ตอนที่ 35 ตานฟัก
หูเฟิงส่ายหน้า “ไม่เคยกินมาก่อน ก่อนหน้านี้มาล่าสัตว์ป่า ก็ฆ่างูไปหลายตัวเช่นกัน ทว่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยรู้ว่างูกินได้”
ไป๋จื่อฟังแล้วก็รู้สึกเสียดายจริงๆ “น่าเสียดายนัก เจ้าไม่รู้รสชาติของเนื้องู อีกเดี๋ยวเจ้าชิมก็จะรู้เอง”
แม้หูเฟิงจะยังคงรู้สึกต่อต้านเรื่องประเภทการกินงูอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานาน ครั้นได้ฟังนางกล่าวว่ายอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น ก็เกิดความรู้สึกอยากลองขึ้นมาเล็กๆ จึงเก็บงูกลับมาใส่ในถุงผ้าหลังจากนางพูดจบ
ทั้งสองคนเดินลึกเข้าไปในป่าอีก ระหว่างทางหูเฟิงล่ากระต่ายป่าได้สองตัว ตัวหนึ่งในนั้นอ้วนท้วนนัก ทว่าเขาดูเหมือนไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไร
“เป็นอะไรไปหรือ ล่าสัตว์ไม่สนุกหรืออย่างไร ข้ายังไม่ได้เก็บสมุนไพรแม้แต่ต้นเดียวเลย” ไป๋จื่อหัวเราะพลางกล่าว
หูเฟิงกวาดสายตามองถุงผ้าด้วยแววตาหม่น แล้วพูดเรียบๆ ว่า “กระต่ายพันธุ์นี้ขายไม่ได้ราคาเท่าไร สองตัวรวมกันแล้วอย่างมากก็ขายได้หกสิบเหวิน”
ไป๋จื่อเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตะลึง “อะไรนะ หกสิบ กระต่ายตัวใหญ่สองตัวใหญ่ๆ เช่นนี้ ขายได้เพียงหกสิบเหวินเท่านั้น เท่ากับราคาผักกาดขาว[1]เลยไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มยักไหล่ “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้กระต่ายเป็นสัตว์ที่ล่าง่ายที่สุดเล่า ทั้งๆ ที่เนื้อของมันไม่ได้อร่อยที่สุด คนมีเงินในเมืองไม่มีคนเท่านั้นที่อยากซื้อเนื้อกระต่ายกิน อย่างมากก็แค่ซื้อที่ร้านทำพะโล้เหล่านั้น ถูกกดราคาแล้ว ถูกกดราคาอีก จึงกลายเป็นราคาผักกาดขาวเช่นในตอนนี้”
“จะอย่างไรก็เป็นเนื้อสัตว์ ราคาถูกถึงเพียงนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง เนื้อกระต่ายอร่อยนัก ใครบอกว่าเนื้อกระต่ายเป็นเนื้อที่ไม่อร่อยที่สุด นั่นต้องเป็นเพราะพวกเขาทำไม่เป็นแน่นอน อย่าไปใส่ร้ายกระต่ายมัน”
“เจ้าทำเป็นหรือ” หูเฟิงเลิกคิ้ว
ไป๋จื่อพยักหน้า “แน่นอน เนื้อกระต่ายผัดไฟแดงที่ข้าทำนั้นอร่อยเลิศ เจ้าอย่าขายมันแล้วกัน เย็นนี้ข้าจะแสดงฝีมือให้พวกเจ้าเห็น”
เขาพยักหน้า “ตกลง ถึงอย่างไรก็ขายไม่ได้ราคาอยู่แล้ว”
ระหว่างสนทนากัน ไป๋จื่อพลันได้กลิ่นหอมสายหนึ่ง มันเจือจางมากๆ สอดแทรกอยู่ในกลิ่นต้นไม้เขียวขจีและดินเลน หากไม่ตั้งใจดมล่ะก็ ยากนักจะพบกลิ่นหอมจางๆ สายนี้
สีหน้าของนางเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ก่อนจะหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก ครั้นลืมตาขึ้น นางก็ยื่นมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ทางนั้น”
หูเฟิงไม่เข้าใจ “อะไรอยู่ทางนั้น”
“สมุนไพรที่ข้าต้องการอยู่ทางนั้น” ไป๋จื่อกล่าว
นางมุ่งหน้าตามกลิ่นหอมเจือจางสายนั้น ยิ่งเข้าไปในป่าเขาลึกขึ้นเรื่อยๆ หูเฟิงตามติดอยู่ข้างกายนาง สายตาสอดส่องทั่วบริเวณอย่างระแวดระวัง เขาไม่เคยมาแถวนี้มาก่อน หากเดินหน้าต่อไปก็จะเป็นเทือกเขาลั่วอิงอย่างแท้จริง ไม่ใช่ภูเขาลั่วอิงแล้ว
จู่ๆ ไป๋จื่อก็หยุดฝีเท้า เหม่อมองไปยังพื้นที่สีเขียวไม่ไกลเบื้องหน้า รอบบริเวณนั้นไม่มีต้นไม้เก่าแก่สูงเทียมฟ้า ดังนั้นด้านบนจึงเป็นท้องฟ้าสีคราม ไปจนถึงแสงอาทิตย์สีทองที่สาดส่องลงมา และพื้นที่สีเขียวนี้อยู่ท่ามกลางแสงแดดโดยสมบูรณ์ กลิ่นหอมจางๆ ที่ดึงดูดนางมา ก็มาจากพื้นที่สีเขียวนั้น
ไป๋จื่อตื่นเต้นยิ่งนัก นี่คือต้นตานฟักที่นางบ่มเพาะในศตวรรษที่ยี่สิบสามถึงสองปีก็ยังไม่สำเร็จ!
ต้นตานฟักแทบจะสูญพันธุ์ไปแล้วในศตวรรษที่ยี่สิบสาม นางกับกับอาจารย์ที่ปรึกษาหลายคนใช้เวลาไปสองปีเต็มๆ แต่ก็ยังคงบ่มเพาะต้นตานฟักไม่สำเร็จ
“นี่คืออะไร” เห็นนางตื่นเต้นถึงเพียงนั้น หูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“นี่คือต้นตานฟัก เป็นสมุนไพรที่โด่งดังและล้ำค่ามาก อยากจะปลูกให้รอดสักต้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง แต่ที่นี่กลับมีมากมายถึงเพียงนี้!” พื้นที่นี้กว้างอย่างน้อยสิบตารางกระมัง เต็มไปด้วยต้นตานฟักทั้งสิ้น
หูเฟิงร้องอ๋อเสียงหนึ่ง แล้วถามอีก “สมุนไพรนี้รักษาโรคใดได้”
รักษาโรคใดได้ คำถามนี้ตรงจุดนัก และเหมือนกับราดน้ำเย็นใส่ศีรษะร้อนผ่าวของนางเสียกะละมังหนึ่งเช่นกัน
………..
ตอนที่ 36 โสมภูเขาพันปี
ตานฟักเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งอย่างไม่จำเป็นต้องสงสัย แต่นับเป็นสมุนไพรมีค่าหายากหรือไม่
หากไม่นับ ตานฟักมีกลิ่นหอมเย็น รสชาติขมฝาดเล็กน้อย หลักๆ ใช้ผสมกับสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีผลคล้ายๆ กับสมุนไพรเช่นชะเอม ทว่าไม่ได้ปลูกง่ายเหมือนกับชะเอม
ดังนั้นชาวไร่ปลูกสมุนไพรในยุคปัจจุบันมักจะไม่ยอมปลูกตานฟัก เมื่อผ่านไปนานวันเข้า สมุนไพรอื่นจึงค่อยๆ เข้ามาแทนที่ตานฟัก
จนกระทั่งปีนั้นนางพบเข้าโดยบังเอิญ ว่าในตานฟักมีส่วนสำคัญในการทำยาอันเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง ส่วนที่ยอดเยี่ยมของสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง นับเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ทว่าตอนที่นางพบเรื่องนี้เข้า ตานฟักในยุคของนางเหลือน้อยยิ่งกว่าน้อย อีกทั้งสภาพแวดล้อมในตอนนั้นไม่เหมาะให้ตานฟักเจริญเติบโตแล้ว
แม้บัดนี้จะมีตานฟักเต็มพื้นที่ เพียงพอให้สกัดส่วนที่ดีที่สุดอย่างเพียงพอ แม้กระทั่งศึกษาการปรุงยา ทว่าแล้วอย่างไรเล่า
ที่นี่ไม่ใช่ศตวรรษที่ยี่สิบสาม นางไม่อาจสกัดส่วนที่ยอดเยี่ยมของสมุนไพรสีเขียวมรกตเหล่านี้ได้ ดังนั้นตานฟักในตอนนี้ ก็เป็นเพียงแค่สมุนไพรทั่วไปเท่านั้น…
ครั้นเห็นประกายความตื่นเต้นบนใบหน้าของนางค่อยๆ สลัวลง เขาก็มีสีหน้าสงสัย “เจ้าเป็นอะไรไป”
ไป๋จื่อถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีอะไร แค่ตื่นเต้นเก้อก็เท่านั้น ตานฟักเหล่านี้เกรงว่าจะขายไม่ได้ราคาดี ช่างเถิด ให้พวกมันเติบโตอยู่ที่นี่แล้วกัน บางทีวันข้างหน้าอาจจะมีเวลาที่มันได้แสดงศักยภาพ ทว่าไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน”
นางยิ้มอย่างขมขื่น พลางกลับหลังหัน ตะกร้าที่สะพายหลังอยู่ยังคงว่างเปล่า ยังคิดว่าในป่าเขาเช่นนี้จะต้องมีสมุนไพรจนเต็มพื้นที่เป็นแน่ อยากได้มากเท่าไร่ย่อมมีเท่านั้น…อย่างไรจินตนาการก็ดีกว่าความเป็นจริงมากนัก…
ตอนนี้ใช้แรงไปจนหมดสิ้น นางรู้ว่าไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้อีก พวกเขาจำต้องย้อนกลับทางเดิม ไม่เช่นนั้นหากหลงทางในป่านี้ เมื่อตกเย็นแล้ว สัตว์ดุร้ายที่หิวโหยมาทั้งวันเหล่านั้นจะออกมาหาอาหาร เช่นนั้นพวกเขาก็ตกที่นั่งลำบากแล้ว
ตอนที่นางเตรียมจะย้อนกลับไปทางหมู่บ้าน สีแดงสดสว่างสายหนึ่งก็เข้าสู่สายตาของนาง ทีแรกนางคิดว่าตนเองตาพร่าไป ทว่าใต้ต้นไม้ที่เลยต้นตานฟักไป กลับมีสีแดงสดเตะตาอย่างยิ่งอยู่
นางพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว สองตาจับจ้องไปที่ผลสีแดงสดขนาดเท่าพุทรานั้น
หูเฟิงตามไป เขาชำเลืองมองผลสีแดงนี้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นี่คือผลไม้ป่าหรือ”
ไป๋จื่อถูมือไปมา ยิ้มไม่หุบ “ไม่ นี่ไม่ใช่ผลไม้ป่า เป็นโสมป่าต่างหาก โสมภูเขา ดูหัวของผลสีแดงนี้สิ หัวของโสมภูเขานี้ต้องไม่น้อยแน่ น่าจะขายได้ราคาดีทีเดียว”
ขุดโสมเป็นงานละเอียดอ่อน รีบร้อนไม่ได้ จะต้องค่อยๆ ทำอย่างช้าๆ หวังว่าจะได้โสมภูเขาที่สมบูรณ์แบบ ยิ่งคุณภาพดี ยิ่งได้ราคาดี
หลังจากขุดอยู่นาน ในที่สุดก็เผยให้เห็นโสมภูเขาครึ่งหนึ่ง มันใหญ่กว่าที่นางจินตนาการไว้นาง และไม่รู้ว่าเติบโตอยู่ป่าโบราณลึกเช่นนี้มานานเท่าไร อย่างน้อยน่าจะมีอายุมากกว่าร้อยปีได้
นางขุดโสมภูเขาทั้งหัวออกมา ครั้นปัดเศษดินบนหัวทิ้งไปแล้ว นางก็ยกขึ้นเขย่าไปมาเบื้องหน้าหูเฟิง พร้อมกับยิ้มตาหยี “เป็นอย่างไร เคยเห็นโสมภูเขาใหญ่ขนาดนี้หรือไม่”
หูเฟิงส่ายหน้า “ก่อนที่ข้าจะเสียความทรงจำไปน่ะหรือ ข้าไม่รู้หรอก แต่สามปีที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหวงถัวมา ยังไม่เคยเห็นเลย”
[1]ราคาผักกาดขาว อุปมาว่า มีราคาถูก