้จะปีใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ ปีนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ เลยอยากมาหาเหรินเหรินกับฉีฉีล่วงหน้าน่ะ” เจินเหมียวหงพูดยิ้ม ๆ พร้อมกับวางของขวัญที่หิ้วมาไว้บนโต๊ะ

“คนมาก็ดีแล้ว จะหอบหิ้วของขวัญพวกนี้มาให้รุงรังอีกทำไมคะ?” ซูตานหงเพิ่งสังเกตเห็นว่าหล่อนถือสิ่งของต่าง ๆ มากมายจึงพูดขึ้น

“พวกนี้เป็นนมผงนําเข้าจากเซี่ยงไฮ้ เธอชงให้เหรินเหรินกับฉีฉีดื่มสิ รับรองว่าพวกเขาจะต้องมีร่างกายแข็งแรง” เจินเหมียวหงกล่าว

ซูตานหงคุยกับหล่อนอยู่พักหนึ่ง เจินเหมียวหงก็บอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเธอมากมาย “ตอนนี้การพัฒนาก็เหมือนทุกปี เธอไม่ได้ออกไปไหนเลยไม่ค่อยรู้ ข้างนอกนั่นอย่างกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ฉันเลยอยากจะบอกว่าเธอกับเจี้ยนอวิ๋นลองไปเที่ยวปักกิ่งดูไหม? ไปดูกำแพงเมืองจีนและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก็ได้”

ซูตานหงยิ้มพร้อมกับพูด “ตอนนี้จะว่างที่ไหนล่ะคะ? ทุกวันนี้มีเรื่องต้องทำมากมาย”

“พวกเธอสองคนยุ่งอยู่กับการหาเงินทุกวัน การหาเงินคือการได้มันมาและสนุกกับการใช้มัน ไม่อย่างนั้นแล้วจะหาเงินมาทําไม? อีกอย่างฉีฉีก็ไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้ว ถ้ารอให้เธอตั้งท้องอีกล่ะก็ คงไม่ได้ออกไปไหนกันพอดี” เจินเหมียวหงกล่าว

หล่อนคิดว่าซูตานหงหัวโบราณเกินไปหน่อย นอกจากดูแลสามีและลูก กับทำงานปักผ้าแล้วก็แทบจะไม่ออกไปดูโลกภายนอกเลย

แม้การออกไปข้างนอกจะค่อนข้างเหนื่อย ไม่สบายตัวเหมือนอยู่ที่บ้าน แต่การได้ออกไปเที่ยวข้างนอก ย่อมทำให้วิสัยทัศน์แตกต่างไปจากเดิม

“รอเจี้ยนอวิ๋นกลับมาแล้วฉันจะลองคุยกับเขาดูนะคะ” ซูตานหงพูด

ความจริงแล้วเธอไม่ได้สนใจโลกภายนอกมากนัก แต่เหรินเหรินกับฉีฉีนั้น เธอยินดีที่จะปล่อยให้พวกเขาบินสูงขึ้นและไปได้ไกลขึ้น

เมื่อได้ยินหงเจี่ยพูดถึงกำแพงเมืองจีนก็ทำให้เธอสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร ทั้งยังมีเนื้อหาอยู่ในหนังสือของจี้เสี่ยวตง เธอจึงรอให้จี้เสี่ยวตงเล่าให้ฟัง

ซูตานหงยังเล่าถึงการทำสัญญาเช่าอ่างเก็บน้ำ เจินเหมียวหงจึงได้แต่ทอดถอนใจ “แม้ว่าพวกเธอสองสามีภรรยาจะไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่ก็มีงานให้ทำไม่น้อยเลยจริง ๆ”

กิจการมีมากมายเกินจะจินตนาการถึง ไม่แปลกใจที่จี้เจี้ยนอวิ๋นเคยเป็นทหารอยู่ในกองทัพ เขามีอนาคตที่ดีจริง ๆ

เจินเหมียวหงไม่รีบร้อน หล่อนจึงเดินขึ้นไปหาเหรินเหรินบนภูเขา ขณะที่ซูตานหงกำลังจะเก็บไข่ หล่อนก็รีบห้ามทันที “ไม่เอาหรอก ทางตั้งไกลขนาดนั้น เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่อยู่บ้าน ให้ฉันแบกไปหนักจะตาย”

