ตอนที่ 75 แบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง
หญิงชราร้อนใจนัก นางยื่นมือไปหยิกแขนของเจ้ารองอย่างแรง “เจ้าไร้ประโยชน์เอง กลับมาโทษข้าหรือนี่ เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือไร จ้าวหลานเป็นสตรีคนหนึ่ง เจ้าสามก็ไม่อยู่แล้ว นางจะอยู่ที่บ้านของพวกเราได้นานเท่าไรก็ไม่มีใครรู้ งานในที่ดินและที่นาเหล่านั้น ไม่ช้าก็เร็วพวกเจ้าย่อมต้องเป็นคนทำ จะพึ่งพาจ้าวหลานตลอดไปได้อย่างไร”
เจ้ารองมีสีหน้าไม่ยี่หระ ยิ้มกล่าวว่า “ท่านคิดมากเกินไป เจ้าสามของพวกเราจากไปเป็นสิบปีแล้ว จ้าวหลานเป็นหม้ายอาศัยในบ้านของพวกเราเป็นสิบปีแล้วเช่นกัน นั่นเพราะเหตุใด ก็เพราะนางเด็กไป๋จื่อผู้นั้น ขอเพียงจื่อยาโถวอยู่ที่บ้านของพวกเรา จ้าวหลานก็ไม่อาจไปไหนได้ ท่านไม่เข้าใจหรือไร”
หญิงชราชะงักงัน เจ้ารองวิเคราะห์ได้แตกฉานนัก แท้จริงแล้วจ้าวหลานอยู่ที่สกุลไป๋เพราะไป๋จื่อ แต่หากไป๋จื่อจากสกุลไป๋ไปแล้ว เช่นพวกนางส่งเด็กสาวไปยังหมู่บ้านไป๋หยาง เช่นนั้นแล้วจ้าวหลานก็คงไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป
นางกล่าวกับเจ้ารองว่า “ไป๋จื่ออายุสิบสองแล้ว อีกไม่เดือนก็จะอายุครบสิบสาม ถึงวัยที่จะออกเรือนได้แล้ว ช้าเร็วอย่างไรนางก็ต้องออกจากบ้านหลังนี้ไป”
“เรื่องที่นางจะแต่งให้คนอื่น ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องเป็นคนจัดการ ท่านให้นางแต่ง นางถึงจะแต่งได้ หากท่านไม่ให้นางแต่ง นางก็แต่งออกไปไม่ได้ ง่ายดายนัก” เจ้ารองกล่าว
หญิงชราคิดถึงเงินที่เมื่อครู่ตนเพิ่งจะใส่ลงในหีบ จึงตับบทเสียเลย “ข้าให้สะใภ้ใหญ่ไปเป็นแม่สื่อให้ไป๋จื่อ สามวันหลังจากนี้จะต้องส่งนางไปแล้ว ไป๋จื่อจะอยู่ที่บ้านของพวกเราอีกสามวันเท่านั้น”
เจ้ารองตกใจจนตาถลน “ท่านแม่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือไร ให้ไป๋จื่อแต่งออกไปเช่นนี้ หากจ้าวหลานปฏิเสธไม่ยอมทำงาน เช่นนั้นใครจะเป็นคนจัดการที่นาและที่ดินของพวกเรา”
“เจ้าว่าใครควรทำล่ะ หรือจะให้กระดูกแก่ๆ อย่างข้าไปปลูกข้าว” หญิงชราพูดด้วยความโมโห
เจ้ารองพลันนึกภาพยามหญิงชราให้หลิวซื่อไปซื้อเนื้อสัตว์ พลันรู้ว่าอีกฝ่ายต้องให้เงินมาไม่น้อย ท่านแม่ของตนถึงใจดียอมให้นำเงินไปซื้อเนื้อมาได้
“ท่านแม่ หมู่บ้านไป๋หยางคือที่ใด พวกเราล้วนรู้อยู่แก่ใจดี ชายโสดที่นั่นต้องการแต่งภรรยา จะต้องจ่ายเงินไม่น้อยแน่ แท้จริงแล้วท่านกับสะใภ้ใหญ่ขายไป๋จื่อเป็นเงินเท่าไรกัน”
หญิงชราถ่มน้ำลายบุตรชายตนเองครั้งหนึ่ง “พูดอะไรขายไม่ขาย นี่เป็นการแต่งงานของนาง อีกฝ่ายยอมให้สินสอดมายี่สิบตำลึงเงิน นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เหมาะสม จะเรียกว่าขายได้อย่างไร”
