ตอนที่ 249 พูดเรื่องลูกสะใภ้
ในบรรดาคนที่นึกเสียใจ แม่ของจี้กวงซงก็เป็นหนึ่งในนั้น
จี้กวงซงเป็นลูกชายคนเดียวของคุณแม่และคุณพ่อกวงซง นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าจริง ๆ
เดิมทีสองสามีภรรยาได้เตรียมพร้อมที่จะยอมแพ้เรื่องลูกชายแล้ว แต่สวรรค์กลับสงสารจึงประทานลูกชายให้แก่พวกเขา
แล้วจะไม่นับเป็นสมบัติล้ำค่าได้อย่างไร?
คนในหมู่บ้านที่พร้อมจะดูเรื่องน่าอับอายต่างบอกว่าพวกเขาจะเลี้ยงดูลูกได้ไม่ดีนัก ทว่าเห็นเรื่องน่าอายเกิดขึ้นหรือไม่?
ไม่มีเรื่องน่าอับอายเกิดขึ้นเลยสักครั้ง กวงซงของพวกเขามุ่งมั่นมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งโตขึ้นยิ่งซื่อสัตย์และกตัญญูมากขึ้น
ดังนั้นคุณแม่กวงซงจึงต้องการหาคู่ครองที่ดีให้ลูกชายของนาง หลังจากที่เขาอายุ 16 ปี และไม่ได้เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ก็ได้เริ่มมองหาหญิงสาวที่เหมาะสมกับเขา
แต่หลังจากค้นหามาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เห็นอะไรน่าพอใจเลย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ใช่ว่ามีการพูดถึงภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นหรอกหรือ คุณแม่กวงซงจึงพูดกับสามีของนาง “หากตระกูลซูมีลูกสาวอีกคน แบบนั้นก็ให้แต่งกับกวงซงของเรา เป็นแบบนั้นอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของกวงซงก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”
คุณพ่อกวงซงกล่าว “แบบนั้นก็ต้องมีความสามารถหน่อย”
ทางตระกูลซูมีลูกสาวเพียงคนเดียวคือภรรยาของเจี้ยนอวิ๋น ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว
“อีกอย่างแม่ของเจี้ยนอวิ๋นใช้เงินสินสอดทองหมั้นมากมายในการแต่งงานครั้งนั้น ตอนนั้นคุณยังไม่ชอบเลยไม่ใช่เหรอ?” คุณพ่อกวงซงพูดกับนาง
“ตอนนั้นคือตอนนั้น ตอนนี้คือตอนนี้ จะเป็นเรื่องเดียวกันได้ยังไง?” คุณแม่กวงซงพูดกับเขา “อีกอย่างตอนนี้ฉันดูท่าทางของตานหง ยิ่งมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันบอกคุณแล้ว กวงซงของเราต้องเลือกคนแบบนี้ แค่มองดูก็เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล!”
“แบบนี้มันหาได้ง่ายที่ไหนล่ะ” คุณพ่อกวงซงกล่าว
เขามีแค่ลูกชายคนนี้ เขาจะไม่หวังให้ลูกชายของเขาได้ดีได้อย่างไร? นอกจากนี้ลูกชายของเขายังกตัญญู พวกเขาทั้งสองไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ลูกชายของเขาอายุ 20 ปี แล้ว ไม่เด็กแล้ว เมื่อเขาโตมา พี่สาวคนรองของเขาก็เกือบจะคลอดลูกแล้ว
“คุณว่าให้ตานหงช่วยดูหน่อยดีไหม?” คุณแม่กวงซงพูด
“ได้” คุณพ่อกวงซงพยักหน้า
เมื่อจี้กวงซงกลับมา แม่ของเขาก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
ตอนนี้จี้กวงซงกำลังตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัว ตั้งแต่เขาอายุ 18 ปี เขาก็ได้ช่วยเหลือครอบครัวมาโดยตลอด
เมื่อได้ยินแม่เขาพูดจี้กวงซงก็โบกมือ “ต่อให้แม่พูดเรื่องนี้ ก็ต้องเพลา ๆ ลงหน่อยนะครับ ครอบครัวของเราตอนนี้ฐานะยังไม่ดี ผมก็เลยยังไม่คิดเรื่องนั้น”
เขาไม่กังวลว่าตัวเองจะแต่งภรรยาไม่ได้ หากเขาแต่งภรรยาไม่ได้ แล้วในหมู่บ้านจะมีชายหนุ่มคนไหนที่แต่งงานได้อีก?
