ตอนที่ 513 สิบห้าค่ำเดือนเก้า
ไป๋จื่อมองเขาอยู่นานมาก จู่ๆ นางก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยอยากคิดบัญชีกับเขา นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยเห็นเขาเป็นศัตรูของเจ้า เจ้าไม่ได้มีใจคิดร้ายต่อองค์ชายผู้นั้น แต่เขาคิด เขาอยากจะนั่งบนตำแหน่งนั้น ส่วนเจ้าเป็นอุปสรรคเดียวของเขา พวกเจ้าสองคน หากเจ้าไม่ตาย ก็ต้องเป็นเขาตาย”
“หูเฟิง ไม่ใช่สิ…ฉู่เยี่ยน หากเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เจ้าก็ต้องสู้กับเขาสักตั้ง ถึงแม้เจ้าจะไม่ต้องการบัลลังก์ แต่เพื่อความสงบสุขหลังจากนี้ของเจ้า ก็มีเพียงเขาล้มลงเท่านั้น เจ้าจึงจะยืนได้อย่างมั่นคง ไม่เช่นนั้นย่อมมีสักวันหนึ่งที่เขาได้นั่งบัลลังก์ และวันนั้นก็จะเป็นวันตายของเจ้า”
หูเฟิงพยักหน้า สิ่งที่นางพูดเหล่านี้ เขาก็เคยคิดคำนวณเอาไว้ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านหวงถัวเช่นกัน เดิมทีเขาไม่อยากลับไปเมืองหลวงแล้ว ไม่อยากจัดการปัญหาเหล่านั้นอีก อยากจะใช้ทั้งชีวิตที่เหลือในหมู่บ้านหวงถัวอย่างสงบเท่านั้น
แต่เขาคิดดูแล้ว หากคนผู้นั้นได้เป็นฮ่องเต้ หากมีวันหนึ่งที่ฐานะของเขาถูกเปิดเผย เช่นนั้นก็ไม่ได้มีเพียงเขาที่ต้องตาย ทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาย่อมไม่รอดพ้น
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ลงมือจู่โจมก่อนยังจะดีเสียกว่า ชิงชัยชีวิตของตนเองกลับมา
ทว่าทำเช่นนั้นแล้ว เขาอาจจะเสียสิ่งของล้ำค่าไปบางอย่าง อันได้แก่ชีวิตอิสระและวันคืนที่มีความสุข
กระนั้นเขาจะปกป้องคนที่เขาอยากปกป้องได้ ทำให้พวกเขารอดพ้นจากเภทภัย เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ไป๋จื่อกล่าวอีกว่า “ข้าบอกกับเขาแล้วว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ หากเจ้ายินยอมพบเขา วันขึ้นสิบห้าค่ำก็ไปพบเขาที่ป่าฝังศพ”
ป่าฝังศพ?
โจวกังและฟู่เจิงยังอยู่ที่นั่น นางนัดหมายสถานที่นั้น เพราะอยากให้จอมพลหวังพบกับพวกเขาด้วยหรือ
“สุดท้ายแล้วควรทำอย่างไร เจ้าก็ตัดสินใจเอาเองเถอะ ข้าไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น เพียงบอกว่าเจ้าอาจจะไปพบเขา หรืออาจจะไม่ไปก็ได้” นางกล่าวอีก
หูเฟิงพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
…
สิบห้าค่ำเดือนเก้า
คืนนี้พระจันทร์กลมโตและเจิดจ้าเป็นพิเศษ ลมยามราตรีก็หนาวเย็นผิดจากปกติเช่นกัน
นางรีบร้อนออกมาจากหมู่บ้านหวงถัว สนใจแต่นำล่วมยาติดตัวมา แต่กลับลืมนำเสื้อผ้ามาด้วย
ปลายฤดูใบไม้ผลิจนถึงต้นฤดูหนาว ห่างกันอีกไม่กี่วันเท่านั้น
“เหตุใดเจ้ายังไม่นอน” ต้วนเฉิงหรี่ตาพลางลงจากเตียง เห็นไป๋จื่อพิงหัวเตียงนั่งเหม่ออยู่
เมื่อตอนเย็นเขากินน้ำแกงงูข้นไปสองถ้วยใหญ่ นอนไปได้พักใหญ่ก็ตื่นขึ้นเพราะปวดปัสสาวะ แต่ก็โทษใครไม่ได้
ไป๋จื่อยิ้มเจื่อนพร้อมเปลือกตาที่ยังคงต่อสู้ “ข้ายังไม่ง่วง กำลังคิดสูตรยาบางอย่างอยู่ คิดละเอียดดีแล้วถึงจะนอน”
“นอนเร็วหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องทำเนื้องูย่างอีกนะ” ต้วนเฉิงพูดพลางลอดกายเข้าไปในผ้าห่มอุ่นๆ พลิกตัวครั้งหนึ่งแล้วก็หลับไป
นางลอบถอนใจ นางเองก็อยากนอนเช่นกัน ทว่าไม่กล้า เพราะนางไม่อยากกลับไปที่ห้องผู้ป่วยห้องนั้น ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับหลินหยางอย่างไร หากได้พบหลินหยางแล้ว นางควรจะพูดอะไรดี
‘ไฮ…ไม่เจอกันนานเลยนะ! ที่จริงฉันสบายดี แต่อยู่อีกโลกหนึ่ง…’ พูดเช่นนี้หรือ
หลินหยางน่าจะคิดว่านางเป็นบ้าแน่ๆ!
แสงจันทร์กระจ่างส่องเข้าผ่านซอกเหนือหลังคากกระโจม ตกกระทบลงบนศีรษะของนาง ส่องใบหน้าที่ง่วงงุนของนาง
เดิมทีเวลานอนในทุกวันนี้ก็ไม่พออยู่แล้ว แล้วจะอดทนต่อไปได้อย่างไร
นางไม่ได้ลืมตา แต่ก็รู้ว่านางกลับมาแล้ว…กลับมาอีกแล้ว…
…
วันนี้ในห้องผู้ป่วยเสียงดังอึกทึก มีเสียงพูดจาดังมาไม่ขาดสาย ดังวนเวียนอยู่ข้างหูเธอไม่ยอมหยุด
“เธอเป็นลูกสาวของฉัน ฉันเป็นคนคลอดเธอออกมา เรื่องนี้ใครก็ปฏิเสธไม่ได้” เสียงแหลมของผู้หญิงดังขึ้น
“แล้วถ้าไม่มีผม คุณจะคลอดเธอออกมาได้ไหม ถ้าไม่มีพันธุ์จากผม คุณคลอดลูกเองคนเดียวได้งั้นสิ? เธอเป็นเลือดเนื้อของผม เข้าใจไหม” ส่วนนี่คือเสียงวางอำนาจของผู้ชาย
……….
ตอนที่ 514 พ่อแม่ที่แท้จริง
เสียงของทั้งคู่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ก็ห่างเหินมากยิ่งกว่า
ทั้งสองคนทะเลาะกันไม่หยุด วนเวียนอยู่แต่เรื่องที่ว่าเธอเป็นของใคร เสียงดังหนวกหูมาก นอกจากมีปากเสียงกันทั่วๆ ไปแล้ว ก็ยังจะลงไม้ลงมือกันด้วย
หลินหยางนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้โดยตลอด เขาขมวดคิ้วเป็นปมแน่น บนใบหน้ามีแต่ความรำคาญใจและความโมโห ใกล้จะปะทุออกมาแล้ว
“พอได้แล้ว!” หลินหยางยืนขึ้น ร่างสูงใหญ่ทำให้เกิดเงาสีดำ บีบให้สองคนนั้นถอยหลังไปสองก้าว
“พวกคุณทะเลาะกันพอหรือยัง ตั้งแต่พวกคุณเข้ามาในห้องผู้ป่วยนี้ พวกคุณได้ลืมตามองคนที่นอนอยู่บนเตียงบ้างหรือยัง ผมยอมให้พวกคุณเข้ามา ไม่ใช่ให้พวกคุณทะเลาะกันแย่งทรัพย์สินของเธอ แต่เพราะหวังว่าพวกคุณจะมีความรักของคนเป็นพ่อและแม่ เรียกเธอ ทำให้เธออบอุ่นหัวใจ พาเธอกลับมา พวกคุณเข้าใจไหม”
พวกเขามองหลินหยางอย่างตะลึงลาน ชายหนุ่มที่ดูภูมิฐาน ดูท่าทางพูดง่ายคนนี้ ทำไมเวลาแสดงอารมณ์โกรธออกมาแล้วถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ได้
หลินหยางหลับตา ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ “ผมผิดเอง ผมไม่ควรให้พวกคุณเข้ามา ถ้าพวกคุณไม่มีความรักให้เธอเลยสักนิด แล้วเธอจะโตในบ้านเด็กกำพร้าได้ยังไง พวกคุณไปเถอะ อย่ามาที่นี่อีก”
ฝ่ายผู้ชายดึงสติกลับมา พูดพร้อมรอยยิ้มเย็น “ไป? ไปที่ไหน เธอเป็นลูกของผม เป็นเลือดเนื้อของผม ลูกสาวของผมอยู่ที่นี่ คุณจะให้ผมไปที่ไหน”
ผู้หญิงก็กล่าวเช่นกันว่า “นั่นสิ ฉันเป็นแม่ของเธอ คนที่ไปควรจะเป็นคุณมากกว่า ทำไมฉันต้องไปด้วย”
หลินหยางมองพวกเขาอย่างเย็น ถามย้ำทีละคำ “ผมไป? คุณรู้หรือเปล่าว่าค่าห้องผู้ป่วยหนึ่งเดือนเท่าไร คุณรู้หรือเปล่าว่าค่ายาบำรุงร่างกายที่เธอใช้ทุกวันเป็นเงินเท่าไร ถ้าผมไปแล้ว พวกคุณจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้ใช่ไหม”
สีหน้าของทั้งสองคนเปลี่ยนไปในทันที ฝ่ายผู้หญิงรีบพูดขึ้นว่า “ถึงพวกฉันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่นี่ไม่ไหว แต่พวกฉันรับเธอกลับไปดูแลที่บ้านได้ แม้กระทั่งดูแลดีกว่าโรงพยาบาลแพงหูฉี่ของพวกคุณที่นี่อีก”
หลินหยางแค่นหัวเราะ “จริงเหรอ? ที่บ้านของพวกคุณมีออกซิเจนหรือเปล่า สารเหลวบำรุงร่างกายขวดละพันหยวน ต้องใช้หนึ่งขวดทุกวัน นี่เป็นสิ่งของพื้นฐาน พวกคุณหามาได้ใช่ไหม”
ผู้ชายคนนั้นได้ยินแล้วก็รีบเถียง “คุณไม่ต้องมาสนใจว่าพวกเราจะจัดการได้ไหม ยังไงเธอก็เป็นลูกสาวของพวกเรา ตอนนี้พวกเราต้องการรับเธอกลับไป คุณอย่ามาพูดมากหน่อยเลย รีบส่งข้าวของของเธอมาให้ผมได้แล้ว”
“ของ? ของอะไร” หลินหยางถาม
ผู้หญิงรีบพูดขึ้นว่า “จะเป็นอะไรไปได้ ก็บัตรเครดิต บัตรธนาคาร ประกันชีวิต กุญแจบ้านกับรถ ของทุกอย่างของเธอ ส่งมาให้ฉันทั้งหมด”
หลินหยางส่ายหน้า “คงจะไม่ได้ นั่นเป็นของของไป๋จื่อ ให้พวกคุณไม่ได้หรอก”
เสียงของผู้หญิงคนนั้นแหลมบาดแก้วหูในทันที “ไม่ได้? คุณคิดดูให้ดีนะ เธอเป็นลูกสาวของฉัน ฉันดูแลข้าวของของเธอแล้วมันผิดตรงไหน”
“ตั้งแต่พวกคุณเข้ามาที่นี่ พวกคุณถามหรือยังว่าเธอกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง เคยบางบ้างไหมว่าเธอจะหายหรือเปล่า แล้วเคยถามสักคำหรือยังว่าตอนนี้เธอชื่อว่าอะไร แต่งงานแล้วหรือยัง มีหลานให้พวกคุณแล้วใช่ไหม เรื่องพวกนี้ คุณเคยถามบ้างไหม” หลินหยางกล่าว
“พูดตามตรงนะ พวกคุณมาปรากฏตัวที่นี่ในวันนี้ ก็เพราะมีคนคอยสั่งการอยู่เบื้องหลัง หวังว่าพวกคุณจะพาเธอไปจากที่นี่ได้ นำสมบัติทุกอย่างของเธอไป ในขณะที่เธอตายอย่างทรมาน คุณทำแบบนี้แล้วจะต่างอะไรกับการวางแผนฆ่าคนชิงทรัพย์ ผมว่าพวกเขาไม่คู่ควรจะเป็นพ่อแม่ของเธอเลยด้วยซ้ำ เสือไม่เคยกินลูก เทียบกับสัตว์ยังไม่ได้เลย!”
หลินหยางยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ไป๋จื่อได้รับความลำบากมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกผิด ยังเลวร้ายได้ถึงขั้นนี้ คนพรรค์นี้สมควรเป็นพ่อแม่คนได้ยังไงกัน