นี่ไม่อาจกล่าวโทษแพทย์ทหารที่ไม่สามารถใจเย็นได้ ต่อให้เป็นเด็กทารกที่มีคุณสมบัติ SS ที่หายากก็ยังดูดซับได้แค่หลอดที่เจ็ดเท่านั้น หน่วยกองทัพมาคราวนี้ก็เพื่อแสดงตัวว่าให้ความสำคัญกับผู้สืบทอดของพลตรีหลิงเซียว ดังนั้นก็เลยหยิบยามาสิบหลอด คนของหน่วยกองทัพคิดว่าต่อให้ผู้สืบทอดของพลตรีหลิงเซียวจะดีเลิศแค่ไหน ยาหกหลอดก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่หลิงหลานกลับพิเศษมาก ดูดซับมาถึงหลอดที่แปดแล้วก็ยังไม่เห็นว่าระดับการดูดซับจะช้าลงเลย
ยาหลอดที่แปดถูกดันเข้าไปในเข็มฉีดยาอีกครั้ง มันยังคงราบรื่นมาก ร่างกายจะดูดซับยาต่อไปได้หรือไม่ เมื่อฉีดยาก็สัมผัสได้ หากดันเข้าไปแล้วไม่มีการต่อต้านก็หมายความว่าร่างกายสามารถดูดซับต่อไปได้ ถ้าหากเกิดการต่อต้าน มันก็หมายความว่าร่างกายดูดซับยาจนถึงสถานะอิ่มพอแล้ว ถ้าเกิดไม่สามารถดันเข้าไปได้ก็หมายความว่าร่างกายอิ่มตัวแล้วและไม่สามารถดูดซับได้อีก
พอเห็นหลินหลานดูดซับยาหลอดที่แปดไปอย่างราบรื่น สีหน้าของแพทย์ทหารที่เดิมทีดูเยือกเย็นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด เขาหันหลังให้หลานลั่วเฟิ่งกับหลิงฉินและทอดสายตาส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยที่อยู่ข้างกายไปติดต่อกับหัวหน้าระดับสูง
แพทย์ทหารคิดเอาเองว่าเขาซ่อนการกระทำของตัวเองแล้ว น่าเสียดายที่ยังถูกหลิงหลานมองเห็น แน่นอนว่านี่เป็นเพราะแพทย์ทหารไม่เคยคิดว่าจะต้องเตรียมรับมือหลิงหลาน คิดดูสิ ทารกอายุหกเดือนจะเข้าใจอะไรได้ เขาย่อมไม่รู้ว่าบนโลกยังมีคนพิเศษอย่างหลิงหลานที่เกิดมาก็มีความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว
หลิงหลานเห็นการกระทำของแพทย์ทหารก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดูท่าระดับการดูดซับยาของเธอจะมากเกินไปหน่อยหลิงหลานรีบถามเสี่ยวซื่อว่า “เสี่ยวซื่อ ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกตินะ ดูท่าพวกเราจะดูดซับยามากเกินไปแล้ว? หรือว่าจะหยุดกันตรงนี้ดี?”
