ตอนที่ 47 หักแขนขา
หูจ่างหลินยังไม่ทันได้พูดอะไร ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็รีบตอบ “เจ้าใหญ่สกุลไป๋น่ะสิ พวกเขาต้องการบังคับพาจ้าวหลานกลับไป จ้าวหลานกล่าวว่าจะรอจื่อยาโถวกลับมา ทว่าพวกเขาไม่ยอม จะแบกจ้าวหลานไป เหล่าหูเข้าไปขวางไว้ พวกเขาถืออาวุธตีเหล่าหูทั้งๆ ที่คนเยอะกว่า ต้องการให้ไม่ตายดี ช่างมีความกล้าล้นฟ้าเสียจริงๆ”
ไป๋จื่อรีบถาม “แล้วแม่ข้าเล่า”
“พวกเขาแบกแม่เจ้ากลับไปแล้ว”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ไป๋จื่อก็หมุนตัววิ่งไปทางบ้านสกุลไป๋แล้ว
หูเฟิงเห็นดังนั้น ก็โยนอุปกรณ์ทำไร่นาและกระเป๋าผ้าในมือลงกับพื้นทันที “ท่านพ่อ ท่านรอข้าอยู่ที่บ้าน ข้าจะไปดูหน่อย”
ในใจของเขามีกองไฟสุมอยู่ หากไม่ดับคงไม่ได้
แม้ปกติแล้วภายนอกของเขากับหูจ่างหลินจะเรียกไม่ได้ว่าสนิทกัน ทว่าหูจ่างหลินปฏิบัติต่อเขาอย่างไร เขารู้ดีอยู่แก่ใจ สามปีที่ผ่านมานี้ หูจ่างหลินเห็นเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ๆ มาโดยตลอด หัวใจของเขาก็เห็นหูจ่างหลินเป็นบิดาของตนตั้งนานแล้ว และวันนี้ คนสกุลไป๋นั่นกล้าบุกมาถึงบ้าน ทั้งยังตีจนหูจ่างหลินมือหัก ความโกรธแค้นครั้งนี้ เขาจะทนกล้ำกลืนได้อย่างไร
ฝีเท้าหูเฟิงรวดเร็วนัก เขาอยากตามไป๋จื่อให้ทัน หากเด็กสาวตัวเล็กอย่างนางตกอยู่ในกำมือของนักเลงหัวไม้พวกนั้น คงจะต้องเสียเถูกเอาเปรียบอย่างหนัก ทว่าถึงแม้เขาจะรีบตามไป ก็ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง
ภายในลานบ้านสกุลไป๋เสียงดังยิ่งนัก ด้านนอกก็มีคนในหมู่บ้านมุงดูอยู่ เขามองไม่เห็นสถานการณ์ภายในนั้น ได้ยินเพียงเสียงร้องโอดครวญอย่างต่อเนื่อง เขายังไม่ทันตั้งใจฟังให้ดี ก็รีบแหวกทางชาวบ้านที่มุงอยู่พวกนั้น เบียดจนถึงด้านหน้าสุด
เดิมทีเขาคิดว่าคนที่ถูกตีจนร้องน่าเวทนาไม่หยุด จะต้องเป็นไป๋จื่อและจ้าวหลาน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า คนที่ถูกไล่ตีอยู่ภายในลานบ้าน จะเป็นบุรุษร่างใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ
เจ้ารองคิดไม่ถึงว่าไป๋จื่อจะกล้าตีเขา และไม่คาดคิดว่านางจะคล่องแคล่วเช่นนี้ แค่ไม่ทันระวังเพียงครู่เดียว ก็ต้องเสียเปรียบอยู่หลายครั้ง เขาอยากหมุนตัวกลับไปบ้าง แต่ไป๋จื่อผู้นี้ไม่ให้โอกาสเขาตอบโต้กลับโดยสิ้นเชิง เขาถูกตีจนต้องกุมหัววิ่งหนีราวกับหนู ในปากตะโกนเรียกชื่อของเจ้าใหญ่ ให้เขารีบออกมาช่วย
เจ้ารองมีรูปร่างเตี้ย ทำงานน้อยตั้งแต่เล็ก ทั้งเรี่ยวแรงและความแข็งแกร่งจึงสู้เจ้าใหญ่ไม่ได้
เจ้าใหญ่ขังจ้าวหลานไว้ในโรงฟืนขนาดเล็กหลังลานบ้านแล้ว เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกของน้องรองที่หน้าลานบ้าน เขาก็รีบเรียกสมาชิกในครอบครัวออกไป หญิงชรา หลิวซื่อ และจางซื่อต่างก็ตามออกไปที่หน้าลานบ้าน