ใช่แล้ว จี้กวงซงมีความมั่นใจในตัวเองมาก!
เขาอยากจะสู้ไปอีกสัก 3 ถึง 5 ปี สั้นก็ 3 ปี ยาวก็ 5 ปี เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องเก็บเงินเลี้ยงภรรยาและเลี้ยงลูกได้แน่นอน ภรรยาของเขา เขาไม่เคยคิดจะปล่อยให้เธอต้องตรากตรำกลางทุ่งนา แค่อยู่บ้านดูแลพ่อแม่ก็พอ ส่วนงานข้างนอกเขาจะเป็นคนทำ
“ทำไมถึงคิดว่าครอบครัวของเรายังลำบากอยู่ล่ะ แม่เก็บเงินไว้จำนวนหนึ่งให้ลูกแต่งภรรยาแล้ว!” แม่ของกวงซงยื่นบัญชีในมือไปตรงหน้า
นี่หมายความว่าครอบครัวของเขามีเงินเก็บ 500 หยวน
คุณแม่กวงซงมีความมั่นใจในตัวเองมาก เนื่องจากตอนนี้ครอบครัวสามารถเก็บเงินได้ถึง 500 หยวน ซึ่งนับว่าไม่เลวเลย เป็นพื้นฐานครอบครัวที่มั่นคงมาก
นอกจากนี้ ในปีนี้ครอบครัวยังมีธุรกิจมากมายและจะมีรายได้จํานวนมาก
ที่สำคัญปีนี้ลูกชายของนางได้ทำงานกับพี่เจี้ยนอวิ๋นของเขา ตั้งแต่เดือนหน้า จะเริ่มได้รับเงินเดือนจำนวน 40 หยวน!
“งั้นเงินนี้แม่กับพ่อเก็บไว้เถอะครับ ตอนนี้ผมเก็บเงินเดือนด้วยตัวเอง ผมเก็บเงินได้ครบเมื่อไหร่ค่อยแต่งงาน” จี้กวงซงพูด
เขารู้ว่าพ่อแม่มีเงินอยู่บ้าง แต่เขาเองก็มี เขาไม่ได้เอาเงินเดือนไปให้แม่และเก็บไว้เอง ตั้งแต่เริ่มทำงานตอนนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยแล้ว
แม้ว่าลูกชายจะไม่เห็นด้วย แต่แม่ของกวงซงก็มาพูดคุยเป็นการส่วนตัว แน่นอนว่านางไม่ได้มาหาโดยตรง แต่นางพูดขึ้นมาตอนที่ไปเก็บเชอร์รี่บนภูเขากับคุณแม่จี้
“ตอนนี้กวงซงของบ้านฉันก็ไม่เด็กแล้ว แต่เจ้าเด็กนั่นไม่รีบร้อน แม่อย่างฉันยังหาคนที่เหมาะสมกับเขาไม่ได้เลย” คุณแม่กวงซงกล่าว
คุณแม่จี้ได้ยินก็หัวเราะ “กวงซงลูกชายของเธอยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก ตัวเขาเองมีความคิด อีกอย่างหน้าตาก็ดี ในหมู่บ้านของเรามีเด็กสักกี่คนที่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้?”
คุณแม่กวงซงอดยิ้มไม่ได้ เมื่อลูกชายของนางได้รับการยกย่อง นางจะไม่มีความสุขได้หรือ? อีกทั้งในใจนางเองก็คิดเช่นนั้น แต่ปากยังคงกล่าว “แต่รอแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอกค่ะ คนรุ่นเราตอนอายุ 20 มีลูกโตตั้งเท่าไหร่แล้ว?”
“นั่นก็จริง” คุณแม่จี้พยักหน้า
“ฉันได้ยินมาว่าการแต่งงานของจี้อวี้หลานลูกสาวของจี้หม่าอี้คือด้ายแดงที่ตานหงกับเจี้ยนอวิ๋นผูกให้เหรอคะ?” คุณแม่กวงซงถาม
พอได้ยินคําพูดนี้ คุณแม่จี้ก็เข้าใจในทันที จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “ทำไม เธอก็อยากให้ตานหงแนะนำใครให้กวงซงด้วยเหรอ?”
“ถ้ามีคนดี ๆ ก็ให้ตานหงช่วยดูให้หน่อยเถอะค่ะ ถ้าเธอชอบก็คงไม่เลวนัก” คุณแม่กวงซงยิ้ม
อันที่จริงจี้อวี้หลานลูกสาวของจี้หม่าอี้ นางก็เคยเห็นมาก่อน อีกฝ่ายทำงานได้ดีมาก เก่งทั้งงานในบ้านและนอกบ้าน
ถึงแม้จะแซ่จี้ แต่พวกเขาก็ห่างไกลกันมากและไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ที่แย่คือจี้หม่าอี้บอกกับชาวบ้านว่า หากอยากแต่งงานกับลูกสาวของเขา ต้องจ่ายค่าสินสอด 300 หยวน พูดเช่นนี้ไม่เป็นการโลภมากไปเหรอ อีกอย่างยังอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อแต่งงานออกไปแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องแบกครอบครัวของจี้หม่าอี้ด้วยหรือ?
ดังนั้นคุณแม่กวงซงจึงหยุดความคิดของนางเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้คิดขัดขวางจี้อวี้หลาน ที่ตานหงได้ชักนำให้คนงานของเจี้ยนอวิ๋นแต่งงานกับจี้อวี้หลานออกไปค่อนข้างไปได้ดี เนื่องจากหมู่บ้านต้าวานที่พวกเขาอยู่ห่างไกลออกไป นั่นถือว่าไม่เลว
จี้อวี้หลานแต่งงานแล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย เพิ่งมาช่วยทําบ๊ะจ่างคราวก่อน เมื่อกลับมาจึงไปดู ส่วนบ๊ะจ่างนั้น ได้ยินแม่ของหล่อนบ่นว่าแม้แต่บ๊ะจ่างห่อเดียวก็ไม่ได้
ตอนนั้นคุณแม่กวงซงฟังแล้วก็ยิ้มเยาะ พวกเขาสองคนแต่งลูกสาวคนเดียวในราคา 300 หยวน แทบจะนับว่าขายลูกสาวคนนี้ออกไปแล้ว ลูกสาวกลับมาดูก็ดีแล้ว ยังต้องการอะไรอีก?
คุณแม่กวงซงยังแอบชมจี้อวี้หลานกับตาแก่ของนางว่าหญิงสาวเป็นคนรู้ความ
นี่ไม่ใช่แค่ให้ก็พอ แม้จะเป็นบ๊ะจ่างห่อเล็ก ๆ แต่เมื่อได้ให้ไปแล้วย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ต่อไปหากครอบครัวของหล่อนต้องการอะไร พวกเขาอาจจะไปตามหาก็ได้
ทว่าตอนนี้เป็นแบบนี้แล้ว นั่นเป็นการตัดความคาดหวังของคนในบ้านแม่ของหล่อนไป แม้แต่บ๊ะจ่างก็ไม่ยอมให้บ้านแม่ แล้วจะให้อะไรกับบ้านแม่อีกล่ะ?
ตอนนี้ลูกชายสองคนใกล้จะแต่งงานแล้ว ดูเหมือนว่าคนโตจะมีการพูดคุยกันไปแล้วและกำลังจะพาเข้าบ้าน
เห็นได้ชัดว่าเงินค่าสินสอดของลูกสาวถูกใช้เพื่อให้ลูกชายแต่งภรรยา
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ ยังมีอีกหลายครอบครัวที่เป็นเหมือนพวกเขา ครอบครัวของจี้หม่าอี้ไม่ใช่ครอบครัวแรกหรอก
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คิดหาผลประโยชน์กับลูกขนาดนั้นก็เป็นธรรมดาที่ลูกจะไม่อยากกลับมาให้ความช่วยเหลือแหละค่ะ
ไหหม่า(海馬)