คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา – ตอนที่ 135 ถูกพิษมันฝรั่ง ตอนที่ 136 อุทกภัยจากทางใต้

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 135 ถูกพิษมันฝรั่ง

“ท่านยาย คนพวกนั้นที่ถูกพิษ เป็นเพราะกินมันฝรั่งแตกหน่ออ่อนเช่นนี้เข้าไป ขอเพียงมันฝรั่งไม่ดำและไม่แตกหน่ออ่อน ก็ย่อมไม่มีพิษแน่นอน แต่หากดำและแตกหน่อแล้ว มันฝรั่งจะกลายเป็นพิษ ท่านจำไว้ให้ดีนะเจ้าคะ ต้องบอกกับทุกคนที่ซื้อมันฝรั่งให้ชัดเจน ถึงเวลาแล้วจะได้ไม่มีคนต้องตายอีก”

เมื่อท่านยายได้ยินดังนั้น นางก็ตบเข่าฉาดในทันที “มิน่าเล่า ครั้งก่อนหลานชายของข้านำมันฝรั่งแตกหน่ออ่อนมาย่างกิน คืนวันนั้นก็อาเจียนและท้องเสียในทันที วุ่นวายกันอยู่ทั้งคืน ต่อมาไปหาท่านหมอให้ออกยาให้ ถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น ที่แท้เป็นเพราะกินมันฝรั่งแตกหน่ออ่อนเช่นนี้เข้าไปนั่นเอง”

ไป๋จื่อพยักหน้า “ถูกต้องเจ้าค่ะ เพราะเหตุนี้เอง ต่อไปท่านต้องจำให้ขึ้นใจนะเจ้าคะ ตัดใจทิ้งไปเสียดีกว่า”

หญิงชราถอนใจ “ตัดใจไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร มันฝรั่งที่บ้านกองสุมเป็นภูเขาย่อมๆ ทั้งบ้านข้าขายมันฝรั่งอยู่ทั้งวัน แต่ขายไม่ออกโดยสิ้นเชิง ตอนนี้คนในเมืองชิงหยวนแห่งนี้ ไม่มีใครยอมกินมันฝรั่งทั้งนั้น เกรงว่าให้ไปเปล่าๆ ยังไม่มีใครต้องการเลยกระมัง”

“ท่านยาย ข้าจะซื้อมันฝรั่งพวกนี้จากท่านทั้งหมดเจ้าค่ะ” ไป๋จื่อรีบกล่าว

ท่านยายพลันดีใจ แต่จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ได้ แม่นางน้อยอย่างเจ้าจะซื้อมันฝรั่งมากมายเช่นนี้ไปทำอะไร ไม่ต้องทำเพื่อยายแก่อย่างข้าเพราะความสงสารหรอก”

ไป๋จื่อหัวเราะคิกคัก “ท่านยาย ข้าไม่ได้สงสารท่าน ข้าคิดจะปลูกมันฝรั่งที่บ้านข้าต่างหาก วันนี้มาตลาดก็เพื่อซื้อมันฝรั่งเจ้าค่ะ”

อีกฝ่ายรีบโบกมือ “ปลูกไปก็ไม่ดีหรอก ตอนนี้ไม่มีคนกินมันฝรั่งนี้แล้ว เจ้าปลูกไปไม่เท่ากับตัดอนาคตตัวเองหรอกหรือ?”

“นั่นขึ้นอยู่กับความพยายามเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาจะต้องมีคนชอบกินมันฝรั่งมากขึ้นเรื่อยๆ แน่” ไป๋จื่อกล่าว

ท่านยายเห็นสีหน้าจริงจังของนางไม่เหมือนกำลังล้อเล่น จึงไม่โน้มน้าวนางอีก “เอาล่ะ ตอนที่คนถึงทางตันจะก้าวเดินไปข้างหน้า หากไม่เอาหัวกระแทกกำแพง แล้วจะเจอทางกลับได้อย่างไร เจ้าอยากปลูกก็ปลูกเถิด”

หญิงชรายกตะกร้ามันฝรั่งทั้งสองไปตรงหน้าอีกฝ่าย “พวกเจ้านำกลับไปเถอะ คิดยี่สิบเหวินแล้วกัน”

