ตอนที่ 487 หวังจิ้งไห่
ไป๋จื่อบังคับรถม้าออกจากค่ายทหารไป ระหว่างออกไปผ่านหน่วยเสบียง จูซื่อที่กำลังง่วนอยู่ในกระโจมเห็นไป๋จื่อที่นั่งอยู่บนแท่นบังคับรถม้าพอดี ก็พลันมีสีหน้าประหลาดใจ เขาลากหูเฟิงมาในทันที แล้วชี้ไปยังไป๋จื่อที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ “ดูเจ้าหนุ่มคนนั้นสิ หน้าตาท่าทางเหมือนไป๋จื่อที่บ้านเจ้าไม่มีผิดเพี้ยนเลย”
หูเฟิงกลอกตาขาวใส่เขา แล้วกล่าวเสียงเย็น “เจ้ารู้ว่าเขาเป็นเด็กหนุ่ม แล้วเขาเหมือนนางที่ตรงไหน ข้ามองอย่างไรก็ไม่เห็นเหมือน ไปทำงานเสีย!”
จูซื่อถูกเขาตำหนิ จึงทำหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง คนผู้นี้โกรธเคืองอะไรกัน กินดินปืนมาแต่เช้าหรือไร
หูเฟิงกวาดสายตามองรถม้าคันนั้นครั้งหนึ่ง หัวคิ้วขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ อีกสองวันหวังจิ้งไห่จะมาถึงที่นี่แล้ว สามปีที่ผ่านมานี้ เขาเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่
เขาไม่ได้สนิทสนมกับหวังจิ้งไห่ ตอนนั้นเขาเดินทางเข้าสู่สมรภูมิตั้งแต่อายุสิบสาม รับตำแหน่งรองแม่ทัพภายใต้กำกับของหวังจิ้งไห่ อีกฝ่ายนับว่าเป็นบุคคลที่เก่งกาจคนหนึ่ง ระหว่างเวลาที่ร่วมรบกัน หวังจิ้งไห่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเป็นองค์ชาย แม้กระทั่งไม่รู้สึกว่าเขามีความแตกต่างอะไรกับเหล่านายทหารพวกนั้น
ต่อมาเขาค่อยๆ เข้าใจความคิดของหวังจิ้งไห่ และเคารพเลื่อมใสคนผู้นี้จากใจจริง แต่ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าสนิทสนมกัน อีกฝ่ายเป็นจอมพลผู้ออกคำสั่ง ส่วนตนเองเป็นรองแม่ทัพ มีหน้าที่ทำตามคำสั่ง ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงเป็นเพียงเจ้านายและลูกน้องเท่านั้น
จนกระทั่งปีนั้น ขณะที่เขาอายุสิบห้าปี เข่นฆ่าศัตรูมาสองปีเต็ม สร้างความยำเกรงภายในค่ายทหารได้แล้ว ตอนนั้นทัพใหญ่จากซีเยี่ยบุกประชิด เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหาร จอมพลหวังจึงลากสังขารที่ป่วยไข้ไปร่วมรบด้วย
ถึงอย่างไรหวังจิ้งไห่ก็อายุมากแล้ว ทั้งยังป่วยหนักในเวลานั้น เขาจึนฝืนทนได้ไม่นานนัก ตอนที่ถอนกำลังกลับมา ครั้นเขาลงจากหลังม้าได้ แม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรูอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่สิบจั้งเท่านั้น
และเป็นฉู่เยี่ยนที่พุ่งเข้าไปช่วยชีวิตเขาไว้อย่างไม่คิดชีวิต หักดาบของแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรูลง ทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บไปด้วยเช่นกัน ทั้งยังเกิดแผลเป็นที่แผ่นหลังเพราะเหตุนี้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ถึงแม้เขาจะช่วยชีวิตของจอมพลหวังไว้ได้ ทว่าเขายังคงไม่ได้รับคำกล่าวขอบคุณจากอีกฝ่าย หรือสนิทสนมกันเข้าไปอีกขั้นเพราะเหตุการณ์นี้
ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดความสัมพันธ์ระหว่างคนถึงซับซ้อน และต้องคิดใคร่ครวญมากถึงเพียงนี้
หลังจากนั้นจอมพลหวังกลับเมืองหลวงไป นายทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ณ ค่ายทหารชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือล้วนถูกส่งมาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา ตัวเขาได้เลื่อนตำแหน่งจากรองแม่ทัพเป็นแม่ทัพใหญ่ ทุกคนในค่ายทหารต่างก็เคารพนบนอบต่อเขา พาให้ชื่อเสียงและเกียรติยศของเขาเหนือกว่าจอมพลหวังเสียอีก
เขามองแววตาเคารพและเลื่อมใสของเหล่ารองแม่ทัพ รวมถึงเหล่านายทหาร แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ว่าที่จอมพลหวังเข้มงวดกับเขาถึงเพียงนั้น เพียงเพราะหวังให้เขามีตำแหน่งที่มั่นคงในกองทัพ ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าทหารอย่างแท้จริง หนทางในกองทัพของเขาในวันข้างหน้าถึงจะได้โดรยด้วยกลีบกุหลาย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่ได้พบนายพลหวังอีกเลย ไม่รู้ว่าอาการป่วยของเขาดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง
…
เมื่อไป๋จื่อและต้วนเฉิงออกจากค่ายทหารแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังป่าที่หูเฟิงบอก ตอนนี้ฤทธิ์ยาสิบสองชั่วยามน่าจะหมดไปแล้ว ไม่รู้ว่าโจวกังและฟู่เจิงจะตื่นแล้วหรือยัง
รถม้าเข้าไปในป่าไม่ได้ จึงต้องผูกมันไว้ข้างนอก
ต้วนเฉิงเห็นไป๋จื่อสะพายกระเป๋าผ้าไว้บนหลัง จึงยิ้มว่า “เจ้าไม่รู้สึกหนักบ้างหรือ คิดว่าใครจะขโมยของของเจ้ากัน”
ไป๋จื่อยิ้มจาง “ข้างในนี้มีของที่สำคัญมาก ห่างกายข้าไม่ได้หรอก”
อีกฝ่ายยักไหล่ เขาเดินไปข้างหน้าอีกหลายก้าว พลางมองไปรอบๆ แล้วกล่าวกับไป๋จื่อว่า “ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว แม้แต่ใบไม้บนต้นไม้ก็ร่วงลงมาจนเกลี้ยง จะยังมีสมุนไพรอยู่ที่ใดอีก”
“สมุนไพรมีมากมายหลายชนิด บางชนิดชอบเติบโตในฤดูใบไม้ผลิ บางชนิดชอบสุกงอมในฤดูร้อน แน่นอนว่าต้องมีบางชนิดที่ออกผลในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว” ไป๋จื่อกล่าว
………..
ตอนที่ 488 พวกเดียวกัน
ต้วนเฉิงคิดดู เป็นเช่นที่นางกล่าว หนึ่งปีแบ่งออกเป็นสี่ฤดู ทั้งสี่ฤดูต่างก็แตกต่างกัน ฤดูใบไม้ผลิมีข้อดี ฤดูร้อนก็มีข้อเด่น
“ได้ เช่นนั้นวันนี้พวกเราก็หาให้ดี ต้องพบสมุนไรดีๆ กลับไปสักสองสามต้นแน่ ไม่เช่นนั้นไม่เท่าว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ”
ไป๋จื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นสถานที่ที่ถูกกิ่งไม้ห้อมล้อมไว้แต่ไกล ดูแล้วคล้ายกับบริเวณที่หูเฟิงพูดถึง
นางชี้ทิศทางให้ต้วนเฉิง “เจ้าไปหาทางนั้น ส่วนข้าจะไปหาทางนี้ พวกเราแบ่งกันหา จะได้เพิ่มโอกาสมากขึ้นหน่อย”
ต้วนเฉิงเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี แม้จะไม่เคยรักษาผู้ป่วยคนใดมาก่อน แต่กลับแม่นยำในเรื่องวัตถุดิบยาเป็นอย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยไปเก็บสมุนไพรในป่ากับอาจารย์อยู่หลายครั้ง เรื่องพรรค์นี้จึงถือว่าไม่ยากเกินกำลังของเขา และเขาเองก็ต้องการแสดงความสามารถต่อหน้าไป๋จื่อด้วยเช่นกัน เขาพลันตอบรับอย่างยินดี “ตกลง พวกเราพนันกันสักตั้งดีกว่า ดีสิว่าใครจะเก็ยสมุนไพรได้มากกว่ากัน”
เพื่อไล่ให้เขาไปเร็วขึ้นหน่อย ไป๋จื่อยอมตอบตกลงทันควัน “เอาสิ พนันก็พนัน หากเจ้าชนะ เจ้าต้องการอะไร”
อีกฝ่ายคิดดูแล้ว ก็ยิ้มขึ้นโดยพลัน “ข้าได้ยินเสี่ยวซื่อบอกว่าเจ้าทำโจ๊กผักอร่อยมาก หากข้าชนะ เจ้าทำโจ๊กผักให้ข้ากินได้หรือไม่”
เงื่อนไขนี้ช่างง่ายดายนัก ไป๋จื่อยิ้มบ้าง “ข้าไม่เพียงทำโจ๊กผักให้จ้ากิน ยังจะทำของอร่อยอย่างอื่นให้เจ้ากินด้วย แต่เจ้าต้องเอาชนะข้าให้ได้ก่อนนะ”
ต้วนเฉิงหัวเราะฮ่าๆ “ตกลงตามนี้ ดูท่าทางเจ้าจะมีความมั่นใจทีเดียว วันนี้พวกเราแข่งกันดูสักครั้งแล้วกัน”
หลังจากกล่าวจบ ต้วนเฉิงก็ถือตะกร้าเดินไปยังทิศทางที่ไป๋จื่อชี้ก่อนหน้านี้ รอจนเขาเดินไปไกแล้ว ไป๋จื่อถึงหมุนกายมุ่งหน้าไปยังถ้ำนั้น
เมื่อย้ายกิ่งไม้หน้าถ้ำออกไปแล้ว นางก็ก้าวเข้าไปด้านในทันที ทว่าก็ถูกใครบางคนจับกุมร่างไว้ โดยมีกริชเย็นเฉียบขวางอยู่บนลำคอของนาง
“ใคร”
ไป๋จื่อรู้สึกหวั่นกลัว จึงรีบกล่าว “พวกเดียวกันๆ!”
ฟู่เจิงนอนอยู่บนกองใบไม้ภายในถ้ำ โจวกังจับเด็กหนุ่มเบื้องหน้า สีหน้าดุร้ายทีเดียว “ใครเป็นพวกเดียวกับเจ้า บอกมาเร็ว”
ไป๋จื่อมองบุรุษที่กึ่งนอนอยู่บนกองใบไม้ แม้เขาจะมีใบหน้าซูบผอม แต่ก็เป็นใบหน้าของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง อย่างน้อยน่าจะไม่ใช่บิดาของเสี่ยวเฟิงแน่
นางยิ้มเจื่อน “ท่านคงจะเป็นโจวกัง ตอนนี้เสี่ยวเฟิงอาศัยอยู่ที่บ้านข้า เขาสบายดี”
โจวกังชะงัก กริชที่เพิ่งวางลงกลับมาอีกครั้ง “อย่ามาพูดจาตีสนิท รีบพูดมาเร็ว แท้จริงเจ้าเป็นใครกันแน่”
“ข้าชื่อไป๋จื่อ หูเฟิงบอกให้ข้ามาหาพวกท่าน ยาปลอมตายที่พวกท่านกินเข้าไป ข้าเป็นคนทำขึ้นมาเอง”
ไป๋จื่อชื่อนี้ เขาเคยได้ยินมาก่อน จิ้นอ๋องพูดถึงชื่อนี้ต่อหน้าพวกมากกว่าหนึ่งครั้ง ยามที่พูดถึงนาง จิ้นอ๋องมักจะมีความสุขมากเสมอ ในดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
โจวกังรีบวางกริชลง ถอยหลังไปก้าวใหญ่ แล้วประสานมือคารวะไป๋จื่อ “ที่แท้เป็นแม่นางไป๋ ข้าเสียมารยาทแล้ว”
เด็กสาวยิ้มพลางโบกมือ “ไม่เป็นไรๆ ระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า พวกท่านฟื้นแล้วช่างดีจริงๆ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“ข้าสบายดี ทว่าฟู่เจิงบาดเจ็บหนักนัก” โจงกังรีบกล่าว
ไป๋จื่อเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า
ฟู่เจิงคารวะนางในท่านั่ง “แม่นางไป๋ ยินดีที่ได้พบ!”
ไป๋จื่อพยักหน้า แล้วยื่นมือไปจับชีพจรที่ข้อมือของเขา นางลืมตาอยู่ตลอด เพื่อตรวจสอบสภาพภายนอกของเขาไปด้วย
“ท่านบาดเจ็บที่ภายใน เดิมทีไม่อาจกินยาปลอมตายเข้าไปได้อีก แม้ยาเม็ดนี้จะช่วยชีวิตพวกท่านไว้ได้ แต่ความจริงแล้วในตัวยามีพิษ ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำให้พวกท่านแสร้งตายภายในหนึ่งชั่วยามที่กินไปได้ หากคนธรรมดากินเข้าไป พิษเหล่านั้นจะถูกกำจัดออกไปเองอย่างช้าๆ ตามธรรมชาติ แต่หากคนที่ได้รับบาดเจ็บภายในอย่างท่านกินเข้าไป พิษกลับจะสะสมอยู่ภายในร่างกาย และหากไม่ขับออกมาภายในเจ็ดวัน พิษจะทำให้ท่านถึงตายได้”