ตอนที่ 189 ความสามารถของหญิงชรา
นางคิดแล้วคิดอีก ความจริงแล้วนางคิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก บ้านแม่ของสะใภ้ทั้งสองคนไม่ได้มีฐานะร่ำรวย คงจะหวังพึ่งพวกนางไม่ได้ ตนเองก็ตัดขาดกับบ้านแม่ของตนเองไปแล้ว ยิ่งหวังพึ่งไม่ได้ยิ่งกว่า ส่วนจ้าวหลานและไป๋จื่อที่มีเงิน นางก็ไปเอาอกเอาใจไม่ได้ อย่าพูดถึงการยืมเงินหกตำลึงเลย แค่ยืมข้าวสักเซิง[1]ยังไม่ได้
สุดท้ายนางก็กัดฟันปลดพู่หยกบนคอลง ขณะกำลังคิดจะส่งให้หลิวซื่อ จางซื่อกลับดักไว้ว่า “ท่านแม่ การนำของไปจำนำควรจะให้ผู้ชายไป ผู้หญิงไปคงจะไม่ดี เถ้าแก่ร้านค้าดูถูกคนเป็นที่สุด ครั้นเห็นว่าเป็นสตรี เกรงว่าจะต้องกดราคาแน่นอน”
หญิงชรากล่าว “ถูกของเจ้า ให้ผู้ชายไปดีกว่า เช่นนั้นให้เจ้าใหญ่ไปแล้วกัน”
ในใจจางซื่อรู้สึกเกลียดชังยิ่งนัก หญิงชราผู้นี้ไม่ว่ามีเรื่องดีอะไรก็คิดถึงแต่บ้านใหญ่ ครั้นจะให้ทำงานถึงจะคิดถึงบ้านรอง ในสายตาของนาง บ้านรองมีความแตกต่างใดกับบ้านสามบ้าง นั่นเป็นเพราะบ้านรองไม่มีเงิน หากในมือของนางมีเงิน ไม่ว่าอย่างไรหญิงชราก็คงจะไม่มีทางไล่พวกเขาบ้านรองไปแน่
นางอดกลั้นไฟโทสะไว้ ฝืนยิ้มว่า “ท่านแม่ ไปสองคนดีกว่าไปคนเดียวนะเจ้าคะ อย่างน้อยก็ดูน่าเกรงขามมากขึ้น เจ้าของโรงจำนำเห็นเข้า อย่างไรก็ต้องกริ่งเกรงอยู่สามส่วน”
หญิงชรารู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้า “มีเหตุผล เช่นนั้นก็ให้เจ้ารองไปด้วย สองพี่น้องไปด้วยกัน อย่างไรก็จะได้ดูแลกันและกัน”
หลิวซื่อไม่ยินยอม เดิมทีในใจนางเบิกบานนัก พู่หยกนี้อาจจะมีค่ามหาศาล หากให้เจ้าใหญ่ไปลำพัง เจ้าใหญ่จะได้เก็บไว้เองสิบถึงยี่สิบตำลึง แล้วค่อยทำเป็นว่าทำตั๋วเงิน ‘หาย’ เช่นนั้นแล้วใครจะไปรู้ได้ว่าขายหยกนี้ไปในราคาเท่าใด
ตอนนี้ให้เจ้ารองไปด้วยอีกคน นางก็คงซ่อนเงินไม่ได้แม้แต่เฉียนเดียว
“ท่านแม่ ไม่จำเป็นต้องให้ไปทั้งสองคนกระมัง ก็แค่ไปขายพู่หยกชิ้นเดียว พู่หยกนี้ดูประณีตยิ่งนัก ทว่าข้ารู้สึกว่าสีสันของมันไม่ได้สวยงามเท่าไร คาดว่าคงขายได้เป็นเงินไม่มาก ขายได้สักสิบตำลึงก็ไม่เลวแล้ว ยังต้องให้ผู้ชายสองคนไปหรือเจ้าคะ ต้องเหลือผู้ชายไว้ในบ้านสักคน ถ้าหากท่านหมอลู่พาใครมาอีก พวกเรามีแต่ผู้หญิง เช่นนั้นจะทำอะไรได้”
จางซื่อยิ้มกล่าว “สะใภ้ใหญ่พูดเช่นนี้ เหมือนท่านหมอลู่เป็นโจรหรือคนเร่ร่อนเลยนะ ท่านหมอลู่หาเรื่องคนอื่นกี่ครั้งกันเชียว เขาพาเจ้าหน้าที่มาด้วยก็เพื่อแจ้งให้ทราบเท่านั้น ไม่เห็นได้ทำอะไรพวกเราสักอย่าง อีกอย่าง ในบ้านก็มีต้าเป้าและฟู่กุ้ยอยู่ไม่ใช่หรือไร”
หญิงชรารู้จักนิสัยของหลิวซื่อดีที่สุด นางคิดระแวดระวังเช่นนี้ อย่างไรก็ปกปิดความคิดของตัวเองไม่มิด ผู้เป็นแม่สามีจึงชำเลืองมองสะใภ้ใหญ่ พลางแค่นหัวเราะว่า “เจ้าวางแผนร้ายให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ให้เจ้าใหญ่กับเจ้ารองไป สองพี่น้องจะได้ดูแลกัน”
ถูกต้องที่นางลำเอียงรักบ้านใหญ่ แต่ก็มีเงื่อนไขที่นางจะต้องเป็นคนแบ่งทรัพย์สมบัติให้เอง ไม่ใช่ให้บ้านใหญ่แบ่งไปด้วยตนเอง นั่นเป็นคนละเรื่องกัน
จางซื่อยื่นมือไปรับพู่หยกจากมือของแม่สามี ยิ้มกล่าวว่า “ข้าจะเรียกพี่ใหญ่กับเจ้ารองไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ครั้นนางหมุนกายจากไป หลิวซื่อถึงจะได้สติ “ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ข้าเคยวางแผนอะไรที่ไหนกัน”
หญิงชราแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เคยหรือไม่เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าเพียงหลับตาข้างหนึ่ง เพราะยังอยากไว้หน้าเจ้าบ้าง แต่อย่าได้คิดว่าข้าแก่จนเลอะเลือนเชียว”
นางเป็นแม่บ้านมาทั้งชีวิต เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแม่สามีและเหล่าพี่สะใภ้ น้องสะใภ้ของสกุลไป๋เช่นเดียวกับหลิวซื่อ มีเรื่องใดบ้างที่รอดพ้นหูตาของนางไปได้
วิธีการของหลิวซื่อนี้ นางก็เคยใช้มาก่อนในอดีต
ในปีนั้นหากตนเองไม่มีความสามารถเสียบ้าง ก็คงจะครองที่ดินอยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดของสกุลไป๋ ครั้นที่นางต้องการแยกบ้านไม่ได้หรอก
……….
ตอนที่ 190 โรงรับจำนำเฉินจี้
หลิวซื่อทำหน้าตาน้อยใจ แต่น่าเสียดายที่แม่สามีไม่มองนางโดยสิ้นเชิง หญิงชราหมุนกายเดินเข้าไปในเรือน ไปหาบุตรชายสองคนที่กำลังแย่งกันว่าผู้ใดคนจะเป็นคนถือพู่หยก
หญิงชราเข้าไปแย่งพู่หยกมาจากมือของบุตรชายทั้งสองคน ก่อนจะยัดมันใส่ในมือของเจ้าใหญ่ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าใหญ่ตัวสูงใหญ่ เก็บไว้กับตัวเขาแล้วปลอดภัยกว่า แต่ข้าก็พูดไปอย่างนั้น ขอเพียงไม่เจอโจรดักปล้น ไว้กับตัวใครก็เหมือนกันทั้งนั้น จำนำได้เงินเท่าไร ก็นำเงินกลับมาเท่านั้น”
เจ้ารองไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาไม่พอใจแล้วอย่างไร สุดท้ายแล้วก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงตามเจ้าใหญ่ออกจากสกุลไป๋ไปอย่างหัวเสีย พวกเขาเร่งเข้าไปในเมือง ไม่กล้าหยุดพักแม้แต่ก้าวเดียว เพราะหมู่บ้านอยู่ห่างจากในเมืองถึงสามสิบลี้เต็มๆ หากไม่รีบเดินทาง เกรงว่าฟ้ามืดก็คงยังกลับไม่ถึงบ้านกระมัง
โรงรับจำนำเฉินจี้
หลังจากเจ้าของโรงรับจำนำตรวจสิบพู่หยกที่เจ้ารองส่งให้แล้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ดวงตาจับจ้องพู่หยกในมือ ไม่ละสายตาไปแม้สักนิด คุณภาพเช่นนี้ สัมผัสจากมือเช่นนี้ รูปทรงเช่นนี้ นี่ต้องไม่ใช่สิ่งของที่คนธรรมดาจะมีได้แน่นอน
เขารับจำนำสิ่งของอยู่ในเมืองมาหลายปี เคยรับของล้ำค่าที่ดีเยี่ยมมาบ้างเช่นกัน แต่พู่หยกเช่นในตอนนี้ เขาเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ราคาของมันแพงลิ่วอย่างแน่นอน
จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองพี่น้องสองคนข้างนอกหน้าต่างบานเล็ก พวกเขาท่าทางยากจน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโลภ ไม่มีความเสียดายและอาลัยอาวรณ์ต่อพู่หยกนี้เลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าสิ่งของนี้ไม่ใช่ของพวกเขา
แท้จริงแล้วพวกเขาได้มาอย่างไร ตัวเขาไม่อยากถาม ไม่ว่าพวกเขาจะได้มาอย่างไร วันนี้เข้ามาอยู่ในโรงจำนำแล้ว เช่นนั้นก็ต้องเป็นสิ่งของของโรงจำนำ เป็นของเฉินจี้ผู้นี้
เขากล่าวกับพี่น้องสองคนข้างนอกว่า “แม้พู่หยกนี้จะดูประณีตงดงาม แต่หากมองดูอย่างละเอียดแล้ว ชัดเจนว่ามีรอยแตกอยู่ ควรค่าเป็นเงินไม่เท่าไร”
เจ้าใหญ่สีหน้าคร่ำเคร่ง ความยินดีบนใบหน้าหายไปในพริบตา รีบถามว่า “ควรค่าเป็นเงินไม่เท่าไร เช่นนั้นแล้วเป็นเงินเท่าไรกัน บอกราคามาเถิด”
เจ้าของร้านยื่นมือไปหยิบเงินสองก้อน ก้อนละสิบตำลึงเงินออกมาจากในกล่องข้างใต้ตู้ แล้ววางตรงหน้าต่างบานเล็กเสียงดัง ‘ปัง’ “ยี่สิบตำลึง พวกเจ้าจะจำนำก็จำนำ หากไม่จำนำก็กลับไปเสีย”
เมื่อได้ยินว่าจำนำได้ยี่สิบตำลึง เจ้าใหญ่ก็มีสีหน้ายิ้มแย้มในทันที ทีแรกเขายังคิดว่าจะจำนำได้เพียงไม่กี่ตำลึงเงิน จำนำได้ยี่สิบตำลึงเช่นนี้ ช่างเกินไปจากจินตนาการของเขานัก ดียิ่ง ดีเหลือเกิน
“จำนำ ข้าจำนำ” เจ้าใหญ่รีบกล่าว
เจ้าของร้านกระตุกยิ้มที่มุมปาก ใบหน้ามีแต่ความดูถูก ในใจกล่าวว่าช่างเป็นคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย
เขาดันเงินออกจากช่องหน้าต่างขนาดเล็ก ขณะเขียนตั๋วจำนำก็จงใจถามเขาว่า “เจ้ามาจากที่ใดหรือ”
เจ้าใหญ่รีบตอบ “พวกข้ามาจากหมู่บ้านหวงถัว สกุลไป๋ หากพูดถึงเจ้าใหญ่ไป๋ที่หมู่บ้านหวงถัว ก็ไม่มีใครไม่รู้จักข้าหรอก”
เจ้าของร้านจดบันทึกบางอย่างลงบนสมุดบัญชี ถึงอย่างไรพู่หยกนี้ก็ล้ำค่ายิ่งนัก และพวกเขาได้มาอย่างไรก็ไม่ชัดเจน หากในอนาคตเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่างน้อยก็จะตามหาต้นตอได้
เจ้าใหญ่และเจ้ารองนำเงินยี่สิบตำลึงเงิน รวมถึงตั๋วจำนำออกจากโรงจำนำด้วยความปลื้มปีติ ระหว่างทางเห็นว่ามีร้านขายเนื้อ จึงซื้อเนื้อมาเสียสองชั่ง ด้วยไม่ได้กินข้าวให้อิ่มท้องมาหลายวันแล้ว วันนี้จะได้กินเนื้อสัตว์เสียบ้างสักที
ว่ากันว่า ผู้คนกลัวการมีชื่อเสียง เฉกเช่นหมูกลัวว่าจะอ้วนขึ้น ครั้นมีเงินก็ได้อย่าได้อวดร่ำอวดรวย ทว่าเจ้าใหญ่ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้น แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยสัมผัสเงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อน จนแม้กระทั่งอยากจะแบกไว้บนหัวเสียด้วยซ้ำ ขณะซื้อเนื้อก็ตั้งใจตะโกนว่า “คนขายเนื้อ ข้าแตกเงินก้อนสิบตำลึงได้หรือไม่”
ชายหนุ่มคนขายเนื้อช้อนสายตาขึ้นมองเขา ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่ชายช่างพูดเล่นเสียจริง หากข้าทอนแม้แต่เงินก้อนสิบตำลึงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วข้าจะทำแผงขายเนื้อต่อได้อย่างไร”
[1] เซิง (升) ปริมาตรวัดข้าว 1 เซิงเท่ากับ 0.1 โต่ว