ตอนที่ 271 จี้อวิ๋นอวิ๋นคบชู้!
เด็กอายุ 6 เดือนนอนหลับยาวจนถึงตอนพระอาทิตย์ขึ้น
เธอตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรู่ เมื่อเห็นบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย เสียงร้องไห้จ้าก็ดังลั่นขึ้น
ไม่ว่าคุณพ่อกับคุณแม่จี้จะปลอบอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ มันไม่ได้ผลแม้แต่น้อย คุณแม่จี้จึงแยกตัวไปทำอาหาร ส่วนคุณพ่อจี้ทำได้เพียงอุ้มเธอออกไปเดินเล่นรอบสวน แต่สถานการณ์ก็ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น
ซูตานหงไม่ได้อยากสนใจเรื่องนี้ เพราะเธอไม่ถูกชะตากับจี้อวิ๋นอวิ๋นนัก แต่จะเหมารวมลูกสาวของเจ้าหล่อนไปกับผู้เป็นแม่ลงได้อย่างไร?
เมื่อพ่อสามีพาเด็กหญิงลงมา เธอก็ทำได้เพียงช่วยปลอบเด็กน้อยเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นกายของเธอหรือไม่ หยวนหยวนจึงสงบลง หรืออาจเป็นเพราะเด็กน้อยเหนื่อยจากการร้องไห้แล้ว จึงค่อย ๆ เงียบและหยุดร้องไห้ในท้ายที่สุด เหลือไว้เพียงตาแดงก่ำ
“ดูหนูเข้าสิ เดี๋ยวแม่ป้อนนมให้นะ” ซูตานหงบอก
เธอชงนมและเอามาป้อนให้หยวนหยวน
เหรินเหรินกับฉีฉีรุมล้อมเธอ และเอาของเล่นมาให้น้องสาว
ซูตานหงยอมรับว่าเด็กหญิงได้ส่วนดีที่ละม้ายคล้ายคลึงกับพ่อมา ไม่เหมือนแม่แม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นซูตานหงคงไม่เต็มใจช่วยเช่นนี้
ทุกคนคงคาดเดาถึงทัศนคติของเธอที่มีต่อจี้อวิ๋นอวิ๋นได้ แม้เธอไม่จะเห็นเด็กน้อยเป็นคนแปลกหน้า แต่คงไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับลูกของจี้อวิ๋นอวิ๋นนัก
หลังป้อนของกินแสนอร่อย พาไปเล่น และยังมีซูตานหงคอยปลอบ เหตุการณ์แบบเดิมจึงไม่เกิดขึ้นอีก ตอนนี้หยวนหยวนอารมณ์ดีขึ้นมาก
หากแต่เมื่ออารมณ์ดีขึ้น เธอกลับไม่ยอมแยกจาก คุณแม่จี้ลงมาจากสวนเพื่อเอาเธอกลับไป ตอนนั้นเองที่หยวนหยวนเริ่มงอแงออกมา ราวกับนางเป็นแม่มดร้ายกาจที่มาขโมยเด็ก
คุณแม่จี้เห็นว่าสะใภ้สามมีท่าทางปกติกับหลานสาวแล้วจึงโล่งใจ นางรู้ว่าสะใภ้สามไม่ชอบแม่ของหยวนหยวน แม้แต่นางเองก็ยังอดจะฟาดลูกสาวตัวเองให้หลาบจำไม่ไหว
นางเห็นแล้วว่าตอนนี้ลูกสาวกับลูกเขยของนางแยกกันอยู่ สำหรับคู่สามีภรรยาอายุน้อย มันควรจะต้องเป็นแบบนี้เหรอ?
หากแต่นางก็ไม่อาจพูดสิ่งใดได้ ตอนนี้นางแก่ตัวขึ้น หล่อนคงไม่ฟังนางอีกแล้ว
“ตานหง ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่หยวนหยวนเป็นอย่างนี้ ฉันก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ” คุณแม่จี้ถอนหายใจ
ซูตานหงมองหน้านาง และเอ่ยไปตามตรง “เห็นแก่สามีของหล่อน ให้หยวนหยวนอยู่ที่นี่สักพักก็ได้ค่ะ”
เธอนึกถึงหลี่จื้อ ในฐานะสามีแล้วหลี่จื้อคงจะไม่สบายใจ การแต่งภรรยาที่ทำตัวเป็นบรรพบุรุษของตระกูลเข้ามาในบ้านช่างเป็นเรื่องที่โชคร้ายนัก
ตอนนี้แม่ของเขาป่วยอยู่ เดินเหินไม่สะดวก ส่วนเขาเองต้องไปสอนหนังสือเช่นกัน แล้วเขาจะทำอย่างไรได้?