ชั่งละสองเหวิน ยี่สิบเหวินก็สิบชั่ง แต่เมื่อครู่ที่นางถือตะกร้านี้ อย่าว่าแต่สองตะกร้าเลย เพียงแค่ตะกร้าเดียวก็หนักมากกว่าสิบชั่งแล้ว

นางหยิบเงินออกมาจากในกระเป๋าประมาณหกเฉียน ก่อนจะยัดเงินใส่มือของหญิงชรา “ท่านยาย นี่เป็นเงินซื้อมันฝรั่งเจ้าค่ะ ท่านเก็บไว้นะ”

ท่านยายเห็นนางให้เงินมากมายเช่นนี้ ไหนเลยจะยอมเก็บไว้ แต่ขณะกำลังจะปฏิเสธ กลับเห็นไป๋จื่อยัดเงินให้นางเพิ่มอีก อย่างน้อยน่าจะสี่เฉียน “นี่เป็นเงินซื้อสองตะกร้านี้ ท่านอย่าปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านควรได้รับ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ท่านยายรักษาสุขภาพด้วย”

เด็กสาวหมุนตัว ตามหลังหูเฟิงเบียดเข้าไปในฝูงชน หายไปจากเบื้องหน้าของหญิงชราอย่างรวดเร็ว

หญิงชราน้ำตาคลอ ก่อนจะถอนหายใจยาวเสียงหนึ่ง คิดอยากจะหาเงาร่างของนางจากในฝูงชน แต่กลับมองอะไรไม่ชัดแล้ว

หลังจากยกมันฝรั่งกลับไปที่รถเทียมม้าแล้ว หูเฟิงก็ชี้มันฝรั่งพลางถาม “เจ้าคิดจะปลูกสิ่งนี้หรือ”

ไป๋จื่อพยักหน้า “แน่นอน เจ้าเห็นข้าดูเหมือนล้อเล่นหรืออย่างไร?”

“แต่สิ่งนี้กินแล้วตายนะ เจ้าปลูกแล้วใครจะซื้อ? คิดจะปล่อยให้เน่าในดินหรือ?”

“ข้าต้องมีแผนการอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ในเมื่อข้าคิดจะปลูกแล้ว แน่นอนว่าคิดหนทางต่อจากนั้นไว้เรียบร้อย วางใจเถอะ” ไป๋จื่อยิ้มพลางกล่าว

ชายหนุ่มแค่นเสียงขึ้นจมูก กล่าวในใจ ‘ข้ามีอะไรไม่วางใจกัน มันเกี่ยวอะไรกับข้า?’

ทั้งสองเข้าไปในตลาดอีกครั้ง คิดจะซื้อผักและเนื้อสัตว์สักเล็กน้อย แต่ใครจะรู้ว่าแผงเนื้อในตลาดขายไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว แม้แต่หนังหมูก็ขายไปหมดเช่นกัน

“เถ้าแก่ วันนี้เป็นวันอะไรหรือ ยามนี้ยังไม่สายแท้ๆ ขายเนื้อไปจนหมดได้อย่างไรกัน?” ไป๋จื่อกล่าวกับเจ้าของแผงขายเนื้อที่กำลังเก็บแผงอยู่

……….

ตอนที่ 136 อุทกภัยจากทางใต้

เจ้าของแผงเป็นบุรุษอายุสามสิบต้นๆ ดูแล้วห้าใหญ่สามหนา[1] ใบหน้ามีแต่ก้อนเนื้อ ครั้นเห็นคนถามเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง เขาจึงตอบว่า “วันนี้ไม่ใช่วันอะไรทั้งนั้นแหละ”

ไป๋จื่อถามอีก “เช่นนั้นเหตุใดในตลาดคนเยอะขนาดนี้เล่า หลายวันก่อนไม่เห็นคนเยอะเท่านี้เลย”

เจ้าของแผงมองซ้ายมองขวา ก่อนจะถอนใจกล่าวว่า “ได้ยินว่าทางใต้เกิดน้ำท่วมใหญ่ ผู้ประสบภัยหลบหนีจากบ้านเกิดของตนเอง มีผู้ประสบภัยไม่น้อยกำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองชิงหยวนของพวกเรา เจ้าคิดดูสิ เมื่อผู้ประสบภัยมา ฝ่ายราชการจะจัดการได้หรือ? ต้องดูแลเรื่องอาหารและที่อยู่อาศัย ถูกต้องหรือไม่? คนน้อยยังพูดง่าย ถ้าหากคนเยอะขึ้นมาเล่า? เช่นนั้นราคาข้าว แป้ง และผักในเมืองของพวกเราไม่ต้องขึ้นตามน้ำหรือ?”

เด็กสาวเข้าใจในทันที “ที่แท้ทุกคนก็รีบร้อนกักตุนเสบียงนี่เอง!”

เจ้าของแผงถอนใจเสียงหนึ่ง “ไม่พูดแล้ว ข้าก็ต้องไปซื้อเสบียงอาหารเหมือนกัน วันนี้ขายเนื้อไปจนเกลี้ยง ได้ยินว่าราคาข้าวเพิ่มเป็นเท่าตัวแล้ว ขืนไปช้า เกรงว่าอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้”

ครั้นเห็นเจ้าของแผงถือของไป หูเฟิงก็รีบดึงแขนเสื้อของไป๋จื่อ “พวกเราต้องไปซื้อหรือไม่”

ไป๋จื่อพยักหน้า “แน่นอน ทำตามนั้น ผ่านไปไม่นานนัก ราคาข้าวยังขึ้นขนาดนี้ วันนี้พวกเรานับว่าบังเอิญยิ่ง”

ด้านนอกร้านขายเสีบงอาหารมีคนต่อแถวยาวเหยียด ได้ยินเสียงคนกำลังบ่นไม่ขาดสาย ปกติหนึ่งตำลึงเงินก็สามารถซื้อข้าวสารได้ห้าตั้น[2] แต่วันนี้กลับซื้อได้เพียงสามตั้นเท่านั้น

เถ้าแก่ขายข้าวผู้นั้นตะโกนว่า “พวกเจ้าอย่าร้องตะโกนกันเลย พรุ่งนี้ค่อยมาดู ดูว่าหนึ่งตำลึงเงินของพวกเจ้าจะซื้อข้าวสามตั้นได้หรือไม่”

ทุกคนทำได้แค่บ่น หากควรซื้ออย่างไรก็ต้องซื้อ อุทกภัยจากทางใต้ไม่ได้มาแค่ครั้งหรือสองครั้ง ทุกคนล้วนมีผู้ประสบภัยมา ราคาเสบียงอาหารของที่นี่กก็จะขึ้นเป็นเท่าตัวเหมือนกับน้ำขึ้น หนึ่งวันขึ้นราคาหนึ่ง ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจทั้งนั้น

คนที่ฐานะค่อนข้างดีมองการณ์ไกล เก็บเสบียงอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว คนที่รีบมาซื้อข้าวตอนนี้ ปกติล้วนหวังว่าจะโชคดี หวังว่าปีนี้จะไม่มีน้ำท่วม

ทว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือความยากจน ไม่มีเงินเหลือสำหรับเก็บเสบียงอาหาร

เมื่อถึงคราวของไป๋จื่อ เถ้าแก่ผู้นั้นถามว่า “ต้องการเท่าไร” เขานำข้าวมาถังหนึ่งแล้ว แม่นางน้อยเช่นนี้ อย่างมากก็ซื้อเพียงหนึ่งหรือสองถัง ไม่น่ามากไปกว่านั้น

ไป๋จื่อยิ้มกริ่ม “เถ้าแก่ ข้าต้องการสิบตั้น คิดราคาให้ข้าถูกหน่อยได้หรือไม่”

เถ้าแก่ตะลึงไปเล็กน้อย คราวนี้ถึงได้มองเด็กสาวเบื้องหน้าตรงๆ นางทั้งผอมและบอบบาง ผมแห้งกรอบ เป็นเด็กสาวที่ยากจนตามแบบฉบับ แม้จะสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม แต่ก็ไม่มีเหมือนลูกผู้ดีมีเงิน

“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าสิบตั้นคิดเป็นเงินเท่าไร” เถ้าแก่ถาม

เด็กสาวพยักหน้า “แน่นอนว่ารู้เจ้าค่ะ หนึ่งตำลึงเงินได้สามตั้น สิบตั้นก็เท่ากับสามตำลึงกับอีกสามเฉียน สู้คิดราคาข้ากลมๆ สามตำลึงเงินสำหรับสิบตั้น เป็นอย่างไรเจ้าคะ?”