“งั้นเอาน้ำผึ้งกลับไปสักสองสามกระปุกนะคะ” ซูตานหงบอก

“อันนี้ไม่เลวเลย” เจินเหมียวหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เหรินเหรินชอบแม่ทูนหัวเจินเหมียวหงมาก หล่อนยังพูดกับเขาว่า “ครั้งที่แล้วตอนกลับไปพ่อทูนหัวของหนู เขาบอกให้พาเหรินเหรินไปกินข้าวกับเขาด้วย”

“รอให้ผมโตขึ้นอีกหน่อยนะครับ ผมจะไป” เหรินเหรินพยักหน้าอย่างจริงจัง

“ได้เลย งั้นรอให้เหรินเหรินโตขึ้นนะ” เจินเหมียวหงดีใจมาก

เจินเหมียวหงมักจะออกไปเที่ยวข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงมีวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลมาก ตอนลงจากภูเขาหล่อนจึงพูดกับซูตานหงขึ้นมา “ในอนาคตเธอวางแผนจะให้เหรินเหรินไปเรียนที่ไหนเหรอ?”

“น่าจะเรียนโรงเรียนประถมในเมือง ส่วนมัธยมฉันวางแผนจะให้เขาไปเรียนที่เมืองมหาวิทยาลัยค่ะ” ซูตานหงกล่าว

“โรงเรียนประถมในเมืองล้าหลังอยู่ไม่น้อย รากฐานของเด็กจะต้องวางตั้งแต่อายุยังน้อย และไม่ควรผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น” เจินเหมียวหงบอก

“มันยังไกลเกินกว่าจะมองออกค่ะ” ซูตานหงพูด เนื่องจากการศึกษาของเธอกับเจี้ยนอวิ๋นค่อนข้างจะล้าหลัง

“โรงเรียนแถวบ้านฉันก็ไม่เลวนะ เป็นโรงเรียนของทางรัฐด้วย” เจินเหมียวหงกล่าว หล่อนให้ความสําคัญกับบุตรชายบุญธรรมมาก ในอนาคตเขาจะต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน ดังนั้นหล่อนจึงต้องการที่จะปลูกฝัง

สําหรับหล่อนนั้น เมื่อโตขึ้นแล้ว โรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยก็ไม่จําเป็นต้องกังวล

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ให้เขาอ่านออกเขียนได้ก็พอแล้ว ถ้าในอนาคตเขาทำได้ไม่ดี ก็ต้องตามให้ทันด้วยตัวเอง” ซูตานหงขอบคุณสำหรับน้ำใจของหล่อน แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลยจริง ๆ

เมื่อเห็นว่าเธอไม่สนใจ เจินเหมียวหงก็ไม่ได้ฝืนใจอีก หลังจากกลับมานั่งพักสักครู่ ก็ได้เวลากลับไป

รอจนจี้เจี้ยนอวิ๋นพาฉีฉีกลับมา ซูตานหงก็บอกกล่าวถึงความคิดของเจินเหมียวหงให้เขาฟัง จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้า “ช่างเถอะ ให้เหรินเหรินเรียนชั้นประถมก่อนแล้วกันครับ”

ภรรยาของเขาก็คิดเช่นเดียวกัน

“พี่หงบอกว่าถ้าคุณมีเวลาว่าง ให้พาพวกเราแม่ลูกไปเที่ยวที่กำแพงเมืองจีนด้วยค่ะ” ซูตานหงพูดขึ้นอีกครั้ง

จี้เจี้ยนอวิ๋นอึ้งไปครู่หนึ่ง และเข้าใจทันทีว่าภรรยาของเขาตั้งใจจะไป ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นมาขณะมองไปที่ภรรยา “งั้นผมจะจัดการเอง เราไปปักกิ่งกันดีไหมครับ?”

“มีเวลาเหรอคะ?” ซูตานหงเอ่ยถาม

“ต้องมีสิครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เอาล่ะ ถ้าได้ไปปักกิ่งแล้ววิสัยทัศน์จะกว้างไกลขึ้นไหมนะ ถึงเวลาออกจากคอมฟอร์ทโซนแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท