ตอนที่ 391 นับเงินเล่นอยู่ที่บ้าน
เฉินไท่เหรินพลันเข้าใจอย่างถ่องแท้ “อ๋อ…ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าอาหารเป็นยาที่ข้าเคยกินก่อนหน้านี้ถึงกลิ่นแรง แม้รสชาติจะถือว่าใช้ได้ แต่กลิ่นของมันกลับทำให้คนอยากอาเจียนเสียเหลือเกิน”
เขารีบเก็บรายการสมุนไพรอย่างดี “เจ้าหมายความว่า เจ้าตั้งใจจะปลูกเองหรือ”
ไปจื่อพยักหน้า “พวกข้าเป็นชาวไร่ชาวนา มีทั้งที่นาและที่ดิน แน่นอนว่าต้องปลูกเองเจ้าค่ะ ไม่เพียงสร้างรายได้ให้ตนเองเท่านั้น ครั้นจะนำไปใช้สอยก็วางใจได้มากกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นอาหารเป็นยา นำสมุนไพรผสมเข้าไปในอาหาร หากประมาทเลินเล่อ กินแล้วตายขึ้นมาก็แย่สิเจ้าคะ”
เฉินไท่เหรินพยักหน้าหงึกหงัก “เจ้าพูดถูกต้อง ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองหลวง อาหารเป็นยาใช่ว่าจะกินได้ตามใจชอบ ต้องปรึกษาหมอของร้านอาหารก่อน ถึงจะได้กินอาหารเป็นยาที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นหากินแล้วเกิดผลร้าย ร้านอาหารรับผิดชอบไม่ไหวแน่”
“อาหารเป็นยาที่ข้าทำไม่ได้ยุ่งยากเช่นนั้นเจ้าค่ะ ที่ข้าจะทำล้วนเรียบง่าย มีสรรพคุณในการเพิ่มเลือดลมและความเข็งแรงก็เท่านั้น ทุกคนกินได้ และไม่มีผลข้างเคียงอะไร ทั้งยังลดความยุ่งยากให้พวกเราด้วยเจ้าค่ะ” ไป๋จื่อกล่าว
เถ้าแก่เฉินถามอีกว่า “เช่นนั้นหากมีคนต้องการกินอาหารเป็นยาที่มีฤทธิ์แรงกว่านั้นล่ะ อย่างเช่นป่วยไข้ด้วยโรคอะไรบางอย่างมา แล้วอยากอาศัยอาหารเป็นยาปรับสภาพร่างกาย หากเป็นเช่นนั้นควรจะทำอย่างไร”
ไป๋จื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เอาอย่างนี้เจ้าค่ะ ทุกเจ็ดวันข้าจะมาที่ร้านสือเค่อหนึ่งครั้ง หากมีคนต้องการเช่นนั้น ก็ให้เขามารอข้าที่ร้านสือเค่อ หลังจากข้าตรวจดูเขาแล้ว ก็จะจัดอาหารเป็นยาที่เหมาะกับเขาให้ แน่นอนว่าข้าไม่ตรวจให้เปล่าๆ หวังว่าท่านจะเข้าใจนะเจ้าคะ!”
เฉินไท่เหรินยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาปรบมือร้องว่า “ดีๆๆ ตกลงตามนี้ดีที่สุด ข้าไม่ให้เจ้าตรวจดูเปล่าๆ อยู่แล้ว”
ทั้งสองคนสนทนากันอีกพักหนึ่ง ไป๋จื่อก็รู้สึกหิวแล้วเช่นกัน จึงขอตัวลาจากเฉินไท่เหริน
ฝ่ายเถ้าแก่เฉินลุกขึ้นส่งนาง ทว่ารีบร้อนจนเกินไป ร่างกายอวบอ้วนของเขาจึงชนเข้ากับมุมโต๊ะ ทำเอาเขาเจ็บจนต้องร้องโอดโอย
ไป๋จื่อเห็นเขาเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางถอนใจว่า “พี่ใหญ่เฉิน อย่าหาว่าข้าพูดตรงประเด็นเกินไปเลยนะเจ้าคะ แต่ควรจะลดน้ำหนักจริงๆ แล้ว ดูเนื้อตัวของท่านสิ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของท่านต้องรับไม่ไหวแน่ มีหลายโรคที่เกิดจากความอ้วน ถือโอกาสลดน้ำหนักเสียตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่ยังไม่ถึงจุดที่ย่ำแย่ ยังไม่สายเกินไปนะเจ้าคะ”
เฉินไท่เหรินฉีกยิ้ม “ข้าก็เพิ่งมาอ้วนตอนมาอยู่ที่เมืองชิงหยวนนี่แหละ ตอนที่เพิ่งมาถึงข้ากลุ้มใจมาก ไม่อยากแม้จะบริหารร้าน เอาแต่กินกับนอนทั้งวัน หลังจากนั้นถึงค่อยตั้งสติได้ ทว่าก็แก้นิสัยรักการกินไม่หายเสียที”
เด็กสาวเห็นเขามีสีหน้าไม่ยี่หระ จึงถอนหายใจอีกเสียงว่า “ท่านอย่าเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สิเจ้าคะ จะอ้วนเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่เพียงอ้วนขึ้นไม่ได้ ท่านควรจะกลับไปผอมเสียด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วร่างกายของท่านจะต้องรับไม่ไหว ถึงเวลานั้นแล้วลำบากแน่เจ้าค่ะ”
เฉินไท่เหรินเห็นนางเอาจริงเอาจัง จึงตอบกลับนางอย่างจริงจังเช่นกัน “ได้ๆ ข้าจะจำไว้ น้องข้าเป็นห่วงพี่ใหญ่เช่นนี้ ข้าเป็นสุขใจนัก”
เขาไปส่งนางถึงห้องรับรอง ครั้นดื่มสุรากับหูจ่างหลินและอาอู่เสียสองจอกแล้ว เขาถึงจะขอตัวลา
เถ้าแก่เฉินเพิ่งออกไป จ้าวหลานก็ถามไป๋จื่อว่า “เจ้าพูดอะไรกับเขาหรือ เหตุใดใช้เวลานานเช่นนี้”
ไป๋จื่อคีบหมูสามชั้นนึ่งข้าวคั่วเข้าปาก เคี้ยวเนื้อหมูที่หอมนุ่ม พลางพูดทั้งๆ ที่มีอาหารเต็มปาก “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แค่พูดเรื่องการค้าขายเล็กน้อย พวกเราใกล้เก็บแตงดินในที่ดินหมดแล้ว ไม่อาจปล่อยให้ที่ดินรกร้างได้กระมัง”
หูจ่างหลินกล่าวต่อ “ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ยังจะปลูกอะไรได้อีกหรือ”
เด็กสาวยิ้มอย่างมีเลศนัย “ย่อมมีอะไรให้ปลูกแน่เจ้าค่ะ ทั้งยังได้เงินเป็นกอบเป็นกำ พวกท่านรอดูได้เลยเจ้าค่ะ ที่ดินสามหมู่ของพวกเราสองสกุล หากถึงเวลานั้นปลูกพร้อมทั้งหมด ก็รอนับเงินเล่นอยู่ที่บ้านเถอะเจ้าค่ะ”
อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ไม่เหมาะจะปลูกแตงดินในที่ดินแล้ว ทว่าสมุนไพรบางชนิดกลับเหมาะจะปลูกในเวลานี้เป็นที่สุด
เมื่อหรูเอ๋อร์ได้ยินก็ปรบมือขึ้นมา “นับเงินเล่นสนุกยิ่ง ข้าอยากเล่นด้วย!”
……….
ตอนที่ 392 วิชามาร
ทุกคนพลอยหัวเราะตามไปด้วย หลังจากกินข้าวกลางวันอันโอชะมื้อนี้เสร็จแล้ว ฝนก็หยุดตกพอดิบพอดี พวกเขาจึงไปซื้ออาหารและของใช้ที่ตลาดอีกจำนวนหนึ่ง เดินเล่นถึงยามเซินแล้วถึงกลับหมู่บ้าน
ขณะนี้หญิงชราและหลิวซื่อกำลังดึงทึ้งหัวหน้าหมู่บ้าน ร้องไห้ฟ้องร้องอยู่ข้างนอกรั้วบ้านสกุลหู เสียงร้องไห้ของพวกนางน่าเวทนานัก น้ำหูน้ำตาเรี่ยราด ระหว่างร้องไห้ก็ก่นด่าไปด้วย
“กลับมาแล้วๆ พวกจ่างหลินกลับมาแล้ว”
ชาวบ้านที่มุงดูอยู่กล่าวกับหัวหน้าหมู่บ้าน
หัวหน้าหมู่บ้านยืดคอยาวไปมอง เห็นรถม้าคันหนึ่งกำลังเคลื่อนที่มาหาพวกเขาจริงๆ
รถม้าจอดลงตรงหน้าผู้คน อาอู่ที่เป็นผู้บังคับรถม้าถามทุกคนที่ล้อมรอบรั้วบ้านว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรกันอยู่ที่นี่”
ฝ่ายหัวหน้าหมู่บ้านเบียดฝูงชนมาเบื้องหน้า กล่าวถามโจวอาอู่ว่า “ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาแล้ว ข้ารอเจ้าอยู่ตั้งนานแน่ะ”
หญิงชราและหลิวซื่อก็แหวกชาวบ้านหลายคนออกมา ถลันมาถึงด้านหน้า หญิงชราเท้าสะเอว มือข้างหนึ่งชี้ไปทางอาอู่ “ไอ้ฆาตกรชั่ว ทำร้ายลูกชายข้าแล้วก็หนีไป เก่งจริงเจ้าก็อย่ากลับมาสิ!”
ไป๋จื่อกล่าวกับจ้าวซู่เอ๋อและจ้าวหลานที่อยู่ในรถว่า “พวกท่านอยู่ข้างในก่อนเถอะ ข้าจะไปจัดการกับพวกเขา”
นางลอดออกมาจากในรถ แล้วยืนมองหญิงชรากับหลิวซื่อจากบนแท่นรถ ในสายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามอันแสนเย็นชา
“ฆาตกร? ชั่ว? พวกเจ้ากำลังว่าใครอยู่” เสียงของนางเอื่อยเฉื่อย ทว่าทุกคำพูดของนางกลับกระทบโสตประสาทของทุกคนอย่างชัดเจน
หญิงชราใจเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เดี๋ยวนี้เวลานางเห็นไป๋จื่อ นางมักจะรู้สึกว้าวุ่นใจอยู่เสมอ แม้กระทั่งไม่กล้าสบตากับเด็กสาว แววตาของเด็กสาวนางนี้แหลมคมราวกับทิ่มแทงไปถึงหัวใจของนางได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
หลิวซื่อที่อยู่ข้างๆ กลับไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น นางเห็นหญิงชราไม่รับคำในทันที จึงนึกโมโหขึ้นมา คิดว่าตนเองตกเป็นเบี้ยล่าง รีบร้องตะโกนว่า “ว่าใคร? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าข้ากำลังว่าใคร ตอนที่สุนัขรับใช้ของเจ้าทำร้ายเจ้าใหญ่ เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ”
ไป๋จื่อหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน กล่าวด้วยโทสะว่า “หลิวกว้าหัว พูดจาให้ดีๆ หน่อยเถอะ ถึงแม้พวกเจ้าทั้งครอบครัวจะเป็นสุนัขรับใช้ แต่พี่ใหญ่โจวไม่มีทางเป็นสุนัขรับใช้ให้ใคร อีกอย่าง เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็มีคนในหมู่บ้านเห็นอยู่ไม่น้อย สามีของเจ้าไร้ประโยชน์เอง วางท่าอยากทำร้ายคนอื่น แต่กลับทำร้ายตนเองเข้าเพราะไม่ระวังตัว เช่นนั้นเขาก็สมควรโดนแล้วล่ะ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพี่อู่ทั้งนั้น”
หลิวกว้าหัวโมโหจนแทบจะกระอักเลือด จึงเท้าเอวต่อว่าด้วยความโกรธขึ้งในทันที “เจ้าพูดมั่วแล้ว พูดโกหกกลางวันแสกๆ แขนสองข้างของเจ้าใหญ่หักทั้งหมด เขาจะล้มจนมีสภาพเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร อย่าคิดว่าพวกข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าโจวอาอู่ผู้นั้นเป็นวรยุทธ์ เขาจะต้องมีวิชามารอะไรทำร้ายเจ้าใหญ่ของข้าแน่ๆ”
“หลิวกว้าหัว จะพูดอะไรต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่ว่าจะพูดอะไรๆ ตามใจชอบได้ ข้าได้ยินมาว่าแคว้นฉู่มีข้อห้ามไม่ให้ฝึกวิชามารอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร หากพบว่ามีใครฝึกวิชามารจะสั่งประหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านบอกทีว่ามีข้อห้ามเช่นนี้ใช่หรือไม่” ไป๋จื่อกล่าวเสียงเย็น
หัวหน้าหมู่บ้านรีบกล่าว “มีๆๆ มีเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ไป๋จื่อกล่าวอีกว่า “ข้ายังได้ยินมาอีกว่าผู้ที่รายงานต่อทางการจะได้รับพิจารณารางวัล เงินรางวันนั้นสูงถึงพันตำลึง แต่หากเป็นการใส่ร้ายป้ายสี จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ถูกใส่ร้ายพันตำลึง เพราะถือเป็นการทำลายชื่อเสียง ทว่าหากจ่ายเงินชดเชยไม่ได้ ก็จะต้องเข้าคุกสิบปีเป็นอย่างต่ำ ท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าพูดถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าพูดถูกต้อง!” หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้า
ก่อนหน้านี้ไป๋จื่อเองก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องพรรค์นี้ด้วย แต่วันนี้นางได้ยินคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ พูดถึงเรื่องนี้ขณะดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชา นางถือโอกาสฟังไปด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ใช้ความรู้ในตอนนี้พอดี
ไป๋จื่อกวาดสายตาเย็นชามองไปทางหลิวซื่อ “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหาเงินชดเชยพันตำลึงเงินมาได้หรือไม่ หากหามาไม่ได้ ก็อย่าได้กล่าววาจาที่ไม่มีหลักฐานเช่นนี้มั่วซั่วเลยจะดีกว่า”