เถ้าแก่ขายข้าวมาค่อนวัน ทั้งหมดขายไปเพียงหกถึงเจ็ดตั้น นางมาก็ต้องการสิบตั้นแล้ว ฉางข้าวหายไปครึ่งหนึ่ง เขาสะดวกสบาย ได้กำไรน้อยหน่อยไม่เป็นไร เขาจึงยิ้มว่า “แน่นอนว่าได้ แต่เจ้าจะค้างบัญชีกับข้าที่นี่ไม่ได้ เจ้านำเงินมาด้วยหรือไม่”

ไป๋จื่อนำกระเป๋าเงินออกมา ก่อนจะหยิบสี่ตำลึงเงินจากข้างในใส่ในมือของเถ้าแก่ “นี่เจ้าค่ะ สามตำลึงเงินสำหรับซื้อข้าว ส่วนอีกหนึ่งตำลึงเงินสำหรับซื้อแป้ง ช่วยข้าขนใส่รถเทียมวัวคันนั้นด้วยนะเจ้าคะ” นางชี้ไปยังรถเทียมวัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน หูเฟิงกำลังยืนมองนางอยู่ข้างๆ รถนั่น

เถ้าแก่ดีใจยิ่ง รีบเลี้ยงลูกน้องให้นำข้าวและแป้ง ขนไปไว้บนรถเทียมวัวของไป๋จื่อ

หูเฟิงมองข้าวและแป้งกองอยู่บนรถเทียมวัวจนเต็ม เขามุ่นคิ้วถามว่า “เจ้าซื้อมาทำไมเยอะแยะเช่นนี้? เจ้ากินหมดหรือ?”

ไป๋จื่อหันหลับไปมองเถ้าแก่ร้านเสบียงอาหารที่ปากยิ้มจนแทบจะฉีกถึงหู พลางกล่าวเสียงเย็น “ไปเถอะ พ่อค้าใจดำที่หาทางร่ำรวยในขณะที่คนอื่นกำลังวิกฤต ไม่ช้าก็เร็วต้องได้รับบทเรียนที่เหมาะสมแน่”

[1] ห้าใหญ่สามหนา หมายถึง สองมือ สองเท้า และศีรษะใหญ่ ทั้งยังมีขา คอ และเอวที่หนาด้วย

[2] ตั้น (石) หน่วยน้ำหนักแบบโบราณของจีน 1 ตั้นเท่ากับ 100 ลิตร ในปัจจุบัน

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

Status: Ongoing
จู่ๆ แพทย์หญิงยอดฝีมือจากยุคปัจจุบัน ดันตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กสาวชาวบ้านยุคโบราณที่ถูกย่าและป้าสะใภ้ตีจนตายทั้งเป็นครั้นรอดชีวิตมาได้ ก็ถูกโขกสับไม่ต่างกับสาวใช้ในบ้าน ทั้งยังจะถูกจับขายแลกเงินให้แต่งกับบุรุษอายุคราวพ่อแต่ไป๋จื่อคนใหม่นี้จะไม่ปล่อยให้พวกนางใช้งานข่มเหงรังแกได้ตามใจชอบอีกต่อไปแล้วให้ตายอย่างไรก็ต้องออกจากบ้านที่เหมือนกับขุมนรกแห่งนี้ไปให้ได้ จึงตัดสินใจสร้างอุบายทำให้ตนเองเสียชื่อเพื่อแยกบ้านกับเหล่าคนสกุลไป๋ได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพื่อให้มีข้าวกินอิ่มท้องสักมื้อหญิงสาวที่เคยมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งประเทศในยุคปัจจุบันต้องถกแขนเสื้อทำไร่ทำนา ใช้วิชาแพทย์แผนปัจจุบันรักษาคนไข้และจัดการกับเหล่าคนในหมู่บ้านที่เข้ามาเอารัดเอาเปรียบนางด้วยแต่ขณะเดียวกัน… ก็ต้องรักษาโรคความจำเสื่อมให้ชายหนุ่มกล้ามโตขี้น้อยใจอีก!เดิมทีคิดจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หาเช้ากินค่ำ เลี้ยงชีพให้ตนและท่านแม่มีชีวิตที่ดีแต่ความหวังพรรค์นั้นน่าจะไม่มีทางเป็นจริงได้ หนทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเอาเสียเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท