ตอนที่ 230 ถึงเวลาเชือดหมู!
จางเสวี่ยหลีภรรยาของเหล่าฉินก็อยู่ที่นั่นด้วย หากเป็นแต่ก่อน เมื่อเหล่าฉินพูดเช่นนี้ หล่อนไม่มีทางเห็นดีเห็นงามด้วยแน่
ทำไมครอบครัวของหล่อนต้องขายของตามที่จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกด้วย
แต่หลังจากทะเลาะกับทางบ้านมารดาครั้งล่าสุด ปีใหม่ปีที่แล้วหล่อนก็ไม่ได้กลับไป ปีนี้ก็เช่นกัน อีกไม่นานคงถือว่าตัดขาดกันแล้ว
ดังนั้นตอนนี้หล่อนจึงไม่กล้ามีปากมีเสียง
หลังจากจี้เจี้ยนอวิ๋นจากไป เหล่าฉินก็ให้เป็ดย่างกับหล่อน “เพิ่มเป็นมื้อเย็นวันนี้นะ นี่เป็นเป็ดปักกิ่งของแท้เชียวล่ะ!”
จางเสวี่ยหลีรับเป็ดย่างมาพร้อมกับพูด “ฉันไม่รู้ว่าน้องเขยของเขาเป็นคนไหนน่ะค่ะ”
เหล่าฉินจึงกล่าวว่า “ถ้าเขามาซื้อก็แนะนำไปแล้วกัน”
อันที่จริงเขาก็ไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่เจี้ยนอวิ๋นคงแนะนำไว้แล้ว
เหล่าฉินเข้าใจภรรยาของตนดี ทั้งยังกําชับเป็นพิเศษ “คุณก็ทำตัวสุภาพกับเขาด้วย อย่าได้คิดแสดงสีหน้าออกมา น้องเขยของเจี้ยนอวิ๋นเป็นครูสอนชั้นมัธยมปีที่ 3 อยู่ในเมือง บางทีอาจจะต้องรักษาความสัมพันธ์กับเขาเอาไว้!”
เขาเคยได้ยินเจี้ยนอวิ๋นพูดถึงเรื่องที่หลี่จื้อเป็นครูสอนหนังสืออยู่บ้าง
“เป็นครูด้วยเหรอ?” จางเสวี่ยหลีเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว คนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยสามารถไปสอนชั้นมัธยมปลายได้ แต่เขาเห็นว่าสอนอยู่ในเมืองใกล้บ้านกว่า เลยเลือกที่จะอยู่ในเมือง” นี่คือสิ่งที่จี้เจี้ยนอวิ๋นเคยคุยโม้กับเขา
เดิมทีจางเสวี่ยหลีไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้หล่อนจึงต้องจำเอาไว้ให้ดี
เนื่องจากสิ่งที่สามีของหล่อนพูดนั้นเป็นความจริง แม้ว่าลูกชายทั้งสองจะยังเรียนอยู่ชั้นประถม แต่แค่พริบตาเดียวก็จะได้ขึ้นมาเรียนชั้นมัธยมต้นแล้ว ผลการเรียนของพวกเขาอยู่ในระดับธรรมดา หากอยากอยู่ในห้องดี ๆ คงต้องอาศัยความสัมพันธ์เข้าช่วย
โอกาสในการเชื่อมความสัมพันธ์อยู่ตรงหน้าหล่อนแล้ว ต้องจัดการให้ดี
แต่ผ่านไปหลายวันก็ยังไม่เห็นใครมาซื้อ
จางเสวี่ยหลีจึงไปถามเหล่าฉิน แต่เขาก็ไม่สนใจนัก “คนจะมาก็มา ไม่มาก็คือไม่มา มีอะไรกัน”
ดังนั้นจางเสวี่ยหลีจึงไม่สนใจเรื่องนี้ และหันไปพูดถึงค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นของร้านข้าง ๆ แทน “คุณออกไปข้างนอกเลยไม่รู้ เสียงดังรุนแรงกว่าครั้งที่แล้วอีก!”
“พวกเขายังไม่หมดสัญญาอีกเหรอ?” เหล่าฉินถาม
เขาพอจะรู้จักกับร้านข้าง ๆ แม้ว่าจะทำธุรกิจเหมือนกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็เป็นไปได้ด้วยดี ต่างจากคู่แข่งทั่วไปที่เมื่อพบหน้ากันมักจะบังเกิดความอิจฉาริษยา
ดังนั้นเขาจึงรู้ด้วยว่าสัญญาของร้านข้าง ๆ ยังไม่หมดอายุ
“เจ้าของบ้านยืนกรานจะขอคืน ทำไมเขาต้องสนใจเรื่องสัญญาด้วยล่ะ?” จางเสวี่ยหลีพูดขึ้นอีกครั้ง “โชคดีที่เราซื้อร้านนี้มาเป็นของตัวเองแล้ว!”
“ต้องขอบคุณเจี้ยนอวิ๋น ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตอนนี้เราคงต้องเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้” เหล่าฉินได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้น
ตอนนั้นเขาต้องใช้เงินกว่า 3,000 หยวนเพื่อซื้อร้านนี้ ซึ่งเจี้ยนอวิ๋นพี่น้องของเขาได้ให้ยืมเงินถึง 2,000 หยวน จนตอนนี้ยังชำระไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้ครอบครัวของเขาตั้งรกรากอยู่ที่นี่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะมีชีวิตสงบสุขเช่นนี้ได้หรือ?
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ร้านค้าแห่งนี้ราคากว่า 3,000 หยวน ทว่าตอนนี้กลับพุ่งสูงขึ้นหลายเท่า!
จางเสวี่ยหลีไม่พูดอะไรอีก
คุณพ่อกับคุณแม่ฉินก็ย้ายมาจากบ้านข้าง ๆ ตอนนี้พวกเขาสองผู้เฒ่าก็มาอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว
เมื่อกลับมาก็ถอนหายใจและพูดกับเหล่าฉิน “โชคดีที่เจี้ยนอวิ๋นช่วยให้เราซื้อร้านนี้ได้ ไม่อย่างนั้นครอบครัวของเราคงต้องพบเจอปัญหามากมาย”
ธุรกิจของพวกเขาไปได้ดีมาก เจ้าของบ้านเห็นแล้วจะไม่อิจฉาเหรอ? ร้านที่เช่าก่อนหน้าก็เป็นแบบนี้ โชคดีที่ซื้อมาเป็นของตัวเองแล้ว จึงไม่ต้องวิวาทกับใครอีก
คุณพ่อกับคุณแม่ฉินนั้นชื่นชมจี้เจี้ยนอวิ๋นมาก เมื่อครั้งที่เขายังไม่แต่งงาน ก็เคยไปเยี่ยมที่บ้านอยู่หลายครั้ง คุณแม่ฉินมักจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขาอยู่เสมอ ส่วนความรู้ในการเลี้ยงผึ้งนั้น คุณพ่อฉินก็ถ่ายทอดให้เขาโดยไม่หมกเม็ด
ทว่าสิ่งที่สองผู้เฒ่าทำให้ ยังเทียบไม่ได้กับการที่จี้เจี้ยนอวิ๋นช่วยพวกเขาซื้อหน้าร้านที่มั่นคง เพื่อให้ลูกชายของพวกเขาสามารถวางแผนชีวิตได้
“เก็บเงินได้เกือบครบแล้วใช่ไหม?” คุณแม่ฉินถามลูกชายของนางเป็นการส่วนตัว
เหล่าฉินพยักหน้า “คุณแม่วางใจเถอะครับ อีกไม่นานก็เก็บเงินได้แล้ว พอถึงเวลาผมจะรีบเอาไปคืนเจี้ยนอวิ๋น”
“งั้นก็ดีแล้ว” คุณแม่ฉินพยักหน้า “เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนดีมาก พวกเราจึงไม่ควรช้าเกินไป ไม่ว่ายังไงยืมมาแล้วก็ต้องคืนเขาไป”
เหล่าฉินยิ้ม “ผมจะกล้าเอาเปรียบเจี้ยนอวิ๋นได้ยังไง”
ครึ่งเดือนต่อมา เขาก็นําเงินหนึ่งก้อนมาชำระในส่วนที่ยืมไปก่อนหน้านี้ ที่ผ่านมาเขาได้ชำระเงินไปบางส่วนแล้ว ตอนนี้จึงเหลือค้างเพียง 700 หยวน
“ฉันยังไม่ขาดเงิน” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดกับเขา “นายเอาไปซื้อบ้านก่อนไหม?”
