ตอนที่ 69 ผู้ใดต้องการแยกบ้าน
จางซื่อแค่นหัวเราะ “คนที่ชี้หน้าต่อว่าข้ามีถมไป เจ้าจะตามหาผู้ใดได้?”
เจ้ารองยิ่งสับสน “เหตุใดผู้อื่นต้องชี้หน้าต่อว่าเจ้าโดยไม่มีเหตุผลด้วย หรือว่าเจ้าไปผิดใจกับใครเข้า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จางซื่อก็ยิ่งโมโห แม้ปกตินางจะไม่เห็นหัวจ้าวหลานและไป๋จื่อ ทว่านางไม่ได้เข้าร่วมกับเรื่องในครั้งนี้ตั้งแต่ต้น ย่อมไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางสักนิดเช่นกัน ดังนั้นถูกคนต่อว่าลับหลัง นางจึงน้อยอกน้อยใจเช่นนี้
“ข้าจะไปผิดใจกับใครได้? ทุกวันนี้คนในหมู่บ้านล้วนต่อว่า บอกว่าคนสกุลไป๋เป็นคนอกตัญญูทั้งหมด อาศัยจ้าวหลานและไป๋จื่อถึงได้มีชีวิตรอด แต่กลับไม่ดูดำดูดีสองแม่ลูกคู่นี้ ทั้งยังตีพวกนางจนเกือบตาบ บาดแผลยังไม่ทันหายก็ไล่พวกนางออกไปทำงาน ส่วนพวกคุณชายที่ทั้งแขนขาแข็งแรงดีตากลมอยู่ในบ้าน เจ้าว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวกับข้าหรือไม่? เรื่องที่ตีพวกนางสองแม่ลูก ข้าได้กระดิกนิ้วสักนิดหรือไม่? เหตุใดพวกเขาถึงมาชี้หน้าต่อว่าข้า”
หลิวซื่อออกมาจากในเรือน วันนี้นางสวมเสื้อผ้าใหม่อยู่แปดส่วน ปกตินางมักจะตัดใจใส่ไม่ลง วันนี้ก็ไม่รู้ว่าลมอะไรหอบมา นางถึงได้สวมใส่ขึ้นมาเช่นนี้
ครั้นนางได้ยินคำพูดของจางซื่อ ก็รีบพูดต่อทันที “เพราะเหตุใด? ก็เพราะเจ้าเป็นคนสกุลไป๋อย่างไรเล่า เรื่องของคนสกุลไป๋ ย่อมขาดส่วนของเจ้าไปไม่ได้ ดีเลวไม่ยกเว้น”
จางซื่อยิ่งโมโหเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางคิดจะแยกบ้านมานานแล้ว ทว่าทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้กับเจ้ารอง เขาล้วนไม่ยินยอม บอกว่าหากแยกบ้านไปแล้ว งานในที่ดินเขาย่อมต้องเป็นคนทำ และเขาไม่อยากตื่นเช้าทำงานจรดเย็น ทำงานที่ไม่มีวันจบสิ้น ตอนนี้ดีอยู่แล้ว มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ งานน้อย เวลาว่างมาก วันคืนสบายนัก
บัดนี้หลิวซื่อกล่าวเช่นนี้อีก จางซื่อยิ่งคิดถึงการแยกบ้าน จึงรวบรวมความกล้ากล่าวว่า “เอาล่ะ ในเมื่อพี่สะใภ้ใหญ่พูดถึงส่วนของข้า เช่นนั้นข้าก็จะพูดให้ชัดเจนเช่นกัน ข้าต้องการแยกบ้าน ต่อจากนี้พวกเราต่างคนต่างอยู่ เรื่องดีที่พวกเจ้าทำ ก็อย่ามาตำหนิข้า พวกข้าจะอยู่ดีมีสุขหรือไม่ พวกเจ้าอย่าได้หนักใจ”
เมื่อได้ยินคำว่าแยกบ้าน หลิวซื่อพลันลุกลี้ลุกลน ในบ้านหลังนี้ นางเป็นคนที่ไม่ต้องการแยกบ้านมากที่สุด เงินที่บุตรชายไป๋เสี่ยวเฟิงเสียเพื่อเข้าเรียนในทุกปี ล้วนนำออกมาจากกงสี อีกทั้งสิ่งของสี่อย่างในการเล่าเรียน[1]ที่ไป๋เสี่ยวเฟิงใช้ทุกวัน ไข่ไก่ที่ได้กินอยู่บ่อยๆ ก็เป็นสิ่งของกงสีเช่นกัน
อีกทั้งเสี่ยวเฟิงเรียนหนังสือทั้งวัน ไม่ได้ทำงาน ต้าเป่าทำงานยังสู้ไป๋ฟู่กุ้ยที่อายุสิบสามไม่ได้ บัดนี้เจ้าใหญ่ก็แขนหักทั้งสองข้าง หากแยกบ้านไปจริงๆ ครอบครัวใหญ่อย่างพวกเขาไม่ต้องกินลมตะวันตกเฉียงเหนือหรือ?
