ตอนที่ 289 นำเข้ารถบรรทุกขนาดใหญ่
สือโถวถูกซูตานหงพากลับมาเป็นแขกที่บ้าน
เมื่อมาถึงบ้านอาหญิงของเขา สือโถวก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีเพื่อนเล่นมากมายอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีภูเขาอีกหลายลูก ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นของครอบครัวอาหญิงของเขา
“พี่สือโถวมาแล้ว” เมื่อฉีฉีกับพ่อของเขากลับมาก็พบกับสือโถวลูกพี่ลูกน้องของเขา
“อืม ฉันจะมาอยู่ที่นี่หลายวันอยู่นะ” สือโถวพูด
“ดีเลย พรุ่งนี้ผมจะไปอ่างเก็บน้ำกับพ่อ พี่อยากไปด้วยกันไหม?” ฉีฉีส่งคําเชิญออกมา
“ได้เหรอ?” ดวงตาของสือโถวเป็นประกาย
“ได้สิ แต่อย่าวิ่งซุกซนไปทั่วนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
“ผมจะไม่วิ่งไปทั่วแน่นอนครับ ผมจะไปดูเป็ดกับแพะ!” สือโถวพูด
ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น สือโถวจึงไปที่อ่างเก็บน้ำพร้อมกับอาเขยของเขา เหรินเหริน และฉีฉี
ช่วงไม่กี่วันที่อยู่ที่นี่ สือโถวรู้สึกสนุกมาก แต่อยู่ได้แค่ 5 วันก็ขอให้พ่อไปรับกลับ
ในช่วง 2 ถึง 3 วันที่ผ่านมาที่ได้ออกไปวิ่งเล่นกับเหรินเหรินและฉีฉีทุกวัน ไม่ต้องพูดเลยว่ามันสนุกแทบบ้าขนาดไหน
ซูตานหงรู้สึกว่าสือโถวถูกพี่สะใภ้รองของเธอเลี้ยงอย่างจำกัดมากเกินไป เขายังเด็กแค่นี้ หากไม่ปล่อยให้เขาได้เล่นให้มาก ๆ ถึงตอนโตขึ้นแล้วจะอยากเล่นสนุกบ้างก็เล่นไม่ได้แล้ว ทุกวัยควรได้กระทำสิ่งต่าง ๆ ตามวัย ไม่ควรถูกปิดกั้น
หลายวันมานี้ ดวงตาของสือโถวเป็นประกายทุกวัน จนกระทั่งกลับไปก็มีความสุขมาก ยังบอกว่าคราวหน้าจะต้องมาอีก
เหรินเหรินและฉีฉีต่างยินดีต้อนรับเขา เพราะสือโถวนิสัยดีมาก ต่อให้สือโถวจะกินจุจนกินขนมและของว่างไปไม่น้อย พวกเขาก็ยังยินดีต้อนรับเขา
เขาค่อนข้างต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่สะใภ้รองซูไม่สามารถทำได้ หากจะต้องซื้อมัน สะใภ้รองซูก็ไม่เต็มใจที่จะจ่ายเงิน ซึ่งนั่นไม่ถูกต้องเลย
ซูตานหงยังทำขนมอบอีกหลายชิ้นเมื่อเห็นว่าเขาชอบมัน ในตอนที่พี่รองของเธอมาซื้อของ เธอจึงนำขนมเหล่านั้นห่อใส่กระดาษไขและขอให้เขานำกลับไปให้สือโถว
เนื่องจากปีหน้าต้องไปโรงเรียนแล้ว สะใภ้รองซูจึงเริ่มบอกให้สือโถวนับเลขและฝึกเขียนชื่อของตัวเอง ความรู้พื้นฐานบางอย่างควรได้รับการสอนจากที่บ้าน เมื่อไปเรียนในปีหน้าจะได้รับการยอมรับและปรับตัวง่าย
“อาหญิงของลูกทำขนมมาให้น่ะ” ซูจิ้นตั๋งยื่นขนมที่เอากลับมาให้ลูกชาย
สือโถวดีใจมาก จึงพูดขึ้น “อาหญิงทำขนมงาตัดอร่อยมากเลยครับ!”
“ถ้าลูกเรียนรู้ทุกอย่างได้แล้ว แม่สัญญาว่าจะให้ลูกไปอยู่ที่นั่นอีก 3 วัน!” สะใภ้รองซูกล่าว
“จริงเหรอครับ?” สือโถวมองแม่ของเขา
“แน่นอน แม่เคยโกหกลูกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แต่ต้องเรียนรู้พินอินและตัวเลขพวกนี้ให้ดีก่อนนะ” สะใภ้รองซูกล่าว
สือโถวพยักหน้าและเริ่มเรียนอย่างหนัก
ความจริงแล้วไม่มีอะไรต้องเรียนรู้เลย เนื่องจากลูกพี่ลูกน้องของเขาสอนมาหมดแล้ว และยังบอกให้เขากลับมาทบทวนอีกด้วย
“คุณไม่จำเป็นต้องควบคุมเขาตลอดเวลาหรอก” ซูจิ้นตั๋งพูดกับภรรยาของเขาเป็นการส่วนตัว
“ที่ฉันต้องคอยดูเขา ไม่ใช่เพื่อให้เขาเรียนรู้มากขึ้นเหรอคะ? ตอนนี้เหรินเหรินเก่งเลขคณิตมาก” สะใภ้รองซูพูด “และฉันยังคาดหวังจะให้สือโถวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วย”
“เรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก พอเรียนจบมัธยมปลายแล้วออกมาช่วยงานก็ได้” ซูจิ้นตั๋งไม่มีข้อเรียกร้องใด ๆ กับลูกชายของเขา
“ไปไกล ๆ เลยค่ะ” สะใภ้รองซูกล่าว
ผู้ชายอะไรไม่รู้จักคิดวางแผนให้ลูกชายเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นพ่อประสาอะไร?
“ผมยังวางแผนจะทำร้านอื่นอีก แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถทำได้ อีกหน่อยรอให้สือโถวโตขึ้นมาก็ให้เขาแบ่งเบาภาระน่ะ” ซูจิ้นตั๋งพูด
นี่คือแผนของเขา แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับลูกชายของเขาในกรณีที่ไม่อยากเรียนต่อ แต่ถ้าเขาอยากเรียนต่อ ก็ต้องส่งเสริมเขาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?
“ไว้ค่อยว่ากันทีหลังเถอะค่ะ” สะใภ้รองซูโบกมือ หล่อนตั้งใจจะฝึกฝนให้ลูกชายเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนร้านค้านั้น ตอนนี้กิจการของหล่อนค่อนข้างมั่นคงแล้ว ตราบใดที่มีการจัดการที่ดี ธุรกิจย่อมไม่ล้มเหลว
ตอนนี้นอกจากรายได้รายวันของครอบครัวหล่อนแล้ว ยังมีเงินออมอีกเกือบ 4,000 หยวน และตอนนี้กำไรยังเพิ่มขึ้นทุกเดือน หล่อนจึงเก็บเงินเพื่อเตรียมไว้ให้ลูกชายไปเรียนมหาวิทยาลัย
“เจี้ยนอวิ๋นขอให้ผมเปิดร้านอื่นเพิ่มถ้ามีเงิน” ซูจิ้นตั๋งพูด
“เปิดร้านอื่นอีกเหรอ? งั้นร้านนี้เราต้องเรียกต้าหยามาช่วยแล้วล่ะค่ะ” สะใภ้รองซูพูดขึ้นหลังจากได้ยินเรื่องนี้
“เจี้ยนอวิ๋นก็พูดแบบนั้น บอกให้ผมไปทำที่อำเภอ ถ้าเงินมีไม่พอก็ไปหาเขา หรือจะปล่อยเช่าโดยไม่ต้องทำเองก็ได้” ซูจิ้นตั๋งกล่าว
“ช่างมันเถอะค่ะ ดูแลร้านนี้ให้ดีก็พอแล้ว” สะใภ้รองซูพูด
กําไรของร้านของเขาตอนนี้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้
หลังจากหักค่าใช้จ่ายใน 1 เดือน เขาก็มีกําไรสุทธิประมาณ 100 หยวนหรือเกือบ 200 หยวน ก่อนหน้านี้ อย่างมากก็ 100 หยวน แต่ตอนนี้มันเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หล่อนรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ซูตานหงให้ยืมเงินเพื่อซื้อร้านนี้มา ทุกวันนี้ค่าเช่าพุ่งสูงขึ้นมาก มีหลายคนที่ทะเลาะกับเจ้าของร้านจนไม่สามารถจ่ายได้ เป็นเรื่องวุ่นวายไม่น้อย
ครอบครัวของหล่อนไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากร้านนี้เป็นของบ้านหล่อน
นอกจากนี้ราคาในตอนนี้ยังต่างจากเมื่อหลายปีก่อน ตอนแรกซื้อร้านนี้มาในราคา 2,500 หยวน แต่ถ้าตอนนี้จะซื้ออีก อย่างน้อยก็ต้องมีเงินไม่ต่ำกว่า 3,500 หยวน ยิ่งไปกว่านั้นที่อื่นก็ทำเลไม่ดีเท่าตรงนี้ แถมพื้นที่คงไม่กว้างขวางมากนัก
“ที่บ้านเรายังต้องสร้างบ้านอีก ถึงตอนนั้นก็ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งน่ะค่ะ” สะใภ้รองซูกล่าว
ซูจิ้นตั๋งเห็นว่าหล่อนไม่มีความคิดที่จะซื้ออีกร้าน ดังนั้นจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
สำหรับตัวเขานั้นยังอยากได้ร้านค้าอีกร้าน ซึ่งเขาได้พูดคุยกับเหล่าฉินแล้ว อีกฝ่ายมาเปิดร้านแห่งที่ 2 ในเมือง เขารู้เรื่องนี้ในตอนไปซื้อสินค้าครั้งล่าสุดแล้วเจอเหล่าฉิน หลังจากได้พูดคุยกันแล้ว จึงรู้สึกว่าธุรกิจที่หน้าร้านแห่งที่ 2 ก็ไม่เลวเลย
ตอนนี้ร้านค้าร้านแรกของเหล่าฉินมีจางเสวี่ยหลีภรรยาของเขาและลูกชายคอยดูแล ส่วนร้านที่ 2 มีพ่อกับแม่ของเขากำลังเฝ้าอยู่ กําไรของทั้งสองร้านในแต่ละเดือนนั้นสูงมาก เงินที่เขายืมมาซื้อร้านที่ 2 ก็จ่ายคืนไปนานแล้ว
ตอนนี้ทั้งสองร้านรวมกันทำกำไรต่อเดือนได้เกือบ 500 หยวน
นี่เป็นสาเหตุที่จี้เจี้ยนอวิ๋นถามถึงธุรกิจนี้ เหล่าฉินบอกกับเขาว่าคนอื่นอาจจะลำบาก แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น เขาประเมินกำไรของพี่น้องคนนี้แล้ว อย่างน้อยต้องได้ 1,500 หยวนต่อเดือน!
แต่เขาไม่ได้ถาม คำถามแบบนี้ค่อนข้างตอบยาก ถามไปก็ไม่ได้อะไร
ซูตานหงที่อยู่ในบ้านกำลังอ่านรายงานสรุปของจี้เจี้ยนอวิ๋นอีกครั้ง การทำบัญชีของจี้เจี้ยนอวิ๋นนั้นมีรูปแบบของความเป็นทหารอยู่ในตัว ทั้งหมดล้วนละเอียดและชัดเจน
กําไรสุทธิของครอบครัวเธอในแต่ละเดือนเมื่อมีงานยุ่งคิดเป็นเกือบ 3,000 หยวน ปกติแล้วจะน้อยกว่านั้น แต่ทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 หยวน
กำไรหลังจากหักค่าจ้างออกไปนับว่ายอมรับได้
แต่จนถึงตอนนี้ จี้เจี้ยนอวิ๋นยังไม่ได้จ่ายค่าปรับ 4,000 หยวนของเสียงเสียง และยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนบ้านเลย
ซูตานหงจึงพูดขึ้น “ไปขึ้นทะเบียนบ้านให้เสียงเสียงก่อนเถอะค่ะ”
“หืม? เรื่องทะเบียนบ้านรอขายหมูตอนปลายปีนี้เถอะ วันพรุ่งนี้ผมกับพวกซูจูเหมาจะไปซื้อรถ” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
“ซื้อรถ?” ซูตานหงมองเขาด้วยความประหลาดใจ
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงรีบอธิบาย “ภรรยา ไม่ใช่ว่าผมไม่ประหยัดนะ แต่ตอนนี้บ้านของเรามีร้านค้ามากมาย รถบรรทุกแค่คันเดียวไม่พอหรอกครับ”
ปีนี้เขาใช้งานอย่างหนัก หลายครั้งยังต้องไปยืมจากเหล่าฉิน แต่เหล่าฉินเองก็ยุ่งกับร้านค้าแห่งที่ 2 ของเขา
“งั้นครั้งนี้คุณก็ซื้อคันใหญ่กว่าเดิมสิคะ ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้มีรถบรรทุกนำเข้าขนาดใหญ่แล้ว” ซูตานหงไม่ได้คิดห้ามปรามเขา และพูดขึ้น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ตานหงก็พูดถูกนะที่การเลี้ยงเด็กต้องเลี้ยงให้สมกับวัย เห็นชัดเลยว่าทุกวันนี้น้อง ๆ ตัวเล็ก ๆ บางคนต้องเข้าโรงเรียนกวดวิชาแทนที่จะได้วิ่งเล่นเหมือนเด็กยุคก่อน ๆ แล้ว
พี่จี้จะซื้อรถบรรทุก? ได้มีคนตาโตหลายคนแน่ๆ ค่ะ
ไหหม่า(海馬)