ตอนที่ 221 พยาธิในท้อง
หลังออกจากที่ว่าการอำเภอ ไป๋จื่อที่นั่งอยู่ในรถเห็นหูเฟิงบังคับรถอย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้เอ่ยถามอะไรนางแม้สักนิด
ด้วยนิสัยในยามปกติของหูเฟิง เมื่อครู่นางกระซิบกระซาบกับเมิ่งหนาน ตอนนั้นเขาไม่ได้ถาม แต่หลังจากนั้นเขาจะต้องถามให้ชัดเจนอย่างแน่นอน
ทว่าวันนี้กลับผิดไปจากปกติจริงๆ เพราะเขาไม่ได้ถามอะไรเลยสักคำ
ไป๋จื่อเกิดความสงสัย ทั้งยังอึดอัดจนกระวนกระวายใจ จึงลอดออกมาจากในรถ มานั่งอยู่ข้างๆ หูเฟิงเองเสียเลย
หูเฟิงชำเลืองมองนางเรียบๆ ครั้งหนึ่ง แต่ยังคงไม่คิดจะพูดอะไรออกมา
นั่นทำให้นางอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“นี่ เจ้าไม่อยากถามหรือ ว่าข้าพูดอะไรกับเมิ่งหนาน”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างเฉยชา “ไม่อยาก!”
“ไม่อยาก? ปกติเจ้าไม่ใช่คนเช่นนี้ เป็นอะไรไป โกรธอีกแล้วหรือ”
หูเฟิงขมวดคิ้ว “ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นผู้ชายขี้น้อยใจหรืออย่างไร”
ไป๋จื่อพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังอย่างมาก “ใช่สิ เจ้าเป็นผู้ชายขี้น้อยใจเช่นนั้นแหละ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าท่าทางในตอนนี้ของเจ้าดูผิดแผกไปมาก”
อีกฝ่ายตะลึงไปเล็กน้อย ในสายตาของไป๋จื่อ เขาดูขี้น้อยใจขนาดนั้นเชียวหรือ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดหูเฟิงก็เอ่ยปาก “ไม่ต้องถามข้าก็รู้ว่าเจ้ากับเมิ่งหนานพูดอะไรกัน ในเมื่อรู้ว่าพวกเจ้าพูดอะไรกันแล้ว ข้ายังจำเป็นต้องเปลืองแรงถามด้วยหรือ”
เขาเหล่มองนางครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเย็น “หากข้าถามแล้ว เจ้าก็จะบอกว่าข้าขี้น้อยใจ และชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น หากแต่ไม่ถาม เจ้าก็บอกว่าข้าผิดแผกไป สตรีอย่างเจ้าช่างเรื่องมากเสียจริงๆ”
นางทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย!
ไป๋จื่อเชิดหน้าขึ้น “เจ้าบอกว่าไม่ต้องถามก็รู้ว่าข้ากับเมิ่งหนานพูดอะไรกัน เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาหน่อยสิ ว่าข้ากับเมิ่งหนานพูดอะไรกัน”
นางไม่เชื่อหรอก เขาไม่ได้เป็นพยาธิในท้องของนางเสียหน่อย เขาจะไปรู้ได้อย่างไร
“จากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ หากให้เมิ่งหนานรายงานสถานการณ์กับทางเมืองหลวง แล้วค่อยให้เมืองหลวงส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้ แม้จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของทางการอย่างเคร่งครัด แต่ก็เสียเวลานานเกินไป ขุนนางในเมืองหลวงรอได้ เมิ่งหนานและใต้เท้ากู้ก็รอได้เช่นกัน แต่ผู้ประสบภัยและชาวบ้านของเมืองชิงหยวนรอไม่ได้ พวกเขาต้องอิ่มท้อง ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ดังนั้น…”
เด็กสาวเลิกคิ้ว จ้องมองใบหน้าด้านข้างของหูเฟิงด้วยแววตาทอประกาย “ดังนั้นอะไรหรือ”
“ดังนั้น เรื่องนี้จึงเร่งด่วนนัก ไม่ใช่เวลาสืบสาวว่าเสบียงอาหารของราชสำนักไปอยู่ที่ใด แต่ต้องแจกจ่ายเสบียงอาหารออกไปก่อน เพื่อคลายความเดือดเนื้อร้อนใจของพวกชาวบ้าน”
ไป๋จื่อรีบถาม “ดังนั้น? เข้าคิดว่าข้าบอกแผนการจัดการให้กับเมิ่งหนานหรือ”
หูเฟิงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ในลูกตาดำของเขาตอนนี้เหมือนทะเลสาบลึกไร้ก้น แววตาเรียบเฉยไร้คลื่นลม “ในเมื่อกักตัวใต้เท้ากู้ไว้ได้แล้ว เขาย่อมต้องพูดโพล่งออกมา ให้เมิ่งหนานเจรจาเรื่องนี้กับเขา โดยที่อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องเสบียงอาหารของราชสำนักถูกปล้น เพียงแต่โน้มน้าวให้เขาแจกจ่ายเสบียงอาหารก่อน แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นต้องใช้ประโยชน์จากฐานะของเมิ่งหนาน ด้วยฐานะอันสูงส่งจากครอบครัวร่ำรวยของเขา อย่างไรนั่นก็เป็นข้อดี แล้วค่อยเพิ่มการข่มขู่สักสองสามส่วน หากใต้เท้ากู้ติดกับ เขาย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไร ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากใต้เท้ากู้แจกจ่ายเสบียงอาหาร และใช้เสบียงของตนเองช่วยเหลือผู้ประสบภัย สิ่งที่เขาเสียไปก็เป็นเพียงทรัพย์สินนอกกายเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาได้รับจะเป็นชื่อเสียงเกียรติยศที่เขาใช้เงินซื้อไม่ได้ ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อหนทางขุนนางในภายภาคหน้าของเขา”
“แน่นอนว่าคดีเสบียงอาหารของราชสำนักถูกปล้นนี้ การสืบสวนและให้ความร่วมมือใดๆ จนได้เรื่องได้ราวย่อมดีที่สุด แต่ตรวจสอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรใต้เท้ากู้ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ยิ่งนานวันเข้า เขาก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้นเท่านั้นไม่ใช่หรือ”
ไป่จื่อเกือบจะปรบมือ สิ่งที่เขาพูดเหมือนสิ่งที่นางพูดกับเมิ่งหนานอย่างคาดไม่ถึง แม้วิธีการบางอย่างจะไม่เหมือนกันอยู่บ้าง แต่โดยแผนการโดยรวมล้วนตรงกัน
……….
ตอนที่ 222 ตามหาฐานะของตนเอง
“เจ้าคงไม่ได้ยินที่ข้าพูดกับเมิ่งหนานกระมัง” นางยังคงไม่กล้าเชื่อ ว่าความคิดของเขาจะคล้ายคลึงกับนางจนน่าตกใจเช่นนี้
หูเฟิงเหล่มองนางอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “หากเจ้าต้องการคิดเช่นนั้น ก็ตามใจเจ้า!”
นางจับจ้องบุรุษข้างกายเขม็ง แม้จะสูญเสียความทรงจำไป ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าบ้านของตนเองอยู่ที่ใด แต่เขากลับมีความเฉลียวฉลาดอันเป็นธรรมชาติ มีไหวพริบต่อเรื่องราวสำคัญเช่นนี้ ชัดเจนว่าฐานะของเขาต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
“หูเฟิง” นางเอ่ยเรียกเสียงเบา
“หืม?” เขาตอบรับเสียงเบาเช่นกัน
“เจ้าคิดว่า แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใคร”
ในสายตาที่เงียบสงบไร้คลื่นลมของเขา กลับมีระลอกคลื่นหนึ่งปรากฏขึ้นในทันใด ราวกับมีใครโยนก้อนหินลงไปกลางทะเลสาบ ทำให้ทะเลสาบที่สงบรายเรียบเกิดความวุ่นวายขึ้น
“ข้าไม่รู้”
นางเอียงคอมองเขา จู่ๆ ก็ยิ้มสดใสยิ่งกว่าเดิม “ข้าขอเดาสักหน่อยแล้วกัน”
เขาพลันหยุดบังคับรถม้า ให้รถม้าหยุดอบู่บนทางเดินขึ้นเขา ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับนาง มองนางด้วยแววตาเอาจริงเอาจังและจดจ่อ และในแววตานั้นก็ระคนไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“ลองพูดมาสิ!” เขากล่าว
เด็กสาวกระแอมเบาๆ แล้วเคลื่อนสายตาออกจากใบหน้าของเขา บุรุษผู้นี้งดงามจนเกินไป นางกลัวว่าหากมองไปนานๆ เข้าแล้วจะตกอยู่ในมนตร์สะกดของเขา
“ข้าเดาว่าเจ้าเป็นคุณชายในตระกูลร่ำรวย น่าจะไม่ต่ำต้อยไปกล่าเมิ่งหนานด้วยซ้ำ ภายนอกดูเงียบขรึมและเย็นชา ทว่าความจริงแล้วเจ้ากลับมีชีวิตชีวา ฉลาดเฉียบแหลมเกินใคร มีวิธีการมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกับคนทั่วไป นี่พิสูจน์ว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่คุณชายในตระกูลร่ำรวยธรรมดา ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดในรั้วในวัง ดูจากที่เจ้ามีวรยุทธ์แก่กล้าแล้ว จะต้องเป็นขุนนางฝ่ายบู๊คนหนึ่งอย่างแน่นอน”
ครั้นเห็นหูเฟิงฟังนางพูดจนตกอยู่ในภวังค์ อีกทั้งบนใบหน้าของเขาก็ไม่มีความประหลาดใจเลยสักนิด ในใจนางคิดถึงปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขาไว้ได้อยู่ก่อนแล้ว จึงพูดต่ออีกว่า “ข้าได้ยินมาว่า สามปีก่อนที่ท่านลุงหูจะพบเจ้า ทางเหนือมีการต่อสู้อยู่ครั้งหนึ่งพอดี แต่ขณะที่เขาพบเจ้า ตอนนั้นสงครามบริวเณชายแดนจบลงไปได้หนึ่งเดือนแล้ว ข้าจึงสงสัยว่าเจ้าอาจจะเป็นแม่ทัพที่ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้”
เรื่องเหล่านี้ที่นางคิด หูเฟิงก็เคยคิดมาก่อนเช่นกัน เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวอย่างไป๋จื่อจะคิดเชื่อมโยงเรื่องราวได้เก่งกาจเช่นนี้
ไป๋จื่อกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นว่าเจ้ารีบร้อนฟื้นความทรงจำเช่นนี้ ในเมื่อคาดเดาฐานะของตนเองได้คร่าวๆ แล้ว ถึงแม้จะเดาฐานะที่แท้จริงไม่ได้ แต่ขอเพียงไปเมืองหลวง หาคนที่ร่วมรบและได้รับชัยชนะกลับไปที่เมืองหลวงพบ พวกเขาจะต้องจำเจ้าได้แน่ เพื่อตามหาฐานะของตนเองแล้ว ไหนเลยเจ้าจะไม่ไป”
หูเฟิงไม่ตอบ กลับถามว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเหตุใดข้าถึงไม่ไป”
“ข้าไม่กล้าพูดหรอก” ไป๋จื่อหัวเราะเสียงดัง
ชายหนุ่มร้อง ‘ชิ’ เลียนแบบนาง “เจ้าไม่กล้า? บนโลกนี้มีเรื่องใดที่เจ้าไม่กล้าอีกหรือ อย่าอมพะนำหน่อยเลย พูดออกมา!”
“เช่นนั้นข้าขอพูดตามตรง” นางขยิบตาให้เขา พยายามทำให้บรรยากาศน่าตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
“พูดเร็วเข้า!” เขาพยักหน้า ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
ในใจของเขามีคำตอบอยู่แล้ว แต่เขาอยากฟังคำตอบของนางก่อน อยากรู้ว่านางจะฉลาดเช่นที่เขาคิดไว้หรือไม่
ใบหน้ายิ้มแย้มของไป๋จื่อพลันจริงจังขึ้นมา “วรยุทธ์ของเจ้าสูงส่งเช่นนั้น คนที่ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้เมื่อสามปีก่อน จะต้องไม่ใช่คนที่มีจิตใจดีหรือมีเมตตา และมีความเป็นไปได้อีกว่า เขาอาจจะเป็นคนคุ้นกับเจ้า ถึงได้ลงมือลอบสังหารเจ้าอย่างเยือกเย็น ในขณะที่เจ้าไม่ทันระวังตัวได้ เจ้าหนีไปจากสถานการณ์เช่นนั้นได้อย่างยากลำบาก รักษาชีวิตของตนไว้ได้ แต่กลับสูญเสียความทรงจำไปอย่างน่าเสียดาย”
“ดังนั้น เจ้าไม่รู้ว่าคู่แค้นของเจ้าเป็นใคร ถึงแม้รู้ดีว่าขอเพียงเจ้าไปที่เมืองหลวง ก็สามารถตามหาฐานะของตนเองกลับมาได้ แต่ตอนนี้เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้”