ตอนที่ 365 เข้าร่วมกองทัพ
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นกันนะ ในเมื่อนางยังไม่ได้ตายในโลกนั้น แล้วเหตุใดนางถึงมาปรากฏตัวที่นี่
ผู้ควบคุมโลกใบนี้ต้องการทำอะไรกันแน่
ฟ้าสว่างโร่แล้ว นางถอนใจยาวๆ เสียงหนึ่ง ก่อนจะลุกจากเตียงไปล้างหน้าล้างตา
ไม่ว่าเหตุผลในเรื่องราวนั้นจะเกี่ยวโยงถึงอะไร นางก็ไม่สามารถต่อต้านได้ทั้งนั้น ทำได้แค่เดินหน้าต่อไป
เมื่อไปถึงเรือนด้านหน้า นางเห็นว่าม้าที่ควรจะถูกผูกอยู่ใต้ต้นไม้หายไป จึงกล่าวกับลุงหูที่ตากถั่วลิสงอยู่ในลานบ้านว่า “ท่านลุงหู ม้าไปไหนเล่าเจ้าคะ”
หูจ่างหลินเงยหน้ามองนาง ยิ้มกล่าวว่า “หูเฟิงขี่ม้าไปแล้ว บอกว่าจะออกไปจัดการธุระสักหน่อย เขาไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างแล้วละ ท่าทางลับๆ ล่อๆ ถามอย่างไรเขาก็ไม่ยอมตอบ”
ไป๋จื่อร้องอ๋อเสียงหนึ่ง นางไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ในใจกลับรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง ช่วงนี้หูเฟิงมักจะขี้ม้าออกไปข้างนอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปทำอะไร
ไม่ว่าเขาจะไปทำอะไร นางหวังเพียงให้เขาปลอดภัยก็พอ อย่าได้มีใครวางแผนทำร้ายเขาเลย
“จ่างหลินอยู่หรือไม่!” หัวหน้าหมู่บ้านเดินมาถึงนอกรั้วลานบ้าน ครั้นเห็นหูจ่างหลิน เขาก็เปิดประตูรั้วเดินเข้ามาเอง
หูจ่างหลินหยุดงานในมือ ยืดกายขึ้นยิ้มให้หัวหน้าหมู่บ้าน “เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง หากยังไม่ได้กินก็กินเสียที่นี่เถอะ”
หัวหน้าหมู่บ้านโบกมือ “กินแล้ว ข้ามาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องอยากปรึกษาเจ้า”
หูจ่างหลินปัดฝุ่นบนมือทิ้งไป ถามว่า “เรื่องอะไรรึ ท่านถึงได้ต้องลำบากมาที่นี่ด้วยตนเองเช่นนี้”
หัวหน้าหมู่บ้านเดินไปถึงข้างกายของอีกฝ่าย แล้วตบไหล่เขาเบาๆ กล่าวเสียงเบาว่า “จ่างหลินเอ๋ย เจ้าก็น่าจะได้ยินแล้วกระมัง ทางชายแดนเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกแล้ว ราชสำนักส่งกองทัพใหญ่ไปรับมือ ทว่าน้ำที่อยู่ไกลย่อมดับไฟไม่ได้ กว่ากองทัพใหญ่จะไปถึงก็อีกนานทีเดียว ราชสำนักจึงออกราชโองการ ให้อำเภอในปกครองของจังหวัดชิงโจวของพวกเรารวบรวมกำลังพลสามพันนายไปร่วมรบ เมืองชิงหยวนของพวกเราก็ต้องไปมากถึงแปดร้อยคน ทุกหมู่บ้านล้วนมีจำนวนคนที่แน่นอน หมู่บ้านเรามีสามสิบคน บุรุษที่แข็งแรงอายุสิบหกถึงสี่สิบปี ขอเพียงยินยอมเข้าร่วมกองทัพ ก็จะได้รับบำเหน็จยี่สิบตำลึงเงินจากราชสำนัก จ่างหลินเอ๋ย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสกุลหูมีเงิน แต่คนในหมู่บ้านของเราที่เข้าร่วมได้ก็เข้าร่วมไปแล้ว ขาดอีกเพียงสามคนเท่านั้น หูเฟิงเองก็เป็นวรยุทธ์ ถึงเขาจะไปรบ ก็จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน เจ้าว่าจะพูดให้หูเฟิงสมัครเป็นทหารได้หรือไม่”