สีหน้าโหดเหี้ยมบนใบหน้าของหลิวซื่ออ่อนลงหลายส่วนในทันที ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มให้จางซื่อ “ดูที่น้องสะใภ้พูดสิ พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน กระดูกหักแล้วยังมีกล้ามเนื้อเชื่อมต่อกัน[2] บอกว่าจะแยกบ้านก็แยกเลยได้อย่างไร”
“ใครจะแยกบ้าน?” เดิมทีหญิงชรากำลังกลัดกลุ้มอยู่ในบ้าน ครั้นได้ยินสะใภ้ทั้งสองคนส่งเสียงเอะอะอยู่ข้างนอก ก็ยิ่งรู้สึกโมโกจนต้องออกมา
ใจจางซื่อหวาดกลัวแม่สามีอยู่บ้าง ตอนที่เพิ่งแต่งเข้ามา ความจริงแล้วนางถูกหญิงชราผู้นี้เอาเปรียบอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ อีกฝ่ายตั้งแง่กับนางอยู่เสมอ แม้จะไม่ได้ใจร้ายเลือดเย็นกับนางเหมือนกับจ้าวหลาน แต่ก็ไว้หน้านางน้อยนัก ในสายตาของนางเหมือนจะมีหลิวซื่อเป็นลูกสะใภ้เพียงคนเดียว ทั้งยังลำเอียงรักไป๋เสี่ยวเฟิงเป็นพิเศษ ในสายตาของนางฟู่กุ้ยเป็นแค่ต้นหญ้า ส่วนเสี่ยวเฟิงเป็นของล้ำค่า
“ข้าต้องการแยกบ้านเจ้าค่ะ” นางรวบรวมความกล้า กล่าวกับแม่สามี
หญิงชราถลึงตามองลูกสะใภ้คนรองครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังเจ้านรอง “เจ้ารอง เจ้าอยากแยกบ้านรึ?”
เจ้ารองรีบโบกมือ “ไม่ๆ ข้าไม่อยากแยกบ้าน เป็นภรรยาข้าต่างหากที่บอกว่าต้องการแยกบ้าน ไม่เกี่ยวกับข้า”
……….
ตอนที่ 70 บุตรชายของผู้อื่น
จางซื่อโมโหจนแทบจะกระอักเลือด นางแต่งให้ผู้ชายเช่นนี้ได้อย่างไร
หญิงชราสกุลไป๋ดึงสายตาเย็นชากลับมาที่ใบหน้าของจางซื่ออีกครั้ง “เก่งนักนะ หญิงชาวบ้านผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเรียกร้องแยกบ้าน เพราะเหตุใด? สกุลไป๋ของพกวเราปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีหรือ? ไม่มีเสื้อผ้าให้เจ้าสวมใส่ ไม่มีข้าวให้กินหรืออย่างไร?”
จางซื่อนับว่าเปิดใจแล้ว จึงพูดออกมาตามตรง “เรื่องอาหารหรือเสื้อผ้าข้าขอไม่พูด แต่จะพูดเรื่องที่เสี่ยวเฟิงได้เรียนหนังสือ เสี่ยวเฟิงเป็นบุตรชายของสะใภ้ใหญ่ เขาเรียนหนังสือได้ บุตรชายของข้าฟู่กุ้ยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสี่ยวเฟิง เหตุใดไม่ให้ฟู่กุ้ยเรียนหนังสือบ้างเล่า? เหตุใดลูกหลานบ้านเราถึงต้องทำงานเพื่อให้เสี่ยวเฟิงเรียนหนังสือด้วย?”
หลิวซื่อรีบกล่าว “น้องสะใภ้พูดเช่นนี้ก็เห็นข้าเป็นคนนอกแล้ว เสี่ยวเฟิงเป็นหลานแท้ๆ ของเจ้ากับเจ้ารอง ต่อไปเสี่ยวเฟิงได้ทำงานราชการ ครอบครัวของพวกเรามีความสุขร่วมกัน จะขาดเจ้ากับเจ้ารองได้หรือ?”