ลูกชาย 2 คนของเหล่าฉิน รวมถึงพ่อแม่ของเขาอาศัยก็อยู่ในร้านด้วยกัน แม้ว่าร้านค้าจะกว้างขวาง แต่ก็ค่อนข้างแออัดยามคนหลายคนอยู่ด้วยกัน
“ปีหน้าค่อยซื้อน่ะ” เหล่าฉินกล่าว
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงรับเงินมา “อีกไม่กี่วันฉันจะเชือดหมูแล้ว ปีนี้หมูราคาแพงหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ถือว่าไม่แพงแล้ว” เหล่าฉินตอบ
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงบอกแก่เขา “ปีหน้าฉันคิดว่าจะไม่เลี้ยงเพิ่ม เลี้ยงแค่ 10 ตัวก็น่าจะพอ”
อย่างไรก็ตาม เขายังมีที่ดินอีกมาก และคนงานบนภูเขาก็ว่างงานเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เลี้ยงหมู แต่ก็ยังมีเงินทุนอยู่
“ไม่เลี้ยงเพิ่มเหรอ?” เหล่าฉินถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาวางแผนจะเลี้ยงหมูสัก 2 ถึง 3 ตัว ตอนนี้ราคาเนื้อหมูอยู่ที่ชั่งละเกือบ 3 หยวน โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เดือนสิบสอง เรียกได้ว่าราคาดีเลยทีเดียว
“ปีหน้าก็ราคาตกแล้ว ไม่ต้องเลี้ยงเพิ่มหรอก” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด
เหล่าฉินได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง “ราคาตกงั้นเหรอ?”
“แน่นอน มันเพิ่มได้อีกไม่นานหรอก” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
“งั้นฉันจะไม่เลี้ยงมันแล้ว กลัวจะไม่ได้ทุนคืน” เหล่าฉินกล่าว
หลังจากจ่ายเงินแล้ว เหล่าฉินก็หยิบตะกร้าไข่อีก 2 ถึง 3 ใบ รวมถึงไก่สดอีกไม่น้อย ทั้งยังนำลูกพลับแห้งมาขายด้วย
“คุณลุงกับคุณป้าดื่มน้ำผึ้งเกือบหมดแล้วใช่ไหม?” จี้เจี้ยนอวิ๋ยเอ่ยถามพร้อมกับหยิบน้ำผึ้งขึ้นมา 2 กระปุก
“ยังเหลืออยู่อีกกระปุก” เหล่าฉินตอบ
“เอากลับไปให้พวกเขาผสมน้ำอุ่นดื่มเถอะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยื่นมันให้เขา
เหล่าฉินจึงรับไปและปั่นจักรยานกลับบ้าน
ตอนนี้ทางฝั่งจี้เจี้ยนอวิ๋นเริ่มงานยุ่ง เนื่องจากถึงเวลาเชือดหมูแล้ว นอกจากหมูอ้วนตัวหนึ่งที่จะฆ่าเป็นอาหาร ยังมีที่เหลืออีก 29 ตัว
สุดยอดไปเลย! หมูทุกตัวล้วนมีน้ำหนักมากกว่า 300 ชั่ง จี้เฟิงที่มาช่วยต้อนหมูเห็นขนาดมันแล้วถึงกับตกตะลึงไป เขารู้สึกว่าอาเจี้ยนอวิ๋นของเขาช่างอัศจรรย์มาก หมูมากมายขนาดนี้ ยังเลี้ยงให้อ้วนพีได้!
เนื่องจากหมูทุกตัว โดยเฉพาะตัวที่ใกล้จะถูกเชือด ต่างได้กินอาหารที่อาของเขา หยางอ้ายเซิน และสวี่เจี้ยนกั๋วทำให้ทุกวัน แม้แต่จี้เจี้ยนเหอยังถูกจี้เจี้ยนอวิ๋นเรียกให้มาช่วยดูแล
หลังจากถูกเขาทุบตีอยู่นาน ตอนนี้ไม่ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นจะสั่งให้ทำงานอย่างไร จี้เจี้ยนเหอก็ทำอย่างเต็มที่ มีอยู่หลายครั้งที่เขาทำตามอำเภอใจ เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นรู้เข้า เขาก็จะถูกทุบตีอยู่ 7 ถึง 8 วัน หลังจากตีเสร็จแล้วยังต้องทำงานอย่างหนัก ช่างน่าอนาถใจนัก!