สีหน้าของหูจ่างหลินเปลี่ยนไปแล้ว เขาลำบากใจอย่างยิ่ง เพราะเขาเห็นหูเฟิงเป็นบุตรชายแท้ๆ ของตน พ่อแม่คนใดจะปล่อยให้บุตรชายร่วมกองทัพไปสนามรบได้กัน คนที่ไปแล้วไม่ได้กลับมาก็มีตั้งมากมาย เขาจะตัดใจลงได้อย่างไร
ครั้นเห็นหูจ่างหลินลำบากใจ หัวหน้าหมู่บ้านก็รีบพูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวกับความสมัครใจ ไม่อาจขอร้องกันได้โดยสิ้นเชิง เจ้ากับหูจ่างหลินก็ปรึกษากันสักหน่อยเถอะ หากไปไม่ได้จริงๆ บอกข้าสักคำก็พอแล้ว”
หูจ่างหลินตอบรับ ก่อนจะส่งหัวหน้าหมู่บ้านออกไป
ไป๋จื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านชัดเจนดี เข้าร่วมกองทัพ? ใช้ฐานะพลทหารเข้าร่วมกองทัพหรือ
เมื่อสามปีก่อนหูเฟิงสังกัดอยู่หน่วยใด เขาเป็นองค์ชาย อย่างน้อยก็ต้องเป็นแม่ทัพหรือจอมพลกระมัง
หูเฟิงเคยบอกไว้ว่า เขาตามกองทัพไปออกศึกเมื่ออายุสิบเจ็ด อยู่ในสนามรบเป็นเวลาทั้งสิ้นเจ็ดปี เอาชนะศัตรูไปได้ไม่น้อย ดูท่าทางอำนาจและบารมีของเขาเมื่ออยู่ในทัพจะต้องสูงมากแน่ คนที่เคยพบเห็นเขาย่อมมากเช่นกัน หากเขาไปยังค่ายทหาร คงจะมีคนจำเขาได้บ้างใช่หรือไม่
เมื่อมีคนจำเขาได้ คนที่ทำร้ายเขาคนนั้นจะต้องรู้ข่าวว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นแล้วสถานการณ์ของหูเฟิงก็จะตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง
อย่างไรหูเฟิงก็ไปไม่ได้เด็ดขาด
จนกระทั่งดวงตะวันคล้อยลงทางทิศตะวันตก หูเฟิงถึงจะกลับมา
ไป๋จื่อยืนอยู่ในลานบ้าน เห็นบุรุษร่างสูงสง่าฟาดแส้ควบม้าตะบึงมาหานาง ทำเอานางไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ในทันที
……….
ตอนที่ 366 ข้าจะเข้าร่วมกองทัพ
เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้น่ามองเช่นนี้
คนเช่นเขา หากมีวันใดที่ได้กลับเมืองหลวง หวนคืนสู่ตำแหน่งของเขา ก็ไม่รู้ว่าจะมีสตรีมอบหัวใจให้เขามากมายเพียงใด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกหวงขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเองด้วยความระอา เขามีชีวิตของเขา ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางสักนิด เดิมทีตนกับเขาก็เป็นเหมือนคนที่อยู่กับคนละโลกอยู่แล้ว
หูเฟิงลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เขาผูกม้าไว้ใต้ต้นไม้ แล้วเร่งฝีเท้าเดินไปถึงตรงหน้าของไป๋จื่อ บนใบหน้าเฉยชาคล้ายกับมีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมา “รอข้าอยู่หรือ”
ไป๋จื่อกระแอมเสียงหนึ่ง จงใจลากเสียง “แน่นอน…ว่าไม่ใช่”
ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้โกรธ เขาดันหลังนางเข้าไปในลานบ้าน ก่อนจะเห็นถั่วลิสงในลานบ้านถูกเก็บไปหมดแล้ว หูจ่างหลินนั่งเหม่ออยู่ที่หน้าประตู ราวกับมองไม่เห็นเขาอย่างไรอย่างนั้น
หูเฟิงเรียกผู้เป็นบิดาครั้งหนึ่ง เขาถึงจะตื่นจากภวังค์ รีบหยัดกายลุกขึ้น ถามบุตรชายว่าเหนื่อย กระหาย หรือว่าหิวหรือไม่
ในใจของหูเฟิงพลันเกิดความรู้สึกอบอุ่น รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าเบ่งบาน “ข้าไม่เหนื่อย ท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
หูจ่างหลินถอนใจเสียงหนึ่ง หมุนกายเข้าเรือนไปหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา ให้หูเฟิงนั่งลงข้างๆ เขา
“อาเฟิง วันนี้หัวหน้าหมู่บ้านมาหาข้า เขาบอกว่าทางชายแดนเกิดการสู้รบอีกแล้ว ราสำนักส่งคนมาเกณฑ์ทหาร อายุของเจ้าเหมาะสมพอดี ทั้งยังมีวรยุทธ์ หัวหน้าหมู่บ้านจึงถามข้าว่าเจ้าอยากไปหรือไม่”
หูเฟิงไม่ได้ตกใจเลยสักนิด ราวกับรู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศพลันหม่นมอง “ท่านพ่อ ข้าอยากไป”
หูจ่างหลินตะลึงลาน ปากขยับพะงาบๆ อยู่หลายครั้ง เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากให้ข้าไป ด้วยกลัวว่าข้าจะเจออันตราย ข้าก็ไม่อยากจากท่านไปเช่นกัน แต่นี่เป็นโอกาสครั้งเดียวของข้า ข้าไม่อยากพลาดมันไป” หูเฟิงกล่าว
“โอกาส? โอกาสอะไร” หูจ่างหลินไม่เข้าใจ
หูเฟิงว่า “โอกาสแก้แค้น บัดนี้คนที่เคยทำร้ายข้ายังมีชีวิตที่เป็นสุขอยู่ ข้าไม่อาจทำเหมือนกับว่าเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นได้ และไม่อาจปล่อยศัตรูให้ลอยนวล”
หูจ่างหลินมองหูเฟิงด้วยความงงงัน “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าความทรงจำของเจ้ากลับมาแล้วหรือ”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ใช่ขอรับ ความทรงจำของข้าฟื้นกลับมาแล้ว ท่านพ่อ ข้าจำได้ทุกอย่างแล้ว ข้าเคยลองลืมอดีต ใช้ชีวิตที่สงบสุข ไม่สนใจเรื่องราวทางโลกเหล่านั้นเช่นกัน แต่ท่านพ่อ ข้าทำไม่ได้”
หูจ่างหลินถามเสียงสั่นเครือ “เช่นนั้น ในอดีตเจ้าเป็นคนที่ใด บ้านเจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดญาติของเจ้าถึงไม่เคยมาตามหาเจ้าเลย”
หูเฟิงส่ายหน้า “ท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งถามข้าเรื่องนี้เลย รอให้จังหวะมาถึงก่อน เมื่อข้ากลับมา ถึงตอนนั้นข้าจะบอกทุกอย่างให้ท่านรู้ ข้าเป็นบุตรชายของท่าน อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
หูจ่างหลินพยักหน้าพร้อมน้ำตา อาเฟิงไม่อยากพูดเพราะมีเรื่องลำบากใจเป็นแน่ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ถาม
“เอาล่ะ พ่อจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่ว่านานเพียงใด พ่อก็จะรอเจ้าอยู่ที่นี่ รอเจ้ากลับมา”
หลังมื้อเย็น ไป๋จื่อส่งสายตาให้หูเฟิง เป็นการบอกให้เขาไปคุยกันที่ลานบ้าน
หูเฟิงวางตะเกียบและชามลง ตามนางออกไปข้างนอก
“นี่ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ไปที่ค่ายทหารแล้ว เจ้าไม่กลัวฐานะของตัวเองจะถูกเปิดเผยหรือไร”
ชายหนุ่มส่ายหน้า เขายิ้มจางๆ “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว แม้ข้าจะเคยนำทัพสู้รบมาหลายปี คนในค่ายทหารที่รู้จักข้า จำหน้าตาของข้าได้ก็มีอยู่ไม่มาก แต่แม้กระทั่งข้ายังถูกทำร้ายจนมีสภาพเป็นเช่นนั้น เหล่าพลทหารที่จงรักภักดีต่อข้าจะเหลือชีวิตรอดหรือ นอกจากคนในค่ายทหารม้าหุ้มเกราะ คนอื่นๆ ที่รู้จักข้าในค่ายทหารคงจะไม่มีแล้วล่ะ”