สิ่งที่เธอพูดไปนับว่าไม่สุภาพนัก เธอเคารพแม่สามีก็จริง แต่ทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัด ไม่ว่าแม่สามีจะพูดอย่างไร ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจเธอได้
เธอยอมดูแลหยวนหยวนให้ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คุณแม่จี้ เธอไม่ได้นึกถึงนางเลย เธอทำเพื่อหลี่จื้อต่างหาก
“ฉันขอขอบคุณแทนหลี่จื้อด้วยนะ” คุณแม่จี้เอ่ย
“คุณแม่กลับสวนไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงหยวนหยวน เมื่อก่อนเยียนเอ๋อร์ก็เคยถูกเลี้ยงที่นี่เหมือนกัน” ซูตานหงบอก
คุณแม่จี้พยักหน้ารับ และกลับขึ้นสวนบนภูเขาไป
ซูตานหงเพียงแค่เห็นแก่หลี่จื้อ อันที่จริงเธอนึกเอ็นดูหยวนหยวนเพียงเพราะหน้าตาคล้ายพ่อ เด็กหญิงยังอายุน้อยและไม่อาจล่วงรู้อนาคต ใครจะรู้ว่าอาจโตมาเหมือนแม่ก็เป็นได้?
ดังนั้นในเบื้องต้น ซูตานหงจึงไม่ได้ปักใจนัก เธอยังไม่อยากทุ่มเทใจให้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นคงยิ่งผิดหวังเมื่อมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
แม้จะเป็นคนละคนกัน เรื่องแม่ของเด็กน้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เชื้อก็ยังไม่อาจทิ้งแถวได้
อย่างไรก็ตามซูตานหงก็เลี้ยงดูเธออย่างเต็มที่ ทั้งให้อาหาร ให้น้ำดื่ม และคอยเล่นด้วย หลังอยู่ที่นี่ได้เพียง 3 วัน หยวนหยวนก็ลืมคนที่บ้าน
เธอเป็นเด็กว่าง่ายและเลี้ยงง่าย ขอแค่ไม่อึดอัดตัว เธอก็จะนอนเล่นของเล่นบนเตียง พลางส่งเสียงอ้อแอ้
“ทำไมน้องเดินไม่ได้ล่ะครับ?” ฉีฉีมองลูกพี่ลูกน้องด้วยความสงสารและเห็นใจ ก่อนถามขึ้น
เธอเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ไม่มีอะไรน่าสงสารไปมากกว่านี้แล้ว
เหรินเหรินเติบโตและรู้ความมากขึ้นแล้ว จึงโพล่งขึ้นมา “นายเองก็เคยเป็นอย่างนั้นเหมือนกันนั่นแหละ!”
“พี่โกหก!” ฉีฉีชะงักไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะจ้องเขม็ง
ไม่ต้องพูดถึงเลย ลูกคนนี้เป็นพวกไม่ยอมคน เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันไม่กล้ามีเรื่องกับเขา ตอนนี้เขาสู้คนมาก หลังจากมีเรื่องกันถึงค่อยเอาขนมไปง้อ ก่อนจะมีเรื่องกันใหม่วนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทำเอาซูตานหงปวดหัว
เหรินเหรินย่อมไม่ถือสาน้องชาย “นายก็เคยเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อพี่ก็ไปถามแม่ดูสิ”
ฉีฉีหันไปถามแม่ ด้วยต้องการรู้จากปากแม่ว่าเขาเป็นแบบนี้ตอนที่เกิดมาจริงหรือ ทั้งที่ใจเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้
ซูตานหงบอก “พี่พูดถูกแล้ว ลูกก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตอนที่คลานได้ก็ปีนขึ้นมาดึงขนต้าเฮยบ่อย ๆ”
“ไม่มีทางครับ ผมชอบต้าเฮยมาก จะดึงขนมันได้ยังไง!” ฉีฉียืนกรานปฏิเสธ
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำแบบนั้นต้าเฮยจะเจ็บ และยังสนิทสนมกับต้าเฮยมากขึ้น
“เมื่อก่อนลูกยังไม่รู้เรื่อง หยิบจับอะไรได้ก็เอาเข้าปากหมด แม่ว่านะ ลูกอาจจะอยากกินต้าเฮยก็ได้” ซูตานหงยิ้ม
ฉีฉีเบิกตากว้าง เขาจะกินต้าเฮยลงได้อย่างไรกัน?!