เสี่ยวซื่อที่เพิ่งจะได้รับผลประโยชน์จะยอมวางมือตอนนี้ที่ไหนกันล่ะ มันเอ่ยปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรหรอกน่า พวกเขาไม่ได้เอามาสิบหลอดเหรอ เอามาเยอะขนาดนี้ก็น่าจะคาดการณ์เตรียมเอาไว้แล้วว่าเธอสามารถดูดซับได้…” ความคิดของเสี่ยวซื่อเป็นเหตุเป็นผลมาก
หลิงหลานเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ใช่เหรอ ถ้าพวกเขาแค่เตรียมป้องกันไว้ก่อนเท่านั้นล่ะ? บางทีอาจจะมีแค่เด็กทารกอัจฉริยะระดับปีศาจเท่านั้นที่จะดูดซับได้มากขนาดนี้ พวกเราเพิ่งจะมาถึง ทำตัวเงียบๆ หน่อยก็ดีนะ” สิ่งที่หลิงหลานคิดไว้ก็ไม่ผิด แต่น่าเสียดายที่เธอไม่รู้ว่า ต่อให้หยุดตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
เสี่ยวซื่อรู้สึกตัดใจทิ้งแบบนี้ไม่ได้ ยานี้เป็นของดี ทำให้โฮสต์ของมันกำจัดภัยอันตรายที่แฝงเร้นอยู่ตอนนี้ได้ มันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่าสนใจตอนนี้ก่อนแล้วค่อยคิดถึงเรื่องอื่น ดังนั้นมันก็เลยพูดว่า “ฉันจะยับยั้งไว้ตอนหลอดยาที่สิบ สร้างภาพลวงว่าเธอดูดซับจนอิ่มตัวแล้ว แบบนี้ต่อให้เธอดูดซับยาจนโดดเด่นก็ไม่ทำให้คนอื่นสงสัยหรอก มากสุดพวกเขาก็ให้ความสนใจเธอมากขึ้นนิดหน่อยตอนที่เธอเป็นโตผู้ใหญ่ ต่อไปพวกเราก็สำรวมตัวหน่อย ค่อยๆ ลดผลกระทบในครั้งนี้ไปก็ได้แล้ว”
เสี่ยวซื่อไม่รอให้หลิงหลานคัดค้านก็กล่าวต่อว่า “เธอควรรู้ไว้ว่าการดูดซับยาสิบหลอดนี้ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกฝนของเธอหลายเท่าแล้ว มันยังกำจัดภัยแฝงเร้นของเธอจนหมดด้วย เธอไม่จำเป็นต้องกลัวอีกต่อไปแล้วว่าพลังจิตจะบดขยี้ร่างกายของเธอ”
“หืม? นายบอกว่าฉันฝึกฝนเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกาย แล้วอีกสองปีให้หลังก็จะกำจัดอันตรายแอบแฝงได้หมดเลยไม่ใช่เหรอ หรือว่านายยังปกปิดอะไรฉันอีก?” ในที่สุดหลิงหลานก็สังเกตเห็นความคิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเสี่ยวซื่อ
เสี่ยวซื่ออึ้งไปและพบว่าตัวเองหลุดปากพูดออกมาเลยได้แต่อธิบายด้วยความซื่อตรงว่า “ฉันหมายความว่าพลังจิตของเธอจะไม่เพิ่มขึ้นอีก และสองปีให้หลังก็จะสามารถแก้ปัญหาที่แฝงเร้นนี้ได้ แต่เธอต้องเข้าใจว่า ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ฝึกฝนพลังจิต แต่มันก็ยังเพิ่มขึ้นตามอายุอยู่ดี”
หลิงหลานโมโหแล้ว “ไม่นึกเลยว่านายจะไม่บอกเรื่องนี้กับฉัน นายไม่รู้หรือไงว่านี่มันอันตรายมากนะ”
เสี่ยวซื่อแหงนหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอ ดูเหมือนเรื่องจะเยอะมากเกินไป…”
หลิงหลานแทบอยากจะคว้าไอ้เด็กเวรนี้เข้ามาฟาดอย่างหนักจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เธอสัญญากับมันเอาไว้แล้วว่าจะไม่มีความรุนแรงในครอบครัวอีก ก็เลยได้แต่ปล่อยมือด้วยความคับแค้นใจ เวลานี้เธอสงสัยว่าเจ้าเด็กนี่คาดการณ์จนถึงวันนี้ไว้แต่แรกแล้วหรือเปล่า ดังนั้นถึงได้ทำสัญญากับเธอไว้ตั้งแต่เริ่มแรกว่าจะไม่ให้มีความรุนแรงในครอบครัว?
เธอพยายามสูดลมหายใจหลายครั้ง สงบสติอารมณ์ของตัวเองแล้วค่อยถามว่า “งั้นนายก็บอกมาตามตรง หกเดือนมานี้พลังจิตของฉันเพิ่มขึ้นไปเท่าไรแล้วกันแน่” ถ้าจะตายก็ต้องตายโดยที่รู้อะไรบ้าง หลิงหลานไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นผีที่งุนงงเลอะเลือนหรอกนะ
“ความจริงแล้ว มันก็เติบโตขึ้นนิดหน่อย…” เสี่ยวซื่อใช้นิ้วมือเล็กๆ ที่ดูป้อมสั้นของตัวเองมาเปรียบเทียบเพื่อสื่อว่ามันเพิ่มมาไม่เยอะจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยก็หมายความว่าจะไม่มีอันตรายใช่ไหม” หลิงหลานพูดประชดด้วยรอยยิ้มหยัน เธอย่อมไม่เชื่อเด็กนิสัยเสียที่ไม่ยอมพูดจาซื่อสัตย์เท่าไรหรอกนะ
เสี่ยวซื่อรู้สึกเสียความมั่นใจไปชั่วขณะ เขาเอ่ยด้วยความอึดอัดว่า “ถ้าหากไม่มียาในครั้งนี้ อีกสองปีให้หลังเธอจะป่วยหนักมาก แต่ว่าขอเพียงเธอหมั่นฝึกฝนเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกาย ฉันกะดูแล้วว่าเธอฝึกฝนต่อไปอีกสามปีก็จะสามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติ แต่ว่าตอนนี้มียานี้แล้ว อันตรายแฝงเร้นทั้งหมดก็จะถูกกำจัดทิ้งไป ดังนั้นก็จะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” มันกล่าวแล้วก็ทำหน้าลำพองใจ ราวกับลืมไปแล้วว่าถ้าหากไม่มียาละก็จะเกิดผลย่ำแย่แค่ไหน
หลิงหลานเห็นแบบนี้ก็ได้แต่ปล่อยเจ้าเด็กนี่ด้วยความจนใจ จะเอาจริงเอาจังกับมันก็มีแต่จะทำให้ตัวเองโมโห อย่างไรก็ตาม เธอยังคงเตือนเสี่ยวซื่อด้วยความเด็ดขาดว่า ต่อไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ต้องบอกกับเธอให้ละเอียด ห้ามบอกครึ่งๆ กลางๆ อีก
เสี่ยวซื่อตอบรับอย่างตรงไปตรงมามาก เพียงแต่ว่าผลสุดท้ายจะทำได้หรือไม่ หลิงหลานเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
อันที่จริงหลิงหลานรู้สึกได้ว่าเสี่ยวซื่อมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอยู่ ถึงแม้มันจะเรียกตัวเองว่าเป็นคู่หูที่เซ็นสัญญาระยะยาวของเธอ แต่เธอไม่สามารถเปิดโปรแกรมการเรียนรู้ของมันได้ หรือก็คือถ้าเสี่ยวซื่อไม่ยอมให้เปิด เธอก็เปิดประตูห้องที่เป็นตัวแทนของเนื้อหาหลักสูตรไม่ได้
ถ้าเกิดเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะโกรธเกรี้ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว หรือบางทีอาจจะสงสัยว่าอุปกรณ์การเรียนรู้นี้มีเจตนาร้ายหรือเปล่า ทว่าหลิงหลานใจกว้างมาก ในเมื่อร่ำเรียนไม่ได้ เช่นนั้นเธอก็จะไม่ดึงดัน การที่มีคนมาพูดคุยสัพเพเหระกับเธอในตอนที่เธอเบื่อหน่ายได้ก็เป็นเรื่องดีแล้ว
พูดตามตรง หลิงหลานไม่มีความคิดที่จะอยู่เหนือคนอื่น เธอคิดแค่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย อิสระ และไม่เจ็บป่วยเท่านั้น
ไม่นาน ผู้ช่วยที่ออกไปรายงานสถานการณ์ที่นี่ก็กลับมา เขาผงกศีรษะให้กับแพทย์ทหารเบาๆ บ่งบอกให้แพทย์ทหารฉีดยาต่อไป
แพทย์ทหารได้รับคำสั่งจากเบื้องบนก็ฉีดยาต่อได้โดยไร้กังวล ความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้เขาร้อนใจไม่ได้มีแค่ระดับการดูดซับอย่างบ้าคลั่งของหลิงหลาน หากแต่ยังลังเลและวิตกว่าจะไม่สามารถอธิบายเรื่องที่ใช้ยามากมายขนาดนี้ให้กับเบื้องบนได้
ในที่สุดตอนที่ฉีดยาหลอดที่สิบ แพทย์ทหารก็สัมผัสได้ถึงแรงต้านของการฉีดยาที่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข็มฉีดยาเหลือยาอยู่ไม่กี่หยด เขาก็รู้สึกได้ว่าไม่สามารถฉีดยาเข้าไปได้อีก
แพทย์ทหารถึงค่อยดึงหัวเข็มออกมาและแอบเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ยังดีที่ทารกคนนี้ถึงจุดอิ่มตัวตอนเข็มที่สิบ ทำให้พวกเขาทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จ ไม่ใช่ว่าในประวัติศาสตร์จะไม่มีเด็กทารกที่ดูดซับยารวดเดียวสิบหลอด เพียงแต่มันค่อนข้างหายากมากเท่านั้น
คนของหน่วยกองทัพไม่ได้อ้อยอิ่งมากนัก พวกเขาบอกลาและจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้หลานลั่วเฟิ่งที่ชักชวนพวกเขาให้อยู่ต่อด้วยไมตรีจิตไม่เข้าใจถึงสาเหตุ กับหลิงฉินที่สัมผัสอะไรบางอย่างได้ลางๆ
หลิงหลานมองตามหลังคนของหน่วยกองทัพจากไปก่อนจะรู้สึกวางใจในที่สุด จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าข้างในกระเพาะปัสสาวะของตัวเองหนักอึ้งและรู้สึกอั้นไม่ไหวแล้ว เธอกลัดกลุ้มใจ ควรทราบว่า มารดาของเธอไม่ให้เธอดื่มนมอะไรเลยเพื่อที่จะดูดซับยาในครั้งนี้ แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกปวดฉี่กะทันหันล่ะ
เสี่ยวซื่อเหมือนกับสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของหลิงหลาน มันเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วนอย่างยิ่งว่า “ฉันกลัวว่าจะถูกคนของหน่วยกองทัพสังเกตเห็นก็เลยไม่กล้าขับของเสียผ่านทางต่อมเหงื่อ เพราะฉะนั้นก็เลยส่งพวกสารเจือปนไปที่นั่น…”
ความหมายก็คือ สารเจือปนจำนวนมากมายขนาดนั้นอยู่ที่นั่น ถ้าไม่ปวดฉี่สิถึงจะมีปัญหา
หลิงหลานยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกมารดามาช่วยเธอก็รู้สึกได้ว่าเธอฉี่ราดอย่างน่าอนาถอีกครั้ง…
“เสี่ยวซื่อ นายตายแน่!” หลิงหลานร้องคร่ำครวญ!
แม่งเอ๊ย ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะหาศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมาได้นิดหน่อย เวลานี้เธอกลายเป็นเด็กน้อยที่ใครเห็นใครก็รัก แต่ไม่นึกเลยว่าวันที่สดใสงดงามเพิ่งจะปรากฏก็ถูกเสี่ยวซื่อที่คิดเองเออเองทำลายทิ้งไปแล้ว
หลิงหลานรู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงแม่ตีก้นเธอแล้วก็เย้าแหย่ที่เธอยังคงฉี่ราด เธอรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมืดมนแล้ว
………………………………………………