แม้ปกติแล้วเจ้าใหญ่และเจ้ารองมักจะมีปากเสียงกัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องแท้ๆ เจอสถานการณ์เช่นนี้เข้า ไหนเลยจะมีถืออคติบันดาลโทสะหรือไม่ช่วยเหลือ
บัดนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร จากหนึ่งต่อหนึ่งก่อนนี้ กลายเป็นสามต่อหนึ่งแล้ว
ทีแรกไป๋จื่อตีเจ้ารองก็ไม่ได้ใช้แรงเท่าไร ทั้งยังใช้เล่ห์เหลี่ยม อาศัยการบุกเข้าจู่โจมทันทีในรอบแรก
ทว่าตอนนี้ นางใช้เรี่ยวแรงหมดลงเรื่อยๆ ส่วนอีกฝ่ายมีผู้ช่วยเพิ่มอีกสองคน แต่ละคนล้วนโหดเหี้ยม เกรงว่านางจะต้องเสียเปรียบหนักเสียแล้ว
ไป๋จื่อประมวลผลอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว หวังว่าจะมีชายชาตรีโผล่ออกมาในทันทีในเวลานี้ เพราะเห็นความอยุติธรรมบนถนน ตอนที่ควรลงมือก็ลงมือ
ทันใดนั้น ท่อนไม้ของเจ้าใหญ่กำลังจะตกกระทบบนตัวนาง ทว่านางกำลังหลบท่อนไม้ของหญิงชรา ทำให้หลบท่อนไม้ของเจ้าใหญ่ไม่พ้น
และในตอนนี้เอง แม้ไม่มีเสียงคำรามของชายชาตรี ทว่ากลับเห็นมือข้างหนึ่งของบุรุษขวางอยู่ตรงหน้านาง ฝ่ามือใหญ่และหนานั่นจับท่อนไม้ของเจ้าใหญ่ไว้ในทันที เขาออกแรงเพียงเล็กน้อยก็แย่งท่อนไม้ในมือของเจ้าใหญ่มาได้แล้ว
……….
ตอนที่ 48 หวาดกลัวไม่ได้
หลิวซื่อที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น ก็โก่งคอร้องตะโกนทันที “ดูสิดู แค่เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ชายชู้ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กต่างออกโรงให้ ช่างมีความสามารถเสียจริง!”
หูเฟิงจมวดคิ้ว สายตากวาดมองหลิวซื่ออย่างเยือกเย็น ก่อนจะถามเสียงทุ้ม “ชายชู้รุ่นใหญ่และรุ่นเล็กที่เจ้าว่าคือผู้ใด พูดอีกรอบสิ พูดให้ชัดเจนด้วย”
อีกฝ่ายรู้สึกได้ถึงสายตาอันเยือกเย็นนั้น ร่างกายพลันสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้แต่หนังศีรษะก็เริ่มรู้สึกชาหนึบ คำพูดที่นางอยากพูดมีมากมาย ทว่าตอนนี้กลับไม่กล้าพูดโพล่งออกไปตามใจแม้แต่คำเดียว
เจ้าใหญ่ถลึงตามองหูเฟิง “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงกล้ามาทำตัวอันธพาลที่สกุลไป๋ของข้า”
ชายหนุ่มเก็บสายตาที่จ้องมองหลิวซื่อ ก่อนจะมองเจ้าใหญ่อย่างเย็นชา ความดุดันในแววตาเด่นชัดยิ่งนัก แม้แต่ชายร่างใหญ่อย่างเจ้าใหญ่เห็นเข้า ก็ยังอดหวาดหวั่นใจไม่ได้
“แล้วเจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้าไปทำตัวอันธพาลที่สกุลหูของข้า ทั้งยังตีพ่อข้าจนบาดเจ็บ พูดสิ เจ้าใช้มือไหนตี”
คราวนี้เจ้าใหญ่ยังไม่ทันถูกตี ก็รู้สึกเจ็บแขนอย่างมากแล้ว…
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างควบคุมไม่ได้ กล่าวทั้งๆ ที่รู้ว่าตนผิดว่า “เจ้า เจ้าสนว่าข้าใช้มือไหนตีอย่างนั้นหรือ พ่อเจ้าต่างหากหน้าไม่อาย จับจ้าวหลานไว้ไม่ยอมปล่อย ข้าตีเขาแล้วมันอย่างไร หากเขาไม่ทำเรื่องสกปรกโสมมเช่นนี้ ข้าจะลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าหรือ”