ครั้นเจ้ารองได้ยินว่ายี่สิบตำลึงเงิน สีหน้าไม่พอใจบนใบหน้าก็พลันจางหายไป เขารีบพูดกับท่านแม่ว่า “ท่านแม่ ยี่สิบตำลึงนี้ ท่านต้องแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่งนะ”
ผู้เป็นมารดารีบโบกมือ “ไม่ได้หรอก ยี่สิบตำลึงนี้มีส่วนที่จะต้องนำไปใช้แล้ว ไหนเลยจะบอกว่าแบ่งก็แบ่งได้”
เจ้ารองทำหน้าง้ำในทันที “เช่นนั้นท่านบอกข้าหน่อยสิ ว่าท่านจะใช้ยี่สิบตำลึงนี้ไปกับอะไร”
“ต้าเป่าอายุสิบแปดแล้ว ควรจะหาสตรีมาแต่งงานให้เร็วหน่อย เงินนี่ย่อมต้องใช้สำหรับเรื่องการแต่งงานของเขาอยู่แล้ว”
“ตกลง ถึงแม้จะใช้สำหรับงานแต่งของต้าเป่า แต่ก็ไม่น่าจะต้องใช้ถึงยี่สิบตำลึงเงินกระมัง ที่นี่หมู่บ้านหวงถัว ไม่ใช่หมู่บ้านไป๋หยาง ราคาไม่เท่ากันอยู่แล้ว” เจ้ารองขมวดคิ้ว
หญิงชรากล่าวอีกว่า “ย่อมไม่ได้ใช้มากถึงเพียงนั้น ส่วนที่เหลือข้าจะมอบให้เสี่ยวเฟิงใช้เรียนหนังสือในปีหน้า เป็นค่าเรียนและซื้อหมึก พู่กัน รวมแล้วต้องใช้เงินไม่น้อย หากรวมกับค่างานแต่งของต้าเป่า อีกทั้งพวกเราทั้งครอบครัวต้องสั่งทำเสื้อผ้าชุดใหม่ จัดงานเลี้ยง อย่างไรก็ต้องใช้เงินเยอะน่าดู ข้าว่าเงินนี้น่าจะไม่พอด้วยซ้ำไป”
พูดไปพูดมา เงินนี้ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเจ้ารอง ทั้งหมดจะใช้ไปกับบ้านใหญ่อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย พวกเขาบ้านรองไม่ได้รับประโยชน์ใดสักนิด ตอนนี้เจ้าใหญ่แขนหักทั้งสองข้าง ยิ่งทำงานไม่ได้ งานทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่ตัวเขาคนเดียว ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้รับ นี่ไม่เท่ากับเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมหรอกหรือ
……….
ตอนที่ 76 เนื้อกระต่ายผัดไฟแดง
ในเมื่อไม่มีผลประโยชน์ในส่วนของเขา เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะให้เขาทำงานในบ้าน
เจ้ารองหน้าบูดบึ้งกลับห้องไป ทั้งยังปิดประตูอย่างแรง ปล่อยให้ผู้เป็นแม่ตะโกนเรียกอยู่ด้านนอกจนคอแทบแตก ทว่าก็ไม่ยอมเปิดประตู
สกุลหู
ครั้นเห็นว่าดวงอาทิตย์อยู่กลางท้องฟ้า อากาศร้อนค่อยๆ แผดเผา ในหมู่บ้านเริ่มมีควันจากการหุงอาหารลอยขึ้นไปทั่ว จ้าวหลานก็ดึงไป๋จื่อให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวลากับหูจ่างหลิน “พี่หู ข้าอยู่ที่นี่ตลอดทั้งเช้าแล้ว ควรจะกลับแล้วเจ้าค่ะ”
หูจ่างหลินรีบกล่าว “กลับไปเวลานี้เกรงว่าจะต้องถูกต่อว่าอีก พวกเจ้ากินข้าวกลางวันกับข้าที่นี่ก่อนแล้วค่อยกลับ จะได้ไม่ต้องถูกคนสกุลไป๋กล่าวหาว่าพวกเจ้าไม่ได้ขุดผักป่า และหาข้ออ้างไม่ให้เจ้ากินข้าวกลางวัน”
นี่นับว่าเป็นไปได้จริงๆ ความน่ารังเกียจของคนสกุลไป๋เหล่านั้น คงจะอยากให้นางและจ้าวหลานทำแต่งาน ไม่ต้องกินข้าว
ไป๋จื่อยิ้มกริ่มและพยักหน้าในทันที “เช่นนั้นพวกข้าจะหน้าหนาขอกินข้าวสักมื้อแล้วกันเจ้าค่ะ”
ท่านลุงหูหัวเราะฮ่าๆ “เด็กคนนี้นี่ มีที่ไหนกันบอกว่าตนเองหน้าหนา จริงสิ เมื่อวานเจ้าบอกว่าจะทำเนื้อกระต่ายผัดไฟแดงให้พวกข้า ข้าจัดการเนื้อกระต่ายสะอาดแล้ว รอเจ้าลงมือทำอยู่เชียว”
เด็กสาวยินดีนัก “นี่คือเหตุผลสินะเจ้าคะ ท่านลุงหูอยากกินเนื้อกระต่ายผัดไฟแดง ถึงได้ตั้งใจรั้งข้าให้กินข้าวกลางวัน”
“ใช่ๆ เด็กคนนี้นี่ พูดจาให้ผู้อื่นชอบใจจนเคยชิน ครั้นเป็นประโยชน์ก็ทำตัวน่ารัก”
เสียงหัวเราะในโถงของพวกเขาทั้งสามคนดังไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเสียงของไป๋จื่อ เวลาพูดจาเหมือนกับอัญมณีกระทบจานเงิน สดใสดังกังวาน เสียงหัวเราะยิ่งงดงามดุจนกขมิ้น หวานราวกับน้ำผึ้ง ฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม
หูเฟิงได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขา ก็พลอยอารมณ์ดีตามไปด้วย ลืมความกลัดกลุ้มที่พัวพันเขาทุกคืนวันไปชั่วขณะ มุมปากยกยิ้มจาง ความเฉยชาในดวงตาหายไปโดยไม่รู้ตัว
ไป๋จื่อไปที่ห้องครัวแล้ว หูจ่างหลินกล่าวว่านางทำเพียงลำพังจะเหนื่อย ถึงอย่างไรบนร่างกายก็ยังมีบาดแผล จึงไปเรียกหูเฟิงในห้องให้ไปช่วย
ชายหนุ่มเข้ามาจากข้างนอก ครั้นเห็นท่าทางของนางแล้ว เขาพลันยิ้มอยู่ในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับยังคงเรียบเฉย เขาก้าวไปหยิบมีดหั่นผักมาสับกระต่ายอ้วนพีดังปักๆ เพียงแต่ไม่กี่ครั้งก็สับเรียบร้อยแล้ว
“ใช้ได้ ฝีมือการใช้มีดไม่เลว ดูท่าปกติเจ้าหั่นผักไม่น้อยเลย” นางยิ้มพลางกล่าวชมเขา
ทว่าหูเฟิงกลับนั่งลงตรงหน้าเตา ก่อนจะเงยหน้ามองไป๋จื่อ แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าทำอะไรล้วนมีพรสวรรค์”
ไป๋จื่อตะลึงงัน คนผู้นี้กำลังพูดเล่นกับนางอยู่หรือ? ดูท่าทางไม่เหมือนเลย…
นางหัวเราะแห้งๆ สองเสียง คิดเสียว่าเขากำลังพูดเล่น
บัดนี้หูเฟิงจุดไฟแล้ว ในหม้อที่ขัดจนสะอาดก็มีไอร้อนขึ้นมาแล้ว นางจึงหยิบน้ำมันครึ่งถ้วยออกมาจากในตู้ พร้อมทั้งเครื่องปรุงเล็กน้อย แม้จะมีน้อยชนิด ทว่าก็เพียงพอสำหรับทำเนื้อกระต่ายผัดไฟแดงแล้ว
หลังจากต้มน้ำหม้อหนึ่งแล้ว นางก็นำเนื้อกระต่ายลงไปลวกในน้ำเดือด เพื่อใช้น้ำสะอาดล้างเสียอีกรอบหนึ่ง จากนั้นถึงเทน้ำมันใส่กระทะ ผัดเนื้อกระต่ายจนน้ำแห้งบางส่วน ก่อนจะใส่โป๊ยกั๊กและอบเชยที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ลงไป ครั้นตุ๋นไฟอ่อนจนเปื่อยแล้วก็เพิ่มไฟแรงให้น้ำงวด เมื่อใกล้จะยกกระทะขึ้น นางถึงหยิบวัตถุดิบประเภทโป๊ยกั๊กและอบเชยออก สุดท้ายค่อยโรยผงพริกไทยลงไป