ผู้อื่นไม่รู้ว่าไป๋เสี่ยวเฟิงมีพฤติกรรมอย่างไร ทว่าจางซื่อเห็นอยู่ในสายตาเสมอ จะไม่รู้ได้อย่างกันเล่า? คนเช่นไป๋เสี่ยวเฟิง อย่าว่าแต่จะสอบได้หรือไม่เลย ถึงแม้ได้ทำงานราชการจริงๆ ในสายตาของเขาจะมีญาติจนๆ เช่นนางกับเจ้ารองอยู่หรือ? ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่เชื่อ
“ข้าไม่หวังเรื่องนั้นหรอก ตอนนี้ข้าเพียงต้องการแยกบ้าน ข้าจะพาเจินจูและฟู่กุ้ยไปด้วย จะทำนาหาเลี้ยงตนเอง ไม่อยากช่วยบุตรชายของผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว”
หญิงชรารักและเอ็นดูไป๋เสี่ยวเฟิงเป็นที่สุด เมื่อได้ยินจางซื่อพูดว่าบุตรชายของผู้อื่นอย่างนั้น บุตรชายของผู้อื่นอย่างนี้ ฟังแล้วนางพลันโกรธเกรี้ยว ชี้หน้าต่อว่าจางซื่อ “จางซูเหมย เก่งเสียเหลือเกินนะ เรื่องสกุลไป๋ของพวกเรา เจ้าพูดนั่นพูดนี่ตั้งแต่เมื่อใด? เรื่องแยกบ้านนี้ ยังไม่ถึงเวลาให้เจ้าพูดได้ ทำหน้าที่ส่วนของตนเองให้ดี ส่วนเรื่องอื่น เจ้าไม่ต้องยุ่งทั้งนั้น”
ครั้นกล่าวจบ นางก็หันไปถลึงตาใส่หลิวซื่อ “เจ้ายังตะลึงลานอะไรอยู่ที่นี่? ยังไม่รีบไปจัดการเรื่องสำคัญอีก?”
หลิวซื่อดึงสติกลับมา รีบตอบรับแล้วเดินออกไปข้างนอก
สตรีสูงวัยถลึงตาใส่จ้าวซื่ออย่างดุร้ายอีกครั้ง ก่อนจะหมุนกายเข้าเรือนไป
ความโกรธในใจของจางซื่อ นางอยากจะระบายใส่เจ้ารองนัก ทว่าเจ้ารองกลับหายไปราวกับควัน
นางจึงไม่ตากเสื้อผ้าเสียเลย เพียงแต่เข้าเรือนไปเก็บเสื้อผ้าสองสามตัว แล้วลากไป๋เจินจูเดินออกไปข้างนอก
“ท่านแม่ ตอนนี้ท่านจะพาข้าไปที่ใด” แม้ไป๋เจินจูจะอยู่ในเรือนตลอด ไม่ได้ออกไปข้างนอก ทว่านางได้ยินเสียงถกเถียงในลานบ้านอย่างชัดเจน ไม่ตกหล่นแม้สักคำ
“บ้านนี้ไม่ยินดีให้ข้าอยู่แล้ว เจ้าไปกับข้า ไปอยู่ที่บ้านท่านลุงของเจ้าสักสองสามวัน”
ไป๋เจินจูไม่ยินยอมแม้สักนิด ทว่าท่านแม่ฉุดกระชากลากถูนางเช่นนี้ นางไม่อาจโต้เถียงกับมารดาแท้ๆ ของตนเองในหมู่บ้านได้เช่นกันกระมัง ด้วยความจนใจ นางทำได้เพียงเดินตามอีกฝ่ายไปยังบ้านท่านลุงที่อยู่หมู่บ้านข้างๆ
แม่สามีไม่รู้ว่าสะใภ้รองพาหลานสาวไปแล้ว ครั้นนางหิวจนท้องร้อง และไม่เห็นจางซื่อออกมาเรียกนางกินข้าว นางจึงต่อว่าอยู่ในเรือนเสียรอบหนึ่ง ทั้งยังตามหาสะใภ้รองของตนจนทั่ว ทว่ากลับไม่เห็นอีกฝ่ายแม้แต่เงา คราวนี้นางถึงได้รู้ว่าจางซื่อพาไป๋เจินจูไปแล้ว
นางโมโหไม่น้อย ในปากก่นด่าไม่หยุด คำกล่าวไม่น่าฟังใดล้วนว่าออกมาเสียครั้งหนึ่ง ทว่าด่าเสร็จแล้วอย่างไร? อยากกินข้าวยังต้องทำด้วยตนเอง จ้าวหลานและไป๋จื่อไม่อยู่ หลิวซื่อไปที่หมู่บ้านไป๋หยางแล้ว จางซื่อก็ไปอีกคน ดีเสียจริง ตอนนี้คนในบ้านที่ทำงานได้ไม่เหลือแม้สักคน เหลือเพียงนางผู้เดียว
ขณะที่ไป๋จื่อและจ้าวหลานเดินไปยังบ้านของหูจ่างหลิน ระหว่างทางพบรถเทียมวัวคันหนึ่ง คนที่ลากรถเทียมวัวคือตาเฒ่าจ้าวในหมู่บ้าน เขาจะลากรถเทียมวัวไปในเมืองอยู่บ่อยๆ ชาวบ้านที่อยากเข้าไปในเมืองมักจะตกลงกับเขาไว้ก่อนล่วงหน้า จะนั่งรถสักรอบต้องจ่ายห้าทองแดง
คนที่นั่งอยู่บนรถเทียมวัวตอนนี้ ก็คือท่านหมอลู่
ครั้นไป๋จื่อเห็นท่านหมอลู่ นางพลันตาเป็นประกาย ในใจเกิดความขึ้นหนึ่งขึ้นทันที รีบหยุดรถเทียมวัวนั้นไว้
[1] สิ่งของสี่อย่างในการเล่าเรียน ได้แก่ พู่กัน หมึก กระดาษ ที่ฝนหมึก