ตอนนี้เจ้าใหญ่รู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นเขาตีหูจ่างหลิน ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แค่พุ่งเข้าไปด้วยความโมโห ไหนเลยจะคิดเรื่องพวกนี้ได้ บัดนี้คิดขึ้นมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าตอนนั้นบุ่มบ่ามจนเกินไป หูเฟิงไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ ได้ยินว่าชายหนุ่มเป็นวรยุทธ์ หนึ่งหมัดก็จัดการวัวตายได้ตัวหนึ่ง…แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ…
ไป๋จื่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้าใหญ่แล้ว นางพลันโมโหจนต่อมคุณธรรมในสมองเจ็บปวด ก่อนจะพุ่งเข้าไปชี้เจ้าใหญ่ พลางกล่าวว่า “เจ้าโกหกหน้าด้านๆ เมื่อวานแม่ข้าถูกคนสกุลไป๋ของพวกเจ้าตีจนมือหัก บ้านก็พังถล่มเพราะลมพัด ข้างนอกฝนตกหนัก ข้ากับแม่ข้าบาดเจ็บไปทั้งตัว แต่คนสกุลไป๋อย่างพวกเจ้ากลับปิดประตู ไม่ให้พวกข้าเข้าไป ขณะนั้นข้าจนใจนัก ทว่าได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าหมู่บ้าน พวกข้าถึงได้ไปอาศัยอยู่ในเรือนไม้ของท่านลุงหูคืนหนึ่ง เรื่องนี้คนในหมู่บ้านล้วนรู้ดี เจ้าไม่รู้เลยหรือ พวกเจ้าต่างหากที่สกปรกโสมม คิดว่าคิดอื่นเป็นเหมือนพวกเจ้าหรืออย่างไร”
หญิงชราสกุลไป๋โกรธจนทนไม่ไหว นางชี้ไป๋จื่อ พร้อมกับตะคอกเสียงแหลม “นางเด็กชั่วพูดมั่วอะไร เจ้าว่าใครสกปรกโสมม เจ้ากล้าพูดอีกรอบหรือไม่”
หูเฟิงไม่มีความอดทนพอที่จะตีฝีผากกับพวกเขาที่นี่ เขามองเจ้าใหญ่ด้วยแววตาเฉยชาอยู่ตลอด “ข้าจะถามเจ้าอีกสักครั้ง ใช้มือไหนตีพ่อข้า”
ในใจของเจ้าใหญ่รู้สึกหวาดกลัว ทว่าต่อหน้าคนในหมู่บ้านมากมายเช่นนี้ เขาจะหวาดกลัวไม่ได้ จึงดันทุรังกล่าวว่า “ใช้ทั้งสองมือตี แล้วอย่างไร”
เจ้าใหญ่เพิ่งกล่าวจบ เงาร่างของหูเฟิงก็แวบมาตรงหน้าของเขาแล้ว และยังไม่ทันที่เขาจะมีปฏิกิริยาใด ได้ยินเสียงกรอบดังลั่น เขาถึงรู้สึกถึงความเจ็บปวดแทงใจที่ส่งตรงมาจากแขนขวา จากนั้นก็ต่อด้วยแขนซ้าย ซึ่งเจ็บมากกว่าแขนขวาเสียอีก
ทุกคนต่างงุนงง หูเฟิงหักแขนทั้งสองข้างของเจ้าใหญ่หน้าตาเฉย
หญิงชราและหลิวซื่อพุ่งเข้าไปร้องขอชีวิตกับหูเฟิงราวกับคนบ้า ทว่าไหนเลยพวกนางจะเป็นคู่ต่อสู้ของหูเฟิง เพราะเพียงแค่เขาขยับนิ้วมือ ก็โยนพวกนางคว่ำลงกับพื้นได้แล้ว
ไป๋จื่อร้องเสียงดังว่าสะใจ ฝ่ายเจ้ารองถอยไปอยู่ข้างๆ จางซื่อ ในใจแอบรู้สึกชอบใจเช่นกัน
หญิงชรานั่งอยู่บนพื้นไม่ยอมลุก เริ่มร้องไห้เสียงดังขึ้นมา คำกล่าวไม่น่าฟังใดล้วนผุดออกมาจากในปากของนาง สตรีที่ปากร้ายมาแต่ไหนแต่ไรด้านนอกลานบ้านนั่นได้ยินเข้า ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นกัน