แต่เมื่อมองลูกพี่ลูกน้องบนเตียงแล้ว น้องสาวเพื่อนเขาก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ตอนเด็กเขาเองก็เป็นแบบนี้เช่นกันเหรอ?
ฉีฉีออกไปนอกบ้าน ซูตานหงแค่คอยดูว่าเขาจะทำอะไร แล้วก็ได้เห็นภาพที่ชวนหัวเราะ เขาออกไปกอดและขอโทษต้าเฮย บอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเพราะตอนนั้นยังเด็ก จึงเผลอดึงขนของมัน ถึงตอนนั้นเขาจะอยากกินแต่ตอนนี้โตแล้ว เขาจะไม่ทำแบบนั้นอีก พร้อมขอให้ต้าเฮยยกโทษที่เขายังเด็กและไม่รู้ความ
หยวนหยวนถูกเลี้ยงดูที่นี่เป็นอย่างดี ครั้นหลี่จื้อมีวันหยุดหลังวันศุกร์ เขาก็รีบมาทันทีที่เลิกงาน
หลี่จื้อรู้สึกผิดมากหลังจากที่รู้ว่าลูกสาวของเขางอแงกับคุณยาย และทำให้พี่สะใภ้สามต้องดูแลเธอแทน
ถึงอย่างไรตอนนี้ซูตานหงก็ตั้งท้องอยู่ อีกทั้งมีเหรินเหรินและฉีฉีให้ต้องดูแลอยู่แล้ว มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากมาย แต่ตอนนี้ยังต้องช่วยเขาดูแลลูกสาวอีก
“หยวนหยวนก็ยังสบายดีนี่” จี้เจี้ยนอวิ๋นตบบ่าเขาขณะบอก
สำหรับพี่สามีคนนี้ เขาพูดอะไรไม่ออก แต่ก็ไม่ง่ายที่จะเข้าใจความคิดอีกฝ่าย
เดิมทีแม่ของหลี่จื้อดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่เพราะว่าเกิดอุบัติเหตุไม่ใช่เหรอ? เขาเองก็เห็นมาตลอดว่าหลี่จื้อแบกรับเรื่องนี้ไว้มาก
แต่เขาได้ยินมาว่าจนถึงบัดนี้น้องสาวของเขายังไม่กลับมาดูดำดูดีดีสักครั้ง ราวกับไม่คิดว่าตนเป็นลูกสะใภ้
ก่อนหน้านี้จี้เจี้ยนอวิ๋นอยากจะตบหน้าหล่อนหลายครั้ง หากแต่ซูตานหงรั้งเอาไว้ พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน ต้องปล่อยให้เรียนรู้การใช้ชีวิต ไม่คุ้มที่เขาจะไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของหล่อน ให้คอยดูว่าหล่อนจะเป็นอย่างไรต่อไป
หลี่จื้ออยู่ที่นี่ได้ 2 วัน เขากลับไปหลังมื้อเย็นวันอาทิตย์ ครั้งนี้หยวนหยวนไม่งอแงตอนเขากลับไปแล้ว เธอมีท่าทางเชื่อฟังดีมาก
ในตอนนี้เองหลี่จื้อซึ่งเพิ่งกลับเข้าเมืองก็รู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะเขาบังเอิญเจอจี้อวิ๋นอวิ๋นออกมาเที่ยวและจับมือกับชายอื่น!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แค่ชื่อตอนก็แรงแล้ว พอมาแปลก็รู้สึกความดันขึ้นเลยค่ะ นังสองอวิ๋นไม่เคยแผ่วเลยจริง ๆ
ไหหม